ศาสนากับจิตวิทยา

กระทู้สนทนา
เคยอ่านเจอ 2-3 กระทู้ที่เกี่ยวกับศาสนาและจิตวิทยา..
บ้างก็สงสัยว่า  ในอนาคต..จิตเวชจะเข้ามาแทนที่ศาสนามั๊ย?" (ท่านจขกท.คงหมายถึงจิตเวชศาสตร์และจิตวิทยา)   บ้างก็ว่าโรคจิตเภทคือพวกขาดสติ   ต้องรักษาด้วยการเจริญสติภาวนา  บ้างก็ว่าศาสนาพุทธ "เหนือชั้น" กว่าจิตวิทยาที่ค้นพบโดยตะวันตก ฯลฯ

ดิฉันมีความคิดเห็นอย่างนี้ค่ะ

บอกตรงๆไม่ชอบคำว่า "ห่างชั้น" เลยค่ะ  ฟังดูเหมือนคนพูดเป็นพวกคลั่งศาสนาพุทธ ซึ่งมักแสดงอาการดูถูกศาสตร์อื่นๆ โดยไม่รู้ตัว

ศาสตร์ด้านจิตวิทยา (ในที่นี้รวมถึงจิตเวชศาสตร์ด้วย)  แม้จะเกิดตามหลังศาสนาพุทธหลายร้อยหลายพันปี แต่ไม่ได้หมายความว่ามัน "ด้อยกว่า"  เพราะมันคนละสาขา เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้  ถึงแม้จะเป็นสาขาเดียวกัน ก็ไม่ควรเทียบในเชิงด้อยกว่า-เหนือกว่า เพราะแต่ละสาขาล้วนมีจุดเด่น-จุดด้อยแตกต่างกันไป  ยกตัวอย่างเช่น ศาสตร์ด้านจิตวิทยาเองก็มีแนวคิดหลาย schools ซึ่งไม่ได้แปลว่า แนวคิดใดเหนือชั้นที่สุด  เพราะต่างมีจุดเด่นจุดด้อยที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้

ถึงแม้จิตวิทยาจะเป็นคนละสาขากับศาสนา  (ย้ำว่า "คนละสาขา") แต่จิตวิทยาก็ประยุกต์หลักการหลายอย่างมาจากศาสนาและปรัชญา ซึ่งส่วนใหญ่ "ไม่ได้มาจากศาสนาพุทธ"  เพราะนักคิดด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก แปลว่า..ที่ไม่ได้เป็นชาวตะวันตกก็มี ซึ่งนักคิดของกลุ่มนี้เองที่อาจได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธบ้าง

การที่จิตวิทยานำแนวคิดหลายอย่างมาจากศาสนาและปรัชญา ก็ไม่ได้หมายความว่า จิตวิทยาไปลอกแบบมาแล้วนำไปใช้ผิดๅถูกๆ  แต่จิตวิทยานำมาศึกษาทดลองตามหลักวิทยาศาสตร์  โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ใหม่ให้มีความน่าเชื่อถือ   เป็นสากล และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น  จิตวิทยาเพียงต้่องการนำความรู้ทีไ่ด้..มาอธิบายความคิดจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ  ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างลัทธิใหม่ หรือล้มล้างศาสนาใดๆ  

เพราะฉะนั้น....ไม่จำเป็นต้องแสดงอาการ "ของขึ้น" เพียงแค่มีคนเขียนคำว่า "จิตวิทยา" ไว้ใกล้ๆคำว่า "ศาสนา"

จริงๆ พวกเราควรขอบคุณทั้งศาสนา ปรัชญา สังคมวิทยา และจิตวิทยาที่ทำให้คนเรามีความเข้าใจตนเองและคนอื่นดีขึ้น   ทำไมเราต้องเลือกเชื่อเฉพาะศาสนา ทั้งๆที่ทุกศาสตร์ล้วน "เอื้อ" ซึ่งกันและกัน (ที่เห็นค้านกันก็อาจมีบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของมุมมอง) การตั้งแง่ว่าศาสตร์อื่นๆเป็นรอง อาจทำให้คุณไม่สนใจติดตามจนพลาดโอกาสเรียนรู้"ข้อความรู้ใหม่ๆ" เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าศาสนาพุทธมีหลักการที่ค่อนข้างตายตัวมานานนับพันปี    แม้พุทธศาสนิกชนนักปฏิบัติในยุคต่อๆมาจะทยอยค้นพบสัจจธรรมใหม่ๆ แต่ก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมเข้าไปมากนัก เนื่องจากกระแสอนุรักษ์นิยมของพุทธศาสนิกชนเอง (มองว่าแนวคิดของพระพุทธเจ้านั้นเป็นจริงชั่วนิรันดร์)  

