หุ้นก้นบุหรี่

กระทู้สนทนา
ตอนนี้มีแต่คนสูบบุหรี่กันเต็มตลาด ไม่มีใครทิ้งก้นบุหรี่เลย ผมเองก็เดินหาก้นบุหรี่อยู่ทุกวัน เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง แต่ถ้าไม่เจอจริงๆก็ต้องรอ วันนี้มีคนสูบ วันหน้าก็ต้องมีคนทิ้ง มันเป็นสัจธรรมครับ อมยิ้ม04


หุ้น  “ก้นบุหรี่”  นั้น  คือหุ้นที่ วอเร็น บัฟเฟตต์  เปรียบเทียบว่าเหมือนกับก้นซิการ์ที่คนทิ้งแล้ว   มันเหลือให้สูบได้อีกเพียงอึกสองอึกเท่านั้น   แต่เนื่องจากเราสามารถเก็บได้ฟรี  ดังนั้น   มันจึงคุ้มค่าไม่มีอะไรจะเสีย   นี่เปรียบเสมือนหุ้นของกิจการที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร  บางทีอาจจะเป็นกิจการที่  “เน่า”   ด้วยซ้ำไป  แต่เนื่องจากราคาหุ้นถูกมาก  ดังนั้น ถ้าเราซื้อเก็บไว้   วันหนึ่งราคาก็มักจะปรับขึ้นมาให้เราได้ขายทำกำไรได้    และนี่ก็คือกลยุทธ์แบบ  เบน  เกรแฮม  หรือ  Value Investor  แบบดั้งเดิมซึ่งบัฟเฟตต์บอกว่ามันไม่ดีพอ   สู้ลงทุนในหุ้นดีเยี่ยมแต่ราคายุติธรรมจะดีกว่า    อย่างไรก็ตาม   ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำมาก ๆ  การลงทุนในหุ้นก้นบุหรี่ก็อาจจะให้ผลตอบแทนสูงได้และบัฟเฟตต์เอง  ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุนของเขาก็เคยใช้กลยุทธ์นี้ลงทุนและประสบความสำเร็จได้มากเช่นกัน

วิธีหาหุ้นก้นบุหรี่ที่ง่ายที่สุดแบบหนึ่งก็คือ   การดูข้อมูล  P/B  หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้น   ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีมาก  นั่นคือ  เราจ่ายเงินซื้อหุ้นน้อยแต่เราได้ทรัพย์สินสุทธิของบริษัทมาก    ในภาวะปกติ  ค่า P/B  มักจะสูงกว่า  1 เท่า  โดยเฉลี่ยน่าจะประมาณ  2  เท่า    แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน  ค่า  P/B  เหลือประมาณเท่ากับ  1  เท่านั้น    แต่ถ้าจะหาหุ้นก้นบุหรี่จริง ๆ   เราอยากได้ค่า  P/B  ต่ำกว่า  1  เท่ามาก ๆ    วิธีหาค่า  P/B  นั้นไม่ยาก   เราอาจเริ่มต้นโดยการดูจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจบางฉบับได้    โดยทั่วไป  ค่า  P/B ยิ่งต่ำก็ยิ่งแสดงว่าหุ้นตัวนั้นยิ่งถูกเมื่อเทียบกับทรัพย์สินสุทธิที่บริษัทมีอยู่   ค่า P/B  เท่ากับ  0.5  แปลว่าเราซื้อทรัพย์สินสุทธิของบริษัทได้ในราคาเพียงครึ่งเดียว   ค่า  P/B  เท่ากับ  0.3  แปลว่าเราสามารถซื้อทรัพย์สินสุทธิของบริษัทได้ในราคาเพียง  30%

แนวคิดของการซื้อหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับทรัพย์สินของบริษัทอยู่ที่ว่า    ราคาหุ้นในที่สุดก็จะปรับตัวขึ้นไปอย่างน้อยก็น่าจะใกล้ ๆ  กับทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่    เพราะถ้าหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นไป   วันหนึ่งก็จะมีคนเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทแล้วเอาทรัพย์สินของบริษัทออกขาย   จ่ายหนี้เจ้าหนี้ที่มี    แล้วเอาเงินมาคืนผู้ถือหุ้น  ซึ่งเงินที่แบ่งคืนนี้ก็จะมากกว่าราคาหุ้นที่ผู้ถือหุ้นจ่ายซื้อหุ้น   ตัวอย่างเช่น  ถ้าราคาหุ้นเท่ากับ  0.5  หรือครึ่งหนึ่งของมูลค่าทางบัญชี  ผู้ถือหุ้นก็จะได้เงินคืนเป็น  2 เท่าของเงินที่เขาลงไป  ถ้า  P/B  เท่ากับ 0.2  คนที่ซื้อหุ้นไว้ก็จะได้เงินคืนเท่ากับ  5  เท่าของเงินที่เขาลงทุนไป    นี่คือการคิดทางทฤษฎี

แต่ก่อนที่เราจะสรุปว่าคุ้มค่าหรือไม่นั้น   สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ  ทรัพย์สินของบริษัทที่ปรากฏในบัญชีนั้น   มีมูลค่าจริงหรือมูลค่าตลาดเท่ากับมูลค่าทางบัญชีหรือไม่    เพราะมูลค่าทางบัญชีนั้นเป็นมูลค่าในอดีตในวันที่บริษัทซื้อทรัพย์สินนั้นมา   ราคาปัจจุบันอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าราคาตามที่ปรากฏในบัญชีก็ได้    ดังนั้น  เราจึงต้องดูทรัพย์สินของบริษัทว่าเป็นอะไร

