รบกวนขอคำวิจารณ์งานเขียนของผมหน่อยครับ ++++++

กระทู้สนทนา
ผมกำลังฝึกปรือการเขียนอยู่ ขีดๆ เขียนมาหลายปี แล้ว แต่ยังไม่มีงานเสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักที ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ ความไม่มั่นใจในฝือมือของตนเอง  ผมจึงใคร่รบกวนทุกท่านในนี้ ลองอ่านผลงานของผมบางช่วงบางตอน แล้ว วิจารณ์ติชม ทักษะการเขียนของผม เพื่อจะได้นำไปปรับปรุง พัฒนาต่อไป  ลองดูนะครับ  เอาตรงๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ
---------------------


บทที่ 1

“ขอบคุณค่ะ หลังจากพิจารณา ทางเราจะติดต่อกลับไปภายหลังนะคะ”
    
สิ้นประโยค หัวใจของชายหนุ่มซึ่งอยู่นั่งหลังโต๊ะสัมภาษณ์พลันหล่นวูบ  แม้คำพูดฟังดูสวยหรู และให้ความหวัง แต่เป็นอันรู้กันว่า มันคือการปฏิเสธอย่างถนอมน้ำใจ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ของเขา ชายหนุ่มฝืนยิ้มเต็มที่ในขณะที่แววตาเอ่อท้นไปด้วยความผิดหวัง มือเย็นเฉียบกำแฟ้มสมัครงานแน่น ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเอกราช บัณฑิตหนุ่มจบใหม่ ที่ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง เขาไปสมัครงานมาแล้วหกแห่ง และถูกปฏิเสธทุกครั้ง ชายหนุ่มพยายามทบทวน หาจุดบกพร่องของตนเอง ที่ทำให้บริษัทไม่รับเขาเข้าทำงาน เขาคิดว่าคงเป็นเพราะเขาจบจากมหาวิทยาลัยเปิด อีกทั้งผลการเรียนก็ไม่ได้สูงมากนัก เนื่องจากมีความจำเป็นต้องทำงานไปด้วยระหว่างเรียนเพื่อส่งเสียตัวเอง และครอบครัว แต่สุดท้ายก็เรียนจบภายในสี่ปีตามกำหนด หากทว่าเมื่อเทียบกับนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ เขาก็ย่อมตกเป็นตัวเลือกท้ายๆ เสมอ    

    ‘ทำใจเถอะไอน้อง ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ งานหายากกว่าหาทองซะอีก’ พี่เก่ง เจ้าของร้านข้าวต้มมื้อดึก พูดปลอบใจเขาเช่นนี้ทุกครั้งยามเดินคอตกกลับมา พี่เก่งถือเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาอย่างสูง เพราะเป็นผู้รับเขาเข้าทำงาน เป็นพนักงานเสิร์ฟหระว่างที่เรียนหนังสือ โดยทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ หลังจากเลิกเรียนไปจนถึงเที่ยงคืน ช่วยให้ชายหนุ่มมีรายได้ส่งเสียตัวเองเรียน และเหลือพอส่งไปให้แม่และน้องอีกสองคนที่ต่างจังหวัด

    ถึงแม้การทำงานกับพี่เก่งจะมีความสุข และค่าตอบแทนไม่ใช่น้อย แต่เขาก็อยากทำอาชีพในสายความรู้ที่ร่ำเรียนมา จึงเริ่มมองหางานใหม่เมื่อเรียนจบ และก็เป็นอย่างคำพี่เก่ง ชายหนุ่มคว้าน้ำเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าจนเริ่มถอดใจ  แต่ถือว่าโชคดี ได้พี่เก่งคอยช่วยเหลือ โดยยังให้เขาทำงานเดิมไปพลางๆ ระหว่างยังหางานใหม่ไม่ได้  ซึ่งชายหนุ่มซึ้งน้ำใจในครั้งนี้มาก

    หลังจากลงรถเมล์ตรงป้ายหน้าปากซอย ชายหนุ่มเดินเท้าเข้ามาจนเกือบสุดซอย ก็ถึง
อพาร์ทเมนท์ซึ่งเช่าพักอยู่ เป็นตึกสูง 5 ชั้น สภาพเก่าโทรม ขาดการดูแล กับเจ้าของหน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่ด้วยราคาห้องถูกพอสู้ไหว ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ชายหนุ่มคิดตลอดเวลาว่าจะย้ายออกไปทันทีที่ได้งานใหม่
    
เอกราชซอยเท้าขึ้นบันไดอย่างรีบเร่ง จนไปถึงชั้นสาม เขาพักอยู่ห้อง 307 ไขประตูห้องเสร็จ ก็ตรงไปยังโทรศัพท์ข้างหัวเตียงทันที กดเบอร์อันคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว ไม่นานปลายสายก็รับขึ้น เป็นเสียงเนิบช้า และแว่วหวาน