ยกตัวอย่างเช่น  โรคจิตเภท  ..ตอนนี้โลกเราได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจากการวิจัยต่างๆว่า ที่แท้ โรคนี้เกิดจากความผิดปกติในระดับชีวโมเลกุลของสมอง  ที่ "ทุกคน" มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ แม้พ่อแม่จะเลี้ยงดูคุณมาอย่างดีหรือคุณปฏิบัตธรรมอย่างสม่ำเสมอ เจริญสติภาวนามาตลอดชีวิต ฯลฯ  แต่สถิติที่ว่า 0.3-1 คนนั้นอาจจะเป็น "คุณ"  ก็ได้  ใครจะรู้  

ด้วยข้อความรู้ใหม่ๆที่ได้มา ทำให้จิตแพทย์สามารถรักษาผู้ป่วยได้ตรงจุดขึ้น  ยาหรือการรักษาอื่นๆก็ทำงานได้เฉพาะเจาะจงขึ้น ไม่ใช่รักษาแบบหว่านแหเหมือนสมัยก่อนโน้น  ถ้าจิตวิทยา/จิตเวชศาสตร์ไม่แตกแขนงออกมาจากศาสนาจนก้าวหน้าไปไกลถึงเพียงนี้  ถามว่าแพทย์จะให้ยาคนไข้ถูกโรคมั๊ย? แพทย์เอาความรู้เรื่องยามาจากหนังสือศาสนาหรือ? จนป่านนี้พวกคลั่งศาสนายังเชื่ออยู่เลยว่าผู้ป่วยโรคจิตเภทเป็นคนขาดสติ และเชื่อว่าการเจริญสติภาวนาคือการรักษาที่ดีที่สุด  

ความคิดนี้ไม่ได้ผิดซะทีเดียว  เพราะจิตแพทย์เองก็ประยุกต์ใช้เทคนิคทางศาสนามาใช้เหมือนกัน แต่ไม่ได้นำมาใช้กับผู้ป่วยทุกประเภท เพราะมันต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้ป่วยด้วย  อย่างเช่นผู้ป่วยระยะเฉียบพลัน กำลังคลุ้มคลั่งอาละวาด..ใครจะไปจับเขามานั่งเจริญสติภาวนากันล่ัะ?

โอเค..หลังจากผู้ป่วยเข้าสู่ระยะอาการสงบแล้ว  การบำบัดรักษาด้านจิตสังคม (psycho-social  treatments) ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งทีมผู้รักษาจะเริ่มประยุกต์แนวคิดทางศาสนาเข้ามาใช้ เนื่องจากการทำความเข้าใจผ่านมุมมองด้านศาสนาซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมานาน จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น  เช่น   การฝึก deep breathing หลักการก็คล้ายๆกับการปฏิบัติอาณาปนสติ   เป็นต้น

แต่ทั้งนี้...การรักษาด้วยยา  ก็ยังเป็นการรักษาหลักอยู่เหมือนเดิม โดยมีการรักษาอื่นๆเป็นตัวเสริม  เนื่องจากผู้ป่วยมีโอกาสกำเริบซ้ำได้  และอยากจะบอกว่า "การเข้าวัดปฏิบัติธรรม"  เป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย กำเริบกลับเข้ามารพ.อีกครั้งหนึ่ง  ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร  เพราะเขาปฏิบัติธรรมไม่ถูกวิธี หรือเพราะการปฏิบัติธรรม "บางอย่าง" (เช่น นั่งสมาธิ) ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ก็อาจเป็นได้...อยากรู้ก็ต้องไปทำวิจัยดู  อย่างน้อยก็ไม่ควรสรุปเอาเอง

ไม่ทราบว่าคนอื่นคิดยังไง  ลองมาแชร์กันนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่