มันแล้วแต่จะเลือกเชื่อ แถมแล้วแต่คนจะเลือกตีความด้วยครับ

ความดีของหนังเรื่องนี้ คือ เอาสิ่งที่เรียกว่าสัจจะ มาเล่า ทำให้มีปลายเปิดให้ตีความ และตีความได้ทุกมุม

สมมติว่า ผมจะตีความในเชิง "การขัดเกลาฝึกฝนตนเอง"

เมื่อคนเราอยู่ในภาวะเช่นนั้น สัญชาติญาณการเอาตัวรอด แบบสัตว์ป่า สัตว์ร้าย จะบังเกิดขึ้น นั่นคือความหมายของ ริชาร์ด ปาร์กเกอร์

และสัญชาติญาณนี้ ฆ่าทำลายได้ทุกอย่าง แม้แต่ตัวเอง

คุณจะหนีมันไปนอนอีกแพนึง มันก็ยังทำให้เราต้องสูญเสียขนมปัง และน้ำทั้งหมด คุณจะอยู่กับมัน คุณก็กลัวมันจะฆ่าคุณอีก

แต่ท้ายสุด Pi เลือกที่จะ"ฝึกมัน" จนท้ายสุด เขาสามารถอยู่ร่วมกับสัญชาติญาณการเอาตัวรอดแบบสัตว์ร้ายได้ และใช้ให้เป็นประโยชน์

เกาะกรดนั้น จะเห็นว่า ท้ายสุด Pi ก็แปลกใจที่ ริชาร์ด ปาร์กเกอร์ ยังเลือกที่จะกลับไปนอนในเรือในยามค่ำคืน  นั่นคือ เขาสามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากการฝึกฝนสัญชาติญาณดิบของเขาได้

และเมื่อมันจบการฝึกฝนแล้ว เรื่องที่ถัดมาจึงไม่มีอะไร ตัดไปเล่าถึงตอนถึงฝั่งเม็กซิโกเลย

ริชาร์ด ปาร์กเกอร์ เดินจาก Pi ไปโดยไม่ร่ำลา นั่นเพราะ ชีวิตถัดจากนี้ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดแบบสัตว์ร้าย สิ้นสุดลงแล้ว การฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเองจบแล้ว

ถ้าจะมองว่า ศาสนาคืออะไร นี่แหละคือคำตอบ มันคือการควบคุม ฝึกฝนตนเอง เพื่อควบคุมสัญชาติญาณสัตว์ป่าในตัวเรานั่นเอง แต่ก็ใช่ว่า มันจะต้องหายไป เพียงแต่ รู้จักใช้ และอยู่ร่วมกับมันให้ได้

Pi ท้ายสุด ก็แต่งงาน มีลูกเมีย มีชีวิตที่เป็นปรกติสุข นี่คือรางวัลของคนที่ผ่านการฝึกฝนตนเองครับ

จะเห็นว่า มองมุมนี้ก็ได้

อาจารย์ผมสอนว่า ถ้าเอาสัจจะมาเล่น มันจะเป็นปลายเปิดให้เราตีความ และตีความอย่างไรก็ได้ เพราะมันเป็นสัจจะ ครับ