ที่ดินของบริษัทที่เป็นที่ตั้งของโรงงานหรือสำนักงานของบริษัทที่บริษัทซื้อมานานนั้น   มักจะมีมูลค่าหรือราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบริษัทมีที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองและซื้อมานานแล้ว   แบบนี้ต้องถือว่าราคาน่าจะเท่ากับหรือสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีได้   อย่างไรก็ตาม  ในกรณีของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สร้างบ้านหรือคอนโดขาย  เราคงต้องศึกษารายละเอียดมาก   เพราะที่ดินที่ซื้อมาอาจจะไม่ได้ซื้อมานาน  ราคาตลาดอาจจะต่ำกว่าราคาที่ปรากฏในบัญชีได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าบริษัทเหล่านั้นต้องเอาดอกเบี้ยค่าซื้อที่ดินมาทบเป็นต้นทุนของที่ดินในบัญชีด้วย   ดังนั้น  การดู  P/B  ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นเกณฑ์ในการเลือกหุ้นก้นบุหรี่จึงไม่ปลอดภัยนัก

โรงงาน  อุปกรณ์  เครื่องจักร ซึ่งมักเป็นทรัพย์สินใหญ่ที่สุดของบริษัทที่ผลิตสินค้าขายนั้น  มักไม่มีราคาตลาดชัดเจน   เครื่องจักรของกิจการที่เป็นอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”   บางอย่างอาจจะไม่มีค่าหรือไม่มีราคาถ้าต้องเลิกกิจการแล้วเอาเครื่องจักรไปขาย   ตัวอย่างเช่น  เครื่องจักรสิ่งทอของเบิร์กไชร์แฮทธาเวย์ที่บัฟเฟตต์ขายไปในตอนเลิกกิจการนั้น   ราคาขายก็คือเท่ากับเศษเหล็ก  เมื่อรวมค่ารื้อถอนก็คือศูนย์หรือติดลบ    ดังนั้น   กิจการการผลิตทั้งหลายโดยทั่วไปผมคิดว่าเอาค่า  P/B  มาใช้เป็นเกณฑ์เลือกหุ้นก้นบุหรี่ไม่ได้

ลูกหนี้  ถ้าเป็นลูกหนี้การค้า  และเราดูแล้วว่าเป็นบริษัทหรือหน่วยงานรัฐที่มีเครดิตดีเยี่ยม   เราอาจจะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับมูลค่าทางบัญชีได้   แต่ลูกหนี้การค้าทั่วไป  และลูกหนี้เงินกู้เช่นลูกหนี้ของสถาบันการเงินทั้งหลายอาจะมีมูลค่าจริงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีได้โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ  เพราะลูกหนี้อาจจะเบี้ยวหนี้กัน    ดังนั้น  สำหรับสถาบันการเงินแล้ว   การใช้  P/B  เป็นตัววัดในการหาหุ้นก้นบุหรี่ก็อันตรายมาก  เพราะลูกหนี้ที่เป็นทรัพย์สินหลักนั้นมีปริมาณคิดเป็นเม็ดเงินสูงมาก   บางทีเป็น  10  เท่าของมูลค่าหุ้น   ถ้ามูลค่าลดลงเพียง  10%  มูลค่าหุ้นก็หมดแล้ว  

สต็อกสินค้านั้น   โดยทั่วไปก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีมูลค่าเท่ากับมูลค่าทางบัญชีโดยเฉพาะถ้าเป็นสต็อกสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งราคาผันผวนมากในช่วงที่ผ่านมา   ดังนั้น  ธุรกิจเช่นที่ขายเหล็ก  น้ำมัน  ถ่านหิน  ปิโตรเคมี  ธัญพืช ซึ่งต้องมีสต็อกสินค้ามาก  เราจะใช้ P/B  มาวัดว่าหุ้นถูกมากอาจจะไม่ได้โดยเฉพาะในยามที่ราคาโภคภัณฑ์เป็นขาลง

อาคารที่อยู่ในย่านธุรกิจ  เครื่องจักร  อุปกรณ์มาตรฐานเช่น  รถ  เรือ  เครื่องบิน ที่สามารถขายได้ในท้องตลาด  โรงแรมในย่านท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง   เหล่านี้สามารถบอกได้ว่าจะมีราคาใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชีและอาจจะพอนำมาใช้ในการหาหุ้นก้นบุหรี่ได้

สุดท้ายก็คือ   การดูตัวเลข P/B  และดูว่าทรัพย์สินมีค่าเท่ากับมูลค่าทางบัญชีเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่พอ  เพราะข้อเท็จจริงก็คือ  คงไม่มีคนเทคโอเวอร์กิจการเพื่อตัดขายทรัพย์สิน  ดังนั้น  สิ่งที่ควรดูเพิ่มก็คือ  กิจการจะไม่ขาดทุนมากมายที่จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงมาก   และในอนาคต   กิจการน่าจะกลับมาทำกำไรตามปกติที่เคยทำได้ต่อเนื่องมายาวนาน   ดังนั้น   ถ้าเจอหุ้นก้นบุหรี่ดังกล่าว   การลงทุนก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ไม่เลวและเราอาจจะพอหวังได้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจนค่า  P/B  กลับขึ้นมาใกล้ ๆ  กับ  1 เท่าหรือใกล้กับค่า  P/B  ที่เคยเป็นต่อเนื่องมายาวนานก่อนที่จะเกิด  “มหกรรมของถูก” ในช่วงนี้
เครดิตบทความโดย.... ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่