    “ฮัลโหล”
    “แม่”
    ชายหนุ่มพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นเครือ หยาดน้ำตารื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงมารดา เสียงนุ่ม หวานแต่ฟังแล้วให้ทั้งความอบอุ่นและมั่นคง น้ำเสียงที่เขาโหยหาอยากได้ยินทุกครั้งยามเหนื่อยล้า ท้อแท้ ตอนนี้เขาอยากกู่ร้องให้สุดเสียงว่าคิดถึงแม่ อยากให้แม่สวมกอด และปลอมประโลมมากแค่ไหน อยากนอนหนุนตักอุ่นๆ แล้วบอกแม่ว่าลูกเหนื่อยเหลือเกิน ท้อแท้แทบขาดใจ หากทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน ทำตัวเข้มแข็ง เพราะไม่อยากทำให้ผู้เป็นแม่เกิดความเป็นห่วง กังวล
    
“ว่าไงเจ้าเอก โทรมาแต่หัววัน ได้งานใหม่แล้วสิท่า”
    “ยังเลยแม่—แต่เดี๋ยวก็หาได้ กรุงเทพ มีงานให้ทำเยอะแยะ” ชายหนุ่มปั้นเสียงให้ฟังดูร่าเริง
    “เออ สู้ๆ นะลูก ยังไงถ้าเหนื่อยนัก กลับมาบ้านเราก็ได้” แม่ชุมสาย ในวัยย่างเข้าเลขห้า อดห่วงลูกชายไม่ได้ “ดีกว่าไปผจญโชคในเมืองหลวง คนเยอะเรื่องแยะ วุ่นวาย”
    “ครับแม่ แต่เอกจะลองดูอีกซักตั้ง” เขากล่าว
     “เอกอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ มีส่งไปให้แม่ใช้ ส่งให้น้องได้เรียนสูงๆ แม่กับน้องจะได้สบายซักที”
    “แม่ไม่หวังเงินทอง อะไรมากหรอก ขอแค่ให้ลูกๆ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า แม่ก็พอใจแล้ว”
    เหมือนมีก้อนแข็งดันขึ้นมาจุกที่ลำคอ ดวงตาเริ่มร้อนผ่าว หัวใจทั้งรู้สึกตื้นตันและเสียใจระคนกัน เขากลัวตัวเองปล่อยโฮออกมาเสียก่อน จึงรีบบ่ายประเด็น
    “แล้วว่าแต่ไอ้ตัวแสบสองคนนั่นเป็นไงบ้างแม่ ไม่ได้คุยกับมันเสียนานเลย”
    “ไอเจ้าภพปีนี้จะขึ้นม.3 มันเรียนเก่งนะ ได้รางวัลวิชาการมาเยอะแยะ ส่วนเจ้าสองนั่นไม่ไหว ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังทำตัวเหลวไหล ตามเพื่อน อยู่ไม่ค่อยติดบ้าน ”
    “กลับไปคราวหน้าต้องสั่งสอนยกใหญ่” เอกราชทำเสียงดุ “โตแล้วควรหัดมีความคิด ไม่ใช่ทำตัวให้แม่กลุ้มใจ”    
    “อย่าไปว่าน้องมันเลย คนมันก็ช่วยงานแม่ตลอด จริงๆ แล้วมันเป็นเด็กดี” แม่สายรีบแก้ต่างให้ลูกชายคนกลาง “แค่นี้ก่อนนะลูก ยายแม้นมารับขนมแล้ว รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยล่ะ”
    
ปลายสายตัดไป ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอน ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ได้คุยกับผู้เป็นมารดา เหมือนยกภูเขาออกจากอก แม่ชุมสายเป็นผู้หญิงเข็มแข้งมากคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก พ่อจากพวกเราไปตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ด้วยการฆ่าตัวตายจากความเครียด เรื่องโรงงานของครอบครัวขาดทุน จนต้องปิดตัวลง แม่ทนรับการจากไปอย่างกะทันหันไม่ได้ กลายเป็นโรคซึมเศร้า เกือบสามปีกับความทุกข์ระทม แต่สุดท้ายแม่ก็ต่อสู้กับความทุกข์ ด้วยความรักที่มีต่อลูกน้อยทั้งสาม รักษาตัวเองจนหายขาด แม้ฐานะทางบ้านร่อยหรอลง แม่ก็ไม่เคยบ่นท้อแท้ถึงความเหนื่อยยากให้ได้ยิน รับจ้างทำขนมไทยส่งขาย จนสภาพครอบครัวดีขึ้นถึงจะไม่เท่าเมื่อก่อนก็ตาม
    
