มีหนังรักหลายเรื่องเกิดขึ้นมาบนโลก บางครั้งก็ซ้ำซาก บางครั้งก็แปลกใหม่ Warm Bodies เองก็ประกาศตัวและพยายามอยู่ในกลุ่มหลังด้วยเนื้อหาของ “หนังรักซอมบี้” ที่ตั้งใจสร้างออกมาให้ผิดจากบรรยกาศของความเป็นซอมบี้สมัยก่อนที่มีความโหดร้าย สะพรึงกลัว และสยองขวัญ ให้ดูสว่างไสวแต่ไม่หวานแหววจนเกินพอดี

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เปิดเรื่องมาโดยมีการปูพื้นเรื่องที่น่าสนใจรวมถึงบรรยากาศของเรื่องที่ชวนให้ขบขันมากกว่าเห็นถึงความโหดร้าย ซอมบี้ในโลกของ Warm Bodies นั้นจะเรียกว่าคอร์ปที่มีรูปร่างเหมือนคน และจะมี โบนี สิ่งมีชีวิตกินเนื้อคนอีกประเภทที่ดูไม่เหมือนกัน และมันก็ได้นำเสนอภาพของโลกที่หลังจากล้มสลายแล้ว เหล่ามนุษย์ผู้เหลือรอดใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงยักษ์ และมีการหาอาสาสมัครเข้าไปรวบรวมเสบียง และในตอนนั้นคอร์ป (ซอมบี้) หนุ่มตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตนเองแม้แต่น้อยก็ได้ตกหลุมรัก จูลี หญิงสาวอาสาสมัครเข้ามาอย่างจัง นอกจากจะช่วยเธอกลบเกลื่อนเธอให้รอดพ้นจากเหล่าซอมบี้ตัวอื่นแล้ว เขายังอาจหาญพาเธอกลับมาที่บ้านของเขาอีกด้วย

สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือช่วงเริ่มเรื่องที่หนังพยายามตั้งเซตติ้งเกี่ยวกับคอร์ปอย่างน่าสนใจ ตัวละครของ R มีความลึกมากในช่วงแรก เพราะนอกจากจะเป็นตัวละครที่เราใกล้ชิดมากที่สุดแล้ว ยังเป็นตัวละครที่มีคำถามที่หลากหลายเกี่ยวกับตนเอง ทำให้เราอยากที่จะเฝ้าดูการเติบโตของตัวละครตัวนี้ต่อไป

เซตติ้งอย่างหนึ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในหนังคือเรื่องของความฝัน ในเรื่องจะกล่าวไว้ว่าความฝันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์และสิ่งทีชีวิตเท่านั้นสามารถทำได้ เพราะความฝันในที่นี้เชื่อมถึงกับเป้าหมายและจุดหมายของตัวละครด้วย เช่นเดียวกับฝันแรกของ R ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหล่าผู้คนที่บอกว่าตนเองอยากเป็นอะไร มันเป็นคำถามจากจิตใต้สำนึกส่วนลึก รวมถึงการค้นหาคำตอบเกี่ยวกับตัวตนของตนเอง แม้ว่าสุดท้ายเราไม่รู้ว่าหลังจากนี้ R จะไปทำอะไร แต่อย่างน้อยเราก็เห็นได้ว่าอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองเป็นอะไรแล้ว

โดยปกติเรื่องราวทางชีวภาพนั้นมักจะมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่สำหรับใน Warm Bodies แล้วเหตุผลส่วนใหญ่จะได้รับการเพิกเฉย ส่วนหนึ่งเพราะหนังได้สร้างโลกและเหตุผลส่วนตัวมารองรับเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว รวมถึงการที่หนังต้องการที่จะพุ่งเน้นไปเรื่องราวพลังของความรักที่มีพลังมากมายเหลือล้น จนลืมไปว่าในช่วงแรกของเรื่องหนังได้ปูฐานเอาไว้แบบไหน และพอมาช่วงกลางเรื่องจนถึงช่วงท้ายที่ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงพลังของความรักมากเกินไป ทำให้ตัวหนังเองเกิดจุดบอดอยู่หลาย ๆ อย่าง และมันก็ไปลดอารมณ์ร่วมของผู้ชมที่มีต่อหนังลงไป

ในความเห็นส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งก็คือเราไม่สามารถสัมผัสความรักระหว่างตัวละครสองคน R กับจูลีได้เลย ใช่ เราเชื่อว่า R หลงรักจูลี แอบพาเธอกลับมา ใช้เวลากับเธอด้วยกัน และถึงแม้เราจะเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเกิดจากการช่วยชีวิตหลายต่อหลายครั้ง แต่มันทำให้เรามอง R ในแง่มุมของฮีโร่มากกว่าคนรัก จนเมื่อท้ายเรื่องเมื่อเราย้อนกลับไปดูก็ได้แต่สงสัยว่าสองคนนี้ไปรักกันตอนไหน

หรือจะให้มองในอีกแง่หนึ่งก็ได้ว่าแท้ที่จริงตัวละครของ R นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองและเติมเต็มความต้องการของผู้ชม ต่างกับจูลีที่เป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาโดยให้มีความเป็นผู้หญิงทั่วไปและไม่มีจุดเด่นอะไรเด่นชัดแต่ไม่ได้มีความสมจริงมากเกินความเป็น เพื่อให้ผู้ชมสามารถนำตัวเองเข้าไปแทนที่ได้อย่างไม่ลำบาก และการสร้างตัวละครของ R นั้นก็ไม่แปลกที่จะทำให้ผู้ชมจะหลงรัก หลังจากนั้นเมื่อหลงรักการเข้าไปสัมผัสได้ง่ายที่สุดก็คือนำตนเองไปแทนจูลีนั่นเอง ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจแต่อย่างไรเพราะมันเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่มอมเมาชวนเพ้อฝันหรือทำตัวยกระดับของตนเองเกินความจำเป็น

แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่สนุกสนาน มีส่วนต่าง ๆ ที่สร้างความประทับใจได้ง่ายและน่าจดจำ อีกทั้งจังหวะมุกตลกหรืออารมณ์ขันที่ใส่เข้ามาได้อย่างน่าพอใจก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีสีสันและมีเสน่ห์มากขึ้น และไม่รู้ว่าหนังจงใจหรือไม่แต่เหตุผลบางอย่างในเรื่องก็ว่างเปล่าหรือง่ายดายจนกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปได้อย่างไม่ลำบากนัก รวมถึงบางจุดหนังเองก็พยายามที่จะปิดส่วนที่ตนเองพลาดเอาไว้เหมือนกัน

ที่จริงเรื่องของ Warm Bodies เองเราก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก เพราะโครงเรื่อง องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ได้มีการวางไว้เพื่อเอื้ออำนวยและพุ่งตรงไปยังปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตัวละครแบบ โบนี ซอมบี้ที่เหมือนซากศพโดนเผาที่ไม่ได้บอกว่ากำเนิดมาจากอะไร มาเพื่อโยนความชั่วร้ายจากตัวละครซอมบี้ทั้งหมดไปที่นั่น เอาจริง ๆ คือ R เองก็ไม่ต้องต่อสู้อะไรกับสัญชาติญานดิบของตนเองเลย รวมถึงตัวละครซอมบี้ตัวอื่น ๆ ด้วยเพราะเมื่อหนังโฟกัสไปที่ โบนี ความชั่วร้าย สัญชาติญานดิบ รวมถึงความเลวทรามก็ได้รับการโยกย้ายไปทันที และซอมบี้ทั้งหมดก็สามารถสัมผัสความรักได้อย่างง่ายดายและกลายมาเป็นสถานภาพที่เหมือนมนุษย์เพียงแต่ด้วยอคติและเรื่องราวเลวร้ายที่ทำมาทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจกัน
และในตอนนั้น ซอมบี้ ในเรื่องนี้เองก็ได้เป็นสัญลักษณ์ของเหล่าผู้คนฝ่ายตรงข้ามของมนุษย์ที่สามารถเปลี่่ยนแปลงตนเองได้ หากเพียงแค่ว่าเรามีความรัก ความเข้าใจ และให้อภัยกัน และหนังก็แสดงให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกิดขึ้นจริงโดยที่ตัดเรื่องยาก ๆ หรือเรื่องน่าสงสัยออกไปให้หมด รวมถึงทำเป็นลืมคำตอบของเหตุผลหลายอย่างที่ตัวเรื่องเองปูเอาไว้ตั้งแต่แรก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ และบางคำถามก็ทำให้เกิดผลกระทบของการดำเนินเรื่องได้อย่างง่ายดาย

Warm Bodies เป็นหนังรักที่บูชาความรักอย่างไม่ต้องสงสัย มันพยายามที่จะแสดงให้เราเห็นว่าด้วยความรักและความเข้าใจนั้นสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งโลกได้ แม้มันจะไม่ได้มีความหนักแน่นมาพอที่จะทำให้ทุกคนเชื่อและคล้อยตามเหตุผลที่หนังให้ แต่บรรยากาศความเป็นหนังคอเมดี้ก็สามารถที่จะทำให้ผ่านไปได้ในระดับหนึ่ง ถึงกระนั้นมันอาจจะไม่จำเป็นสำหรับผู้ชมที่ต้องการโฟกัสไปที่ความมีเสน่ห์ของนักแสดงนำชายอย่าง Nicholas Hoult ก็คงเต็มอิ่ม เพราะในเรื่องนี้คาแรคเตอร์ของตัวละครเขามีความน่ารักแบบเด็ก ๆ ที่ทำอะไรตะกุกตะกักหรือไม่กระฉับกระเฉงรวมถึงความพยายามทำให้ผู้ชมเกิดความรักความเอ็นดูได้ และเสน่ห์นี้ก็ถูกขับให้เด่นขึ้นไปอีกหากนำไปเทียบกับแพร์รี แฟนเก่าของจูลีที่แม้จะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแต่ด้วยหลายฉากที่แสดงถึงความเป็นผู้นำน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ R ทำให้ผู้ชมพร้อมใจกันกระโจนไปหา R อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ถึงกระนั้นความรักใน Warm Bodies ก็ไม่ได้มีความหมายในเชิงโรแมนติกเพียงอย่างเดียว มันยังเปรียบเปรยได้ถึงกับความรักระหว่างมนุษยชาติที่มีความแตกต่างกันและสามารถที่จะกลับมาอยู่รวมกันได้อีกครั้งหากเราให้โอกาสและมอบความเข้าใจ การที่ฉากสุดท้ายภาพของกำแพงนั้นทะลายลงมาก็ไม่ต่างอะไรกับการสมานฉันท์โลกใบนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

มันสะท้อนให้เราเห็นถึงความหวังในอุดมคติ ว่าแม้โลกใบนี้จะแตกแยกหรือล่มสลายไป แต่ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง