เรื่องจริงที่คุณควรรู้ และต้องอ่าน จะได้ไม่พลาด และต้องถูกดำเนินคดีที่สนามบิน

กรมสรรพสามิตรสนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องเล่าสู่กันฟัง กับประสบการณ์จริง...

เรื่องจริง กว่าที่มนุษย์เงินเดือนจะสามารถเก็บเงินเก็บทองไปเที่ยวต่างประเทศได้ แต่หลังจากสนุกสนานได้ไม่กี่วัน กลับต้องถูกดำเนินคดี จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยบริสุทธิ์ใจ การถูกดำเนินคดีโดยปราศจากความปราณี นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าพนักงานที่มีกฏหมายอยู่ในมือ กับสิ่งที่ประชาชนต้องรับกรรม!!!!

หลังจากการเดินทางไปท่องเที่ยวกับครอบครัว และบรรดาเพื่อนฝูง จำนวน 13 คน ช่วงเวลาที่สนุกสนาน ความรู้สึกดีๆ ก็มลายหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ในที่ต้องถูกดำเนินคดีและเสียค่าปรับแบบโง่ๆ เมื่อเดินทางกลับสู่สนามบินสุวรรณภูมิ

เรื่องทั้งเรื่องเกิดขึ้นจากว่า คณะเราได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศฮ่องกง เมื่อถึงเวลากลับก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าจะต้อง แวะซื้อของฝากที่ Duty free ประเทศที่เราเดินทางไป ซึ่งใจครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อคณะของพวกเราผ่านพิธีการตรวจคนขาออกจากประเทศฮ่องกงแล้ว พวกเราทั้ง 13คน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าครึ่งนึงไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ และนี่เป็นครั้งแรกของพวกเค้าที่เคยไป
ด้วยความที่ไม่รู้ภาษา สื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่ได้ ที่สำคัญคือเงินที่พวกเราแลกกันไปก็หมดแล้ว สิ่งที่พึ่งพิงได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือบัตรเครดิต  ดังนั้นพวกเราทั้งคณะก็ได้ซื้อบุหรี่รวมกันได้ที่ 10 คัตต้อน (กฏหมายกำหนดไว้ว่า 1คน จะซื้อได้ 1คัตต้อน) ซึ่งพวกเราก็รู้กฏข้อนี้ดี จึงซื้อมาไม่เกินตามที่กฏหมายเมืองไทยกำหนดไว้ เมื่อรวมบุหรี่ได้แล้ว ก็รวบรวมแล้วไปจ่ายเงิน โดยใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้านั้น จำนวน 10 คัตต้อน และทางพนักงานก็ทำการนำสินค้าทั้งหมดใส่ลงในถุงเดียว แล้วให้ถุงต่างหากมาโดยใส่ไว้ในถุงสินค้าถุงนั้น หลังจากนั้นพวกเราก็รีบเดินทางไปขึ้นเครื่องบินโดยทันที เพราะว่าเหลือเวลาไม่มากนักที่เครื่องบินจะออก หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมง เมื่อเครื่องบินแล่นลงยังสนามบินสุวรรณภูมิ ความทุกข์ก็เริ่มมาเยือน หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเรียบร้อย พวกเราทั้งหมดก็เดินออกมารับกระเป๋า แล้วก็เอากระเป๋าใส่รถเข็น ช่วยๆ กันเข็นกันออกไป เมื่อผ่านออกมาได้แล้ว ก็มีเจ้าหน้าที่จากสรรพสามิตร เข้ามาล้อมกัน 3 คน แล้วเรียกให้รถเข็นที่วางบุหรี่ที่พวกเราซื้อกันมานั้นแยกออกไป แล้วพาเข้าห้องต่อด้วยการแจ้งข้อหาว่า มียาสูบที่มิได้ปิดสแตมป์ครอบครองเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ซึ่งทางเราก็ได้อธิบายไปด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าพวกเราไม่ได้ซื้อเข้ามาเกิน เพราะเราเดินทางกัน 13 คน แต่นำเข้ามาแค่ 10 คัตต้อนเท่านั้น แล้วก็จะพยายามแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยจะเรียกทุกคน ให้เข้ามาแล้วให้ตรวจค้น ว่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้วจริงๆ แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตอบกลับคือบอกว่าในใบเสร็จของพวกเรา เป็นการซื้อและจ่ายเงินเพียงครั้งเดียว ซึ่งเราก็ได้อธิบายแล้วว่าเนื่องจากเงินต่างประเทศที่แลกไปหมด จึงต้องนำสินค้ามารวมๆ กันและทำการรูดบัตรเครดิตในการซื้อ แต่เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะไม่พยายามเข้าใจพวกเรา เอาแต่ข้อกฏหมายมาอ้างว่า ต้องแยกกันถึงเท่านั้น....พวกคุณต้องรู้กฏหมาย ซึ่งพวกเราก็บอกว่าเรารู้กฏหมายว่าให้ซื้อได้คนล่ะ 1 คัตต้อน ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้ซื้อมาเกินจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็ย้อนกลับไปพูดเหมือนเดิมว่ามันคือกฏหมายพวกคุณต้องรู้ พวกคุณต้องทราบ.