หลังจากจบมัธยม เอกราชตัดสินใจเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพเพื่อหวังไว้ว่า หากมีการศึกษาสูงก็จะช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้นได้ ชายหนุ่มจึงไม่ย่อท้อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ วันใดที่ความเหนื่อยยากถาโถมเข้ามา ก็ยังมีแม่ผู้เปรียบเสมือนหลักชัยคอยประคองเขาไว้ ทำให้เขามีกำลังใจ ลุกขึ้นได้ ไม่ว่าล้มลงกี่ครั้งก็ตาม
    
เอกราชจมลึกอยู่ในภวังค์ คิดถึงวันวานเมื่อครั้งที่ยังเปี่ยมด้วยความสุข ความเพียบพร้อม พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า ก่อนที่พายุร้ายจะถาโถมพัดพาทุกอย่างไปสิ้น เหลือไว้เพียงรอยแผล และความเจ็บปวด หากเขาเชื่อเสมอ ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ด้วยความรักที่มีให้แก่กันและกัน วันใหม่สำหรับพวกเราต้องมาถึงสักวัน
    
เอกราชมองนาฬิกาหัวเตียง ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลางาน จึงนอนพักเอาแรงสักงีบ เนื่องจากเหนื่อยล้า ตากแดดตากลมทั้งวัน



    ตะวันพลบค่ำคือสัญญาณบอกว่า ชีวิตอันแสนวุ่นวายตลอดทั้งวันได้สิ้นสุดลง ขณะที่วิถีชีวิตภายใต้แสงสียามราตรีกำลังเริ่มต้นขึ้น ถนนย่านธุรกิจใจกลางกรุงแน่นขนัดไปด้วยหนุ่มสาวออฟฟิศที่เพิ่งเลิกงาน กำลังยืนโบกแท็กซี่กลับบ้าน บ้างก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า สถานีอยู่ถัดไปไม่ไกล บางส่วนก็ยังเดินเตร็ดเตร่ ปะปนไปกับเหล่านักท่องเที่ยวซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พ่อค้า แม่ค้ากำลังตั้งร้านอย่างคึกคัก เต็มตลอดความยาวสองฝากถนน มีทั้งร้านอาหาร ร้านผลไม้ ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และอีกหลากหลายชนิด เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายใช้สอย เสียงพูดคุย สั่งสินค้า ต่อราคาระหว่างลูกค้ากับผู้ขายไม่เคยเงียบเหงา ปลุกให้ถนนเส้นนี้มีชีวิตชีวาตลอดทั้งคืน ไม่เคยหลับใหล

    ร้านข้าวต้มเดชาตั้งอยู่หัวมุมถนน เป็นร้านเก่าแก่ เปิดขายมากว่า 50 ปี โดยนายเดชา ก่อนตกทอดกิจการมาสู่รุ่นลูก คือเก่งกล้า บุตรชายคนเดียว จากวันนั้นจวบจนวันนี้ ร้านข้าวต้มมื้อดึกยังคงมีลูกค้าเนืองแน่นทุกวัน ไม่เคยขาดสาย ทั้งลูกค้าขาจร และลูกค้าประจำ ช่วงเย็นๆ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศ ที่เพิ่งเลิกงาน พอเริ่มดึกจะเป็นนักท่องเที่ยวที่แวะหาอะไรรองท้องก่อนกลับบ้าน

    วันนี้เก่งกล้าเปิดร้านช้ากว่าปกติ เนื่องจากพนักงานสองคน พร้อมใจกันลาป่วยกะทันหัน เขาจึงต้องจัดเตรียมหน้าร้านด้วยตัวเอง และรอให้เอกราช พนักงานเสิร์ฟอีกคนมาถึงเสียก่อน เพราะหากเปิดร้านไป คงทำคนเดียวไม่ไหวแน่นอน ซึ่งเป็นเวลาทุ่มครึ่งพอดีเมื่อเอกราชมาถึง

    “ขอโทษทีครับพี่เก่ง วันนี้รถติดมาก กว่าจะฝ่ามาได้”
    โดยไม่รอให้เจ้าของร้านสั่ง เด็กหนุ่มมาถึงก็ลงมือทำหน้าที่ของตนอย่างคล่องแคล่ว
    “สองคนนั่นยังไม่มาอีกเหรอครับ”
    “พวกมันสองคนลาป่วยพร้อมกัน สงสัยลาตายด้วยล่ะมั้ง” เจ้าของร้านวัยสามสิบพูดติดตลก ไม่มีอารมณ์โกรธแม้แต่น้อย “แล้วเอกเป็นไง หางานไปถึงไหนแล้ว”
    “เหมือนเดิมครับพี่ ไม่มีที่ไหนรับเลย”
    “เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก ต้องมีสักที่ที่เขาเห็นความสามารถของเรา เชื่อพี่ ตอนนี้ทำงานกับพี่ไปก่อน สบายๆ”
    
