mos ที่ว่าคือ margin of satisfaction
เคยดูหนังเรื่อง ขงจื้อ จำอยู่ประโยคหนึ่ง
ลูกศิษย์ถามขงจื้อ ซึ่งอาจจะจำผิดความหมายไปบ้างคือ
"อาจารย์ ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก
ทำไมเราไม่หันกลับมาดูแลตัวเราเอง"
ยอมรับเลยว่า ผมคาดเดาตลาดหุ้น ไม่ว่าเวลาไหนไม่เป็น
แม้แต่หุ้นในพอร์ต ก็ยังคาดเดาราคาไม่เป็น
ทำได้แค่ ถ้าคิดว่ามันดี ซื้อมาตอนมีแต้มต่อราคาหุ้นสูง
ก็ถือไปเรื่อยๆ
พอถือมาจนถึงตอนนี้
ก็น่าจะได้เวลาชักเงินสดออกจากพอร์ตบ้างซัก....เท่าของเงินต้น
คิดว่าไม่มีช่วงไหน เหมาะสำหรับการชักเงินออกจากพอร์ตเท่ากับช่วงที่
ตลาดหุ้นและนักลงทุนกำลังคึกคะนองกับ หมายเลข ๔ อย่างสุดขีด
อะไรอะไรก็ดีไปหมด (สถานการณ์ครั้งก่อนก็คือ ปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕ )
ทำเพื่อเตรียมรับมือเผื่อ ตลาดหุ้นจะเป็นหมายเลข ๒ ในอนาคต
ไม่เกิดก็ไม่เสียหายอะไร
อาศัยพอร์ตหุ้นที่เหลือ เดินทางแสวงหาเงินต่อไป แบบมนุษย์หุ้น
ไม่ใช่เซียนหุ้น
แต่ยังไง ก็จะไม่ยอมกลับลงไปเป็น แมลงเม่าหุ้นโดยเด็ดขาด
+
!
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ เอามันแบบมวยวัดอย่างนี้แหละ mos มันบอกให้ทำแบบนี้
เคยดูหนังเรื่อง ขงจื้อ จำอยู่ประโยคหนึ่ง
ลูกศิษย์ถามขงจื้อ ซึ่งอาจจะจำผิดความหมายไปบ้างคือ
"อาจารย์ ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก
ทำไมเราไม่หันกลับมาดูแลตัวเราเอง"
ยอมรับเลยว่า ผมคาดเดาตลาดหุ้น ไม่ว่าเวลาไหนไม่เป็น
แม้แต่หุ้นในพอร์ต ก็ยังคาดเดาราคาไม่เป็น
ทำได้แค่ ถ้าคิดว่ามันดี ซื้อมาตอนมีแต้มต่อราคาหุ้นสูง
ก็ถือไปเรื่อยๆ
พอถือมาจนถึงตอนนี้
ก็น่าจะได้เวลาชักเงินสดออกจากพอร์ตบ้างซัก....เท่าของเงินต้น
คิดว่าไม่มีช่วงไหน เหมาะสำหรับการชักเงินออกจากพอร์ตเท่ากับช่วงที่
ตลาดหุ้นและนักลงทุนกำลังคึกคะนองกับ หมายเลข ๔ อย่างสุดขีด
อะไรอะไรก็ดีไปหมด (สถานการณ์ครั้งก่อนก็คือ ปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕ )
ทำเพื่อเตรียมรับมือเผื่อ ตลาดหุ้นจะเป็นหมายเลข ๒ ในอนาคต
ไม่เกิดก็ไม่เสียหายอะไร
อาศัยพอร์ตหุ้นที่เหลือ เดินทางแสวงหาเงินต่อไป แบบมนุษย์หุ้น
ไม่ใช่เซียนหุ้น
แต่ยังไง ก็จะไม่ยอมกลับลงไปเป็น แมลงเม่าหุ้นโดยเด็ดขาด
+
!