...............................................................................................
ถ้าดูจากโพลที่น่าเชื่อถืออย่างเอแบคโพลล์และโพลที่ออกมาแต่ละช่วง
ในระหว่างการหาเสียงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโพลอื่นๆ ก็ชี้ให้เห็นว่า
คุณพงศพัศมีคะแนนนำ แต่จะนำมากหือน้อยก็น่าจะสะท้อนความรู้สึกได้
แต่สิ่งที่คาดการณ์ได้คือการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนออกมาใช้สิทธิ์
เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และคนที่ชนะการเลือกตั้งก็จะได้คะแนนน่าจะเกิน 1 ล้าน
เสียง เพราะความสูสีครั้งนี้จะทำให้คนออกมาใช้สิทธิ์กันมาก
นอกจากนี้ การที่พรรคเพื่อไทยส่งคุณพงศพัศ ก็มีความได้เปรียบ เพราะสามารถ
สร้างความแตกต่างจากบุคลิกของคุณพงศพัศ ส่วนเหตุผลที่ไม่เลือกคุณสุดารัตน์
เกยุราพันธ์ เพราะจากบุคลิกแล้วเป็นผู้หญิง นุ่มนวล ที่สำคัญไม่ได้แตกต่างจาก
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ใากกว่านั้น การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็แพ้การเลือกตั้งด้วย ฉะนั้น
ภาษาการตลาดการเมืองคือไม่สด ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยสร้างก็สามารถ
สร้างคุณยิ่งลักษณ์ มาแล้ว ถามว่าเสี่ยงหรือไม่ เสี่ยง แต่มีโอกาสชนะ
สรุปก็คือ พรรคเพื่อไทย กำหนดตำแหน่งของคุณพงสพัสไว้แล้วว่า ต้องสร้างความแตกต่าง
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ดร.นันทนามองว่า พรรคประชาธิปัตย์หลงทาง ซึ่งการ
หลงทางจะเป็นจุดหักเห เช่น การที่จะให้ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ชูกำปั้น หรือพูดไม่สุภาพ
บนเวที คงจะไม่ถูกต้อง เพราะคนจะไม่เอา และการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูด
เรื่องเผาบ้านเผาเมือง ก็ผิดหลักการตลาด ฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องยึดแนวเดิม
สู้กันด้วยนโยบาย เผลอๆ คุณพงศพัศ อาจจะแพ้ก็ได้ เพราะม.ร.ว.สุขุมพันธ์ มีประสบ
การณ์มาก่อน ต้องยืนหยัดความเป็นเจ้าตลาด
มากกว่านั้น ฐานเสียงที่แท้จริงแล้วไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย นั่นหมายความว่า
คนกรุงเทพฯ พร้อมที่จะเลือกใครก็ได้
อย่างไรก็ตามม การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ถือว่าเป็นมิติใหม่ทางการเมือง
คือใช้การตลาดเข้ามาหาเสียง ค่อนข้างสร้างสรรค์ มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์
ของตัวเอง เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง สามารถตอบสนองประชาชนหรือแก้
ปัญหาได้ เมื่อทุกคนสัญญาแล้วทำไม่ได้ทางการตลาดถือว่าไม่เป็นไร แค่ครั้ง
หน้าเราจะไม่เลือกคุณเท่านั้น สามารถเอาเวลามาเป็นเครื่องตรวจสอบได้
นอกจากนี้ การตลาดการเมือง ถือว่าประชาชนได้เปรียบ ตรงนี้ผู้สมัครต้องเอา
นโยบายหาเสียงเข้าไปสู่สาธารณะให้ได้ เพราะต่างประเทศเองพัฒนาไปไกลมาก
มีการหาเสียงเชิงบวก มีหารหาเสียงแบบอารยะ คนเลือกก็เป็นอารยะด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1361448162&grpid=01&catid=&subcatid=
ต้องตามไปอ่านกันเต็มๆ จาก link แล้วค่อยมาคุยกัน ...ที่เขาวิเคราะห์
มานี่ น่าเชื่อถือแค่ไหน แน่นอน ปชป.อาจจะบอกว่า ไม่น่าเชื่อถือ ..