สิ่งที่สงสัยและอธิบายไปมากมาย ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ซึ่งในขณะนั้นพวกเรา 4 คนจาก 13 คน ก็นั่งอยู่ในห้องนั้น พยายามที่จะให้ทางเจ้าหน้าที่เห็นใจ ในความผิดพลาดที่ไม่ได้รู้มาก่อนว่า พวกเราต้องแยกกันเข็นรถคนล่ะคัน เอาบุหรี่ไปถึงคนละคัตต้อน ถึงจะไม่ผิดกฏหมาย พวกเราพยายามขอความเห็นใจ แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่แสดงกลับมาก็คือ การพูดจาดี แต่ไร้น้ำใจ ใช้แต่ข้อกฏหมายว่าในรถคันนี้มีบุหรี่เกิด 1 คัตต้อนต้องโดนจับและดำเนินคดี

คุณเชื่อไหมครับ กับความผิดพลาดแบบไม่ได้แต่ตั้งใจ พวกเราโดนปรับเงินเป็นจำนวน 47,850 บาท บวกกับโดนยึดของที่ซื้อมาอีกจำนวน 7 พันกว่าบาท ........เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องหาเงินมาจ่าย ไม่งั้นต้องส่งเรื่องไปฝากขังกับทางสถานีตำรวจ สุวรรณภูมิ และต้องทำเรื่องประกันตัวจำนวน 5 หมื่นบาท ต้องขึั้นศาล พิมพ์ลายนิ้วมือ และถูกลงบันทึกประวัติทะเบียนอาญา.....

สิ่งที่อยากทราบคือ คนที่ไม่เคยทำผิดมาก่อนในชีวิต ไม่เคยมีคดีอะไรติดตัว ก็จะเป็นคดีไป ถ้าคุณหาเงินมาจ่ายค่าปรับไม่ได้ มันยุติธรรมแล้วหรือครับ กับความผิดเพียงเท่านี้??????
ค่าปรับจำนวนตั้งมากมาย ถ้าคนที่ไม่มีเงินจริงๆ ก็คงต้องติดคุก ต้องโทษคดีอาญา กับความผิดแบบไร้เดียงสาที่ไม่ได้ตั้งใจ และไม่รู้ข้อกฏหมายมาก่อน

ในทางกฏหมายเราไม่เถียงว่าข้อกำหนดมันมีอะไรบ้าง เพียงแต่อยากให้ดูที่เจตนาของผู้ครอบครองว่าด้วยเหตุผลอะไร  ในเมื่อเราเดินทางกับ 13 คน นำบุหรี่เข้ามา จำนวน 10 คัตต้อน ซึ่งไม่เกินจากข้อกำหนดกฏหมายที่กำหนดไว้ แต่เพียงเพราะตอนที่เราซื้อ ทางพนักงานไม่ได้แยกถึงให้เรา พอมาถึงก็ต่างช่วยกันขนกระเป๋า แล้วจะมาแบ่งของแยกของกันข้างนอก ก็ไม่ได้หรืออย่างไร???
พวกเราเดินกันออกมา ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เป็นพ่อค้ายาเสพติด หรือลักลอบนำเข้าอะไรที่มันหนักหนามายมากหนัก แต่กลับต้องเสียค่าโง่ 5-6 หมื่นบาท.......

ทฤษฏีกับการปฏิบัติ มันจะเป็นไปได้อย่างไรครับ ในเมื่อพวกเราเป็นครอบครัว เป็นเพื่อนฝูงกัน และการที่เข็นและนำสิ่งของมาวางเอาไว้ ในรถเข็นคันเดียวกัน คือความผิดแบบไม่มีโอกาสแก้ตัว
เจ้าหน้าที่เพียงพูดว่า คุณต้องแยกกันถือ ต่อให้คุณเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ใช้กระเป๋าใบเดียวกันก็ไม่ได้ ช่วยกันเข็นรถก็ไม่ได้ เพราะผิดหมดทุกอย่าง ไม่มีโอกาสแก้ไข นอกจากหาเงินมาจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาล...

ทุกวันนี้กฏหมายเมืองไทยมีมากมายเต็มไปหมด พวกเราเป็นประชาชนสุจริต ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ เอาแต่ข้อกฏหมายมาบังคับใช้กับประชาชนอย่างเดียว พวกเราประชาชนไทย จะทำอะไรได้ครับ นอกจากรอวันที่จะถูกต้องโทษ คดีต่างๆ

กลับกันถ้าพวกเรามีเส้นสาย รู้จักคนใหญ่คนโต เรื่องราวอย่างนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะพวกคนบังคับใช้กฏหมาย มักจะผ่อนผันให้เองโดยความเต็มใจ (มันคือความจริงในสังคมไทย) คนไม่มี เงินคนจน ก็ต้องรับสภาพไปเหล่านี้ไป......

พวกคนทำผิด ตั้งใจขนของหนีภาษีมีมากมายเต็มไปหมด แต่เพราะพวกเขาเงินถึง บารมีถึง อำนาจถึง ก็หลุดรอดไป กรรมตกอยู่กับคนที่ทำผิดแบบไม่ได้เจตนา...ไม่ฟังแม้กระทั่งคำอธิบาย


ท้ายสุดนี้อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ผู้บังคับกฏหมาย ถ้าคุณจะใช้กฏหมายแบบจริงจังผมก็จะไม่ว่าอะไรเลย และจะสนับสนุนด้วยซ้ำ  แต่กรุณาใช้กฏนี้กับคนที่มีเส้นมีสาย คนใหญ่คนโตด้วยจะได้ไหมครับ อย่างนั้นแหล่ะที่จะเรียกว่ายุติธรรม และทำตามหน้าที่อย่างแท้จริง..........


ปล.ข้อความนี้มิได้มีเจตนาหมิ่นใคร และผมยอมรับความผิดและจ่ายค่าปรับแต่โดยดี

ขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมที่ทำให้รู้กฏหมายครั้งนี้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่