ความรู้คู่ความบันเทิงแล้ว มิติใหม่ของInvestment Seminar

กระทู้สนทนา
สรุปความโดย วรวรรณ ธาราภูมิ
CEO กองทุนบัวหลวง


พี่เคี้ยว CIO กองทุนบัวหลวง
-------------------------------

เน้นเรื่องการแสวงหาและคัดเลือกหุ้นที่เป็น Stars เป็น Growth Stocks ภายใต้ Theme การลงทุนที่เห็นข้างหน้าในอนาคต

เรื่อง QE เรื่องเงินต่างชาติที่เข้าๆ ออกๆ ซึ่งคล้ายๆ เงินร้อนจากต่างชาติทำตัวเป็นเจ้ามือตลาดหุ้นไปทั่วโลกนั้น พี่เคี้ยวบอกว่า “เจ้ามือตัวจริงคือ กำไรหุ้น ไม่ใช่เจ้ามืออย่างรัฐบาลและธนาคารกลางทั้งหลาย”  หมายความว่า ผลกำไรของบริษัทที่เราลงทุนจะเป็นตัวตัดสินคุณค่าและราคาหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่ข่าวที่จะรบกวนเราไปตลอดเส้นทางลงทุนเหมือนละครภาคดึกที่มีฉายให้ดูทุกวันอย่างเรื่องเพดานหนี้ในอเมริกา อย่างเรื่องปัญหาของยุโรป ที่จะมากวนเป็นระยะๆ  

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกประเทศ แม้จะกระทบได้ทั้งบวกและลบในระยะสั้น แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศเลย แบบว่ายังต้องขับรถส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน ยังต้องกิน ต้องใช้  ดังนั้น Thinking Process จึงสำคัญที่สุด เราหา Theme ลงทุน คือหาวงจรแห่งความรุ่งเรือง แล้วกำหนด Trend ของ Theme

Theme ในวันนี้คือ Urbanization ซึ่งจะได้รับผลดีจากการที่เมืองขยาย ทำให้คน ตจว. มีเงินมากขึ้น ทำให้การบริโภคภายในประเทศไปได้อีกมาก

หลังจากนั้น เราจึงไปแสวงหาบริษัทที่จะได้รับผลดีจาก Theme นั้น หรือที่เรียกว่า Bottom up ซึ่งเราหาหุ้นโดยไม่ได้วิเคราะห์เฉพาะเชิงปริมาณหรือดูแค่ตัวเลขผลการดำเนินงาน แต่เราดูคุณภาพด้วย  

เราไม่ได้ซื้อเพราะแค่ดูตัวเลขสวยๆ แต่ใช้รูปแบบของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ที่ออกไปเสาะหาข้อเท็จจริงของธุรกิจ สืบค้น พูดคุยกับแหล่งข้อมูล เช่น คู่แข่ง ซัพพลายเออร์ ลูกค้า เพื่อที่จะดูให้ลึกลงไปว่าการดำเนินงานของบริษัทที่แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ ค่ายกองทุนบัวหลวง ไม่ได้ผูกตัวเองกับการเอาชนะตลาด ไม่ได้ตั้งเป้าเอาชนะคู่แข่ง ไม่ได้มุ่งให้ผลงานกองทุนชนะดัชนีตลาดหุ้น แต่เรามุ่งไปที่การหาหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะ

จินตนาการที่จะบรรลุได้ ไม่ใช่แบบโบรกเกอร์ที่ขยับราคาไปเรื่อยๆ  ในขณะที่เรามองไปแล้วตั้งแต่ต้น

ไวน์ชั้นดีเดิมคือไวน์จาก Old world เช่นของฝรั่งเศส แต่เดี๋ยวนี้เรามีไวน์ดีๆ จาก New World แล้ว ไทยก็มีบริษัทดีๆ ที่คล้ายๆ กับไวน์ดีๆ จาก New World ให้คนเลือกลงทุนได้ เรามอง AEC เป็นโอกาสมาก โดยต่อยอดเรื่องเดินทาง ขายของเพื่อนบ้าน Medical Tourism

เราให้ความสำคัญในเรื่อง Brand Image ของหุ้นที่เราสนใจจะลงทุน โดยเป็นบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่ติดตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน แต่ไม่จำกัดว่าเฉพาะอาเซียน ซึ่งเรื่องอย่างนี้ Brand Image เป็นสิ่งสำคัญ และสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีรายได้มากขึ้น ก็เลือกสินค้าและบริการที่มี Image ดีมากขึ้น