สำหรับแฟนห้องนี้ ...แต่ทางพรรค ...จะเอาไปคิดเพื่อปรับกลยุทธไหม
เจาะกลยุทธ์หาเสียงผู้ว่าฯกทม. "เพื่อไทย" กับ "ปชป." สุดท้ายทำไม? "พงศพัศ" ถึงเข้าวิน! ...มติชนออนไลน์
ถ้าดูจากโพลที่น่าเชื่อถืออย่างเอแบคโพลล์และโพลที่ออกมาแต่ละช่วง
ในระหว่างการหาเสียงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโพลอื่นๆ ก็ชี้ให้เห็นว่า
คุณพงศพัศมีคะแนนนำ แต่จะนำมากหือน้อยก็น่าจะสะท้อนความรู้สึกได้
แต่สิ่งที่คาดการณ์ได้คือการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนออกมาใช้สิทธิ์
เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ และคนที่ชนะการเลือกตั้งก็จะได้คะแนนน่าจะเกิน 1 ล้าน
เสียง เพราะความสูสีครั้งนี้จะทำให้คนออกมาใช้สิทธิ์กันมาก
นอกจากนี้ การที่พรรคเพื่อไทยส่งคุณพงศพัศ ก็มีความได้เปรียบ เพราะสามารถ
สร้างความแตกต่างจากบุคลิกของคุณพงศพัศ ส่วนเหตุผลที่ไม่เลือกคุณสุดารัตน์
เกยุราพันธ์ เพราะจากบุคลิกแล้วเป็นผู้หญิง นุ่มนวล ที่สำคัญไม่ได้แตกต่างจาก
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ใากกว่านั้น การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็แพ้การเลือกตั้งด้วย ฉะนั้น
ภาษาการตลาดการเมืองคือไม่สด ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยสร้างก็สามารถ
สร้างคุณยิ่งลักษณ์ มาแล้ว ถามว่าเสี่ยงหรือไม่ เสี่ยง แต่มีโอกาสชนะ
สรุปก็คือ พรรคเพื่อไทย กำหนดตำแหน่งของคุณพงสพัสไว้แล้วว่า ต้องสร้างความแตกต่าง
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ดร.นันทนามองว่า พรรคประชาธิปัตย์หลงทาง ซึ่งการ
หลงทางจะเป็นจุดหักเห เช่น การที่จะให้ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ชูกำปั้น หรือพูดไม่สุภาพ
บนเวที คงจะไม่ถูกต้อง เพราะคนจะไม่เอา และการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูด
เรื่องเผาบ้านเผาเมือง ก็ผิดหลักการตลาด ฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องยึดแนวเดิม
สู้กันด้วยนโยบาย เผลอๆ คุณพงศพัศ อาจจะแพ้ก็ได้ เพราะม.ร.ว.สุขุมพันธ์ มีประสบ
การณ์มาก่อน ต้องยืนหยัดความเป็นเจ้าตลาด
มากกว่านั้น ฐานเสียงที่แท้จริงแล้วไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย นั่นหมายความว่า
คนกรุงเทพฯ พร้อมที่จะเลือกใครก็ได้
อย่างไรก็ตามม การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ถือว่าเป็นมิติใหม่ทางการเมือง
คือใช้การตลาดเข้ามาหาเสียง ค่อนข้างสร้างสรรค์ มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์
ของตัวเอง เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง สามารถตอบสนองประชาชนหรือแก้
ปัญหาได้ เมื่อทุกคนสัญญาแล้วทำไม่ได้ทางการตลาดถือว่าไม่เป็นไร แค่ครั้ง
หน้าเราจะไม่เลือกคุณเท่านั้น สามารถเอาเวลามาเป็นเครื่องตรวจสอบได้
นอกจากนี้ การตลาดการเมือง ถือว่าประชาชนได้เปรียบ ตรงนี้ผู้สมัครต้องเอา
นโยบายหาเสียงเข้าไปสู่สาธารณะให้ได้ เพราะต่างประเทศเองพัฒนาไปไกลมาก
มีการหาเสียงเชิงบวก มีหารหาเสียงแบบอารยะ คนเลือกก็เป็นอารยะด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1361448162&grpid=01&catid=&subcatid=
ต้องตามไปอ่านกันเต็มๆ จาก link แล้วค่อยมาคุยกัน ...ที่เขาวิเคราะห์
มานี่ น่าเชื่อถือแค่ไหน แน่นอน ปชป.อาจจะบอกว่า ไม่น่าเชื่อถือ ..
สำหรับแฟนห้องนี้ ...แต่ทางพรรค ...จะเอาไปคิดเพื่อปรับกลยุทธไหม