ไม่รู้ผมใช้คำนี้ตรงกับความหมายที่ผมกำลังจะอธิบายต่อไปนี้หรือป่าว
เช่นคุณกับแฟนคุณต่างฝ่ายต่างมีนิสัยกันคนละแบบ
เวลาฝ่ายหญิงโทรหาฝ่ายชาย ตอนความรักได้ผ่านพ้นช่วงหวานไปแล้ว
ฝ่ายชายก็รับๆคุยๆไปให้จบๆแค่นั้น
อันนี้แสดงว่า ฝ่ายหญิงโดนค้านอำนาจจากฝ่ายชาย
ฝ่ายหญิงจะรู้สึกด้อยกว่าทันที กลับกัน
เมื่อถึงเวลาฝ่ายหญิงตีจากฝ่ายชายไปมีคนใหม่ที่ดีกว่า เอาใจใส่กว่า
ฝ่ายชายเพิ่งสำนึกเห็นคุณค่าฝ่ายหญิง
ฝ่ายชายโทรไปหา ฝ่ายหญิงก็รับๆคุยๆวางๆ
อันนี้แสดงว่า ฝ่ายชายโดนค้านอำนาจจากฝ่ายหญิงเข้าให้แล้ว
นอกจากนี้ เรื่องค้านอำนาจ มักจะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์หลายรูปแบบ
เช่น ความสัมพันธ์แบบแอบรัก คนที่แอบรักมักโดนค้านอำนาจจากคนที่โดนแอบรักอยู่
ความสัมพันธ์แบบพึ่งพา คนที่พึงพากำลังโดนค้านอำนาจจากคนที่ให้พึงพาอยู่
หลายๆอย่าง
ไม่รู้จะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่หรือป่าว
งั้นเอาสั้นๆนะ
ผมต้องการเธอในตอนนี้ แต่เธอไม่ต้องการผมแล้ว
แต่พอผ่านไปสักพัก หรือผมแสดงอาการให้เธอรู้ว่า ผมไม่ต้องการเธอแล้ว
เธอกับต้องการผม
แค่นี้แหล่ะครับ
ค้านอำนาจกันไปมาระหว่างเธอกับฉัน
เช่นคุณกับแฟนคุณต่างฝ่ายต่างมีนิสัยกันคนละแบบ
เวลาฝ่ายหญิงโทรหาฝ่ายชาย ตอนความรักได้ผ่านพ้นช่วงหวานไปแล้ว
ฝ่ายชายก็รับๆคุยๆไปให้จบๆแค่นั้น
อันนี้แสดงว่า ฝ่ายหญิงโดนค้านอำนาจจากฝ่ายชาย
ฝ่ายหญิงจะรู้สึกด้อยกว่าทันที กลับกัน
เมื่อถึงเวลาฝ่ายหญิงตีจากฝ่ายชายไปมีคนใหม่ที่ดีกว่า เอาใจใส่กว่า
ฝ่ายชายเพิ่งสำนึกเห็นคุณค่าฝ่ายหญิง
ฝ่ายชายโทรไปหา ฝ่ายหญิงก็รับๆคุยๆวางๆ
อันนี้แสดงว่า ฝ่ายชายโดนค้านอำนาจจากฝ่ายหญิงเข้าให้แล้ว
นอกจากนี้ เรื่องค้านอำนาจ มักจะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์หลายรูปแบบ
เช่น ความสัมพันธ์แบบแอบรัก คนที่แอบรักมักโดนค้านอำนาจจากคนที่โดนแอบรักอยู่
ความสัมพันธ์แบบพึ่งพา คนที่พึงพากำลังโดนค้านอำนาจจากคนที่ให้พึงพาอยู่
หลายๆอย่าง
ไม่รู้จะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่หรือป่าว
งั้นเอาสั้นๆนะ
ผมต้องการเธอในตอนนี้ แต่เธอไม่ต้องการผมแล้ว
แต่พอผ่านไปสักพัก หรือผมแสดงอาการให้เธอรู้ว่า ผมไม่ต้องการเธอแล้ว
เธอกับต้องการผม
แค่นี้แหล่ะครับ