พี่เคี้ยวยกตัวอย่างว่าที่พัทยาเดิมมีป้ายภาษาไทยกับอังกฤษ เดี๋ยวนี้มึคำเตือนภาษาจีน ภาษารัสเซีย แล้ว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวไทยยังรู้จักใช้ดาราไทยไปดึงดูดคนจีน โปรโมท สำเร็จจนไฟลท์บินเดือน ธค เต็ม

ด้านการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาใน Real Sectors ไทยนั้น ก็ขึ้นเยอะ เช่น ญี่ปุ่น ที่มาเร็ว มาจริง

ในปี 2555 ทีมจัดการกองทุนบัวหลวง เรียก Theme ที่ใช้ด้วยชื่อที่จำได้ง่ายๆ ว่า “บินแหลก แ_กไม่อั้น ซึ่งหมายถึงกิจการที่เกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ และการบริโภค

สำหรับปีนี้ เราก็ยัง “บินแหลก แ_กไม่อั้น” ต่อจากปีก่อน และเพิ่มด้วยประโยคที่ว่า “Light up your life, protect your assets.  

“Light up your life” หมายถึงชีวิตที่สุขสำราญ สว่างไสว ไฟฟ้า เดินทางท่องเที่ยว ปลดปล่อย บันเทิง สวยขึ้น แต่งตัว Entertainment

ส่วน “Protect your assets” มีสองความหมาย อย่างแรกหมายถึงผู้คนจะเริ่มคิดถึงการปกป้องคุ้มครองตนและครอบครัวมากขึ้น เช่น ทำประกันชีวิต สุขภาพ รถ และในอีกแง่หนึ่งสำหรับการบริหารพอร์ตกองทุนของเรา เราจะปกป้องพอร์ตกองทุน และ Defensive มากขึ้น

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงวิชาการและตัวเลขเท่านั้นที่จะทำให้เลือกลงทุนได้สำเร็จ จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้บรรลุได้ แต่ไม่ใช่จินตนาการลมๆ แล้งๆ ในขณะที่เรามองเห็นราคาหุ้นในอนาคตว่าน่าจะไปได้ถึงแค่ไหน เราก็ยึดเป้าหมายไว้ตรงนั้นตั้งแต่เราเริ่มลงทุน ซึ่งต่างกับโบรกเกอร์ที่ขยับราคาหุ้นไปเรื่อยๆ  

นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีระดับ CIO กองทุนต่างประเทศจำนวนมากที่ติดต่อขอมาพบเรา มาพบคู่แข่งเรา และไปเยี่ยมชมกิจการต่างๆ ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นี่ยิ่งยืนยันได้ถึงกระแสตะวันออกและเอเชียมาแรง โดยเฉพาะอาเซียน เพราะเดิมนั้น ตัวใหญ่ๆ แบบนี้ไม่มีมาด้วยตนเอง ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช่เงินร้อน เป็นกลุ่มที่ลงทุนได้นาน

สำหรับเงินร้อนช่วงสั้นๆ นั้น Currency War กำลังเป็น issue  และจะเกิด yen carry trade ยังมี Fund flow เข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง

สำหรับการลงทุนใน AEC นั้น ทีมจัดการกองทุนของเรามีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว รอให้ Operation ด้านชำระราคาและส่งมอบของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับโบรกเกอร์เรียบร้อยก่อน โดยเราแบ่งนักวิจัยเราให้ดูกิจการในประเทศต่างๆ ครบถ้วน

ท้ายสุด พี่เคี้ยวบอกว่า ….