ลูกค้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาตลอดทั้งคืน เอกราชต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม แทบไม่มีเวลาได้พัก เก่งกล้าเฝ้ามองอยู่เงียบๆ พร้อมกับชื่นชมในความขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ของเด็กคนนี้ และยินดี  หากเอกราชได้งานใหม่ที่ก้าวหน้า และมั่นคงในเร็ววัน
    
    เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เมื่อลูกค้าโต๊ะสุดท้ายลุกออกไป เอกราชทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ปาดเหงื่อที่เกาะพราวเต็มใบหน้า รินน้ำจากกระติกแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดด้วยความกระหาย

    “ไม่มีไอ้ยอดกับไอ้หน่อง เหนื่อยชะมัดยาดเลย”
    “เดี๋ยวพี่หักเงินจากสองคนนั่น เป็นค่าเหนื่อยวันนี้ให้เอาไหม” เจ้าของร้านพูดขึ้น ตายังจดจ่อกับสมุดบัญชี
    “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพวกมันมาหักคอผมเอา”
    “ขอบใจเอกมากจริงๆ ไม่ได้เอก ร้านพี่คงแย่”
    “ผมต่างหากล่ะครับ ถ้าไม่ได้พี่เก่ง ชีวิตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
    “วันนี้กลับได้เลยนะ ไม่มีไรแล้ว เดี๋ยวพี่อยู่ปิดร้านเอง” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำท่าจะทักท้วง เก่งกล้าจึงรีบชิงตัดบททันควัน “นี่เป็นคำสั่งของเจ้านาย ต้องทำตาม”

    เด็กหนุ่มรับคำอย่างเสียมิได้ คงไม่มีเจ้านายคนไหนใจดีเท่าพี่เก่งอีกแล้ว ก่อนจะออกจากร้านไป เก่งกล้าอวยพรให้เขาโชคดีในการหางานใหม่ ชายหนุ่มตื้นตัน พูดอะไรไม่ออก ได้เพียงยิ้มแทนคำขอบคุณ และกล่าวอำลา โดยไม่อาจล่วงรู้เลยว่า นั่นอาจจะเป็นการทำงานร่วมกันครั้งสุดท้าย

    แม้เวลาล่วงเข้าเที่ยงคืนกว่า แต่ผู้คนยังเดินกันขวักไขว่เต็มสองฝาก บรรยากาศไม่ต่างจากตอนหัวค่ำ คืนนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน เอกราชเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบ พลางสำรวจร้านรวงต่างๆ ที่เดินผ่าน บางร้านเริ่มเก็บของบ้างแล้ว ขณะที่บางเจ้าลูกค้ายังแน่นเอี๊ยด  
    เอกราชเดินไปจนถึงร้านขายนาฬิกา หยุดแวะดูด้วยความสนใจ ในขณะที่เขากำลังก้มเลือกนาฬิกาอยู่นั้นเอง จู่ๆ มีชายคนหนึ่ง กึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนมา ท่าทางเร่งรีบ คงไม่ทันได้มองคนที่ย่อตัวอยู่ เลยชนเขาเข้าอย่างจัง จนล้มลงไปทั้งคู่ ชายคนนั้นกล่าวขอโทษห้วนๆ แล้วรีบลุกพรวดจากไป ทิ้งเอกราชที่กำลังพึมพำอย่างหัวเสีย ไว้เบื้องหลัง

    ในจังหวะที่เขากำลังยันตัวจะลุกขึ้น มือได้กดทับลงบนบางสิ่ง ลักษณะ หนา นุ่ม และพบว่ามันคือกระเป๋าเงิน คาดว่าคงจะเป็นของชายคนเมื่อกี้ เอกราชเปิดดู มีบัตรประชาชน บัตรเครดิต และบัตรอื่นๆ ที่สำคัญมีเงินสดในกระเป๋าเกือบห้าหมื่นบาท!!

    ความคิดแวบแรกแล่นผ่านเข้ามาในหัว บอกให้เขาเก็บกระเป๋านี้ไว้ แต่ความคิดฝั่งตรงข้ามก็เข้ามาค้านอย่างรวดเร็ว สั่งให้เขารีบนำไปคืนเจ้าของ ชายหนุ่มยืนชั่งใจ ปล่อยให้ความคิดสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด เงินจำนวนนี้มากพอที่จะทำให้แม่และน้องอยู่อย่างสบายไปหลายเดือน แต่ชายคนนั้นคงครอบครัวต้องเลี้ยงดูไม่ต่างจากชายหนุ่ม ครอบครัวอาจจะเดือดร้อนแค่ไหน หากเงินจำนวนนี้หายไป เพียงไม่นานเขาก็ตัดสินใจได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่