“Be bullish in bull market”

“อย่าไปกลัว แต่ให้ลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ




พี่ฮุย CIO กรุงศรี
-------------------

ค่ายนี้บอกว่า ระยะเวลาเป็นกุญแจสำคัญสำหรับพอร์ตลูกค้า แต่กุญแจสำคัญสำหรับพอร์ตกองทนที่พี่ฮุยบริหารคือการเติบโตที่มีคุณภาพของธุรกิจที่มียุทธศาสตร์ดี มีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ มีการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เขาจะดูว่าผลงานในอดีตที่ผ่านมาหลายไซเคิลนั้นทำให้บริษัทพร้อมรับมืออนาคตที่ไม่แน่นอนไหม แล้วจะปรับข้อมูลนามธรรมนั้นมาเป็นตัวเลขให้ได้ และดูด้วยว่าเป็นธุรกิจที่นอกจากจะสร้างสรรผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว ยังสร้างสรรสังคมหรือไม่  

กรุงศรี จะศึกษาบริษัทใน ตปท ด้วย โดยทำความเข้าใจบริษัทไทยๆ ที่เลือกลงทุนอย่างจริงจัง เพราะหุ้นไทยก็มีการค้าขายกับ ตปท

มีคนถามว่าตลาดเราแพงแล้ว หุ้นแพงแล้ว ยังจะให้ลงทุนเหรอ

พี่ฮุยตอบได้ดีมาก

"ลงทุนเป็นเรื่องยาว และย่อมมีความเสี่ยง ขณะนี้หุ้นดีๆ ที่ยังไม่แพงก็มี เช่น กิจการของเถ้าแก่รุ่นเก่า เถ้าแก่เป็นคนดี เป็นคนเก่ง แต่ราคาหุ้นของเถ้าแก่ยังไม่ไป อาเสี่ยลูกชายยังบ่นว่า ป๊าๆ  หุ้นคนอื่นไป 100 บาทแล้ว ทำไมของเรามันแค่บาทเดียว”

พี่ฮุยบอกว่า หุ้นแบบนี้ละที่เราแสวงหา และมันยังราคาถูก

ราคาหุ้นที่ PE ปี 2557 เป็น 12 เท่า และที่ PE ปีนี้เป็น 13 เท่ายังไม่แพง หากเลือกหุ้นเป็น

พี่ฮุยให้มุมมองว่า ปีนี้ รัฐวางแนวทางให้ต้นทุนประเทศแข่งขันได้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้การขนส่งถูกลง แม้ค่าแรงขึ้น เพราะต้นทุนธุรกิจทั้งหมดต้องมองรวมๆ

การที่รัฐบาลสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานนั้น จะสนับสนุนการเจริญเติบโต และต้องประมาณการอนาคตใหม่ ได้ PE ใหม่

การบริโภคภายในยังไปได้ดีในระยะยาว หุ้นจึงไม่แพง จะไปได้อีก รวมทั้งสาธารณูปโภค

อสังหาริมทรัพย์เองจะร้อนแรงได้อีกยาว เพราะด้วยมาตรฐานค่าครองชีพ ค่าแรง ที่ไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน แต่ราคารบ้าน/ที่ดิน ยังถูกเมื่อเทียบกับประเทสอื่น จึงคาดว่าอสังหาฯ ในเอเชียจะได้เงินต่างชาติ มาเลเซียได้โอกาสมาก และไทยก็มีหวัง

GDP ปีนี้ค่ายกรุงศรีมองที่ 6.7% มองสูงกว่าเพื่อน เพราะปีนี้กำลังซื้อดี โฆษณาดี โรงพยาบาลดี ส่วนระยะยาวกว่าหนึ่งปีคือ ท่องเที่ยว Hospitality

ตลาดหุ้นเราเปิดมาตั้งแต่เมษายน 2518 รวมอายุ 38 ปี หุ้นขึ้น 22 ปี หุ้นบวกเกิน 100% 3 ปี  บวกเกิน 50% 6 ปี  

ส่วนปีที่หุ้นลบมี 12 ปี ขาดทุน 0-5% ไป 2 ปี  ขาดทุนเเกิน 20% ขึ้นไป 6 ปี และที่ลงแรงเพราะมีวิกฤติเช่นสงคราม เศรษฐกิจโลก

ดังนั้นโดยรวมแล้ว ขึ้นมากกว่าลง

พี่ฮุยสรุปท้ายว่า

“การลงทุนให้รวยนั้นไม่ยาก แต่ทำอย่างไรถึงจะรวยอย่างยืนยาว ยิ่งตลาดร้อนแรงก็ยิ่งผันผวน เกิดอะไรได้ทั้งนั้นในระยะสั้น เพราะเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าลงทุนยาวเรามีโอกาสดีขึ้น”




พี่ Tod (Adithep) ค่าย Aberdeen
------------------------------------------

พี่ Tod เริ่มด้วยการตอบคำถามน้องทีน่าเรื่อง Fund Flows ตปท ว่าจะเข้าอีกไหม จะออกเมื่อไหร่ว่า ..

“ไม่รู้ เราไม่รู้อนาคต แต่นั่นไม่สำคัญไปกว่าการเลือกหุ้นที่ถูกตัว”

ค่าย Aberdeen เลือกหุ้นแบบ Bottom up เช่นกัน เลือกหุ้นดีไว้ก่อน แล้วดูที่ราคาถูกแพงทีหลังก่อนจะลงทุน

คุณภาพ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น บรรษัทภิบาล (CG) ล้วนสำคัญ การลงทุนยาวๆ ก็เหมือนแต่งงาน และค่าย Aberdeen มีข้อได้เปรียบคือมีผู้ถือหุ้น ตปท ที่หารือกันสม่ำเสมอในการลงทุน

ในการลงทุนนั้น Aberdeen ก็เป็นอีกค่ายที่ “รักแล้ว รักเลย”  (อันนี้สำนวนพี่ตู่เอง) มีปรับสัดส่วนบ้าง แต่ไม่ขายทิ้ง ยกเว้นเปลี่ยนมุมมองว่ามันไม่ดี หรือแพงไป และจะถือหุ้นที่เลือกแล้วยาวนานมาก แหม ก็กว่าจะเจอของดีมันใช้เวลานี่นา

แล้วอะไรที่จะบอกได้ว่า “ดีและถูก”

ตรงนี้ พี่ Tod ให้ดูที่รายได้บริษัทว่าจะขยายเพิ่มสูงขึ้นได้ไหม มีโอกาสทางธุรกิจดีขึ้นอีกไหม

Aberdeen เน้น Consumer, Insurance, Media, Hospitality, Auto, Hotel, Food, Selective Banks แต่ไม่ชอบ Energy ไม่ชอบ Commodity และเคยเจ็บตัว (อันนี้พี่ตู่ว่าน่ารักมาก ที่เล่าตรงไปตรงมา เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยเจ็บตัว เพียงแต่กล้ายอมรับไหม)

แต่ตอนนี้ ตัวที่เคยไม่ชอบกำลังเป็น Laggard จะลงทุนก็ได้ แต่ต้องระวัง

พี่ Tod บอกว่า ....

“อย่าไปหลงดูผลงานกองทุนเพียงปีเดียว ต้องยาวกว่านั้น เป็น 3 ปี  5 ปี โดยเฉพาะ 10 ปี และนัวนนี้ ผู้เข้าสัมมนาได้พบกับ 3 บลจ. ที่มีผลการดำเนินงานระยะยาวที่ดีในแถวหน้าของอุตสาหกรรมแล้ว”

โอ้ว  ....  ทั้งหล่อเข้ม และเร้าใจ





ลืมบอกความต่างกันของ 3 ค่ายนี้

โดยรวมๆ คล้ายกัน อาจต่างเรื่อง Sector กับหุ้น แล้วแต่ใครเลือก

ความต่างที่เห็นคือ Aberdeen กับ กรุงศรี จะ Fully Invset หมายถึงลงทุนหุ้นเต็มที่ ลงทุนหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา

ส่วน บัวหลวง หากมีเหตุการณ์ผิดปกติวิสัยมากๆ จนประเมินความเสี่ยงไม่ได้อย่างในปี 2008 เราก็เคยลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ตจนเหลือ 65%-68% มาแล้ว ทำให้ปี 2008 ที่ตลาดติดลบกว่า 40% แต่ของบัวหลวงติดลบน้อยกว่า คือติดลบ กว่า 30%

ที่เป็นแบบนี้ เพราะแม้จะเชื่อในหุ้นที่ลงทุน แต่ในสถานการณ์ขณะนั้นมันผิดปกติและคาดเดาความเสี่ยงไม่ได้เลยในเรื่อง Subprime กับ CDO ดังนั้น การถอยจะปลอดภัยกว่า และหากไม่ถอย ยอมปล่อยให้ NAV ดิ่งลงไปมากๆ พอๆ กับตลาด เราจะต้องให้ตลาดฟื้นขึ้นมา 2 เท่า ถึงจะได้เท่าเดิม

So far เรายังคิดถูก และมันใช้เวลา 2-3 ปีถึง Pay off ให้เห็นชัดเจนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม มันเห็นผลตั้งแต่ปี 2554 มาจนถึงวันนี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่