สวัสดีครับ เรื่องมีอยู่ว่าตั้งแต่เริ่มรู้จัก DSLR ก็เคยได้อ่านทฤษฎีเกี่ยวกับมุมรับภาพและรูรับแสงสัมพัทธ์ ว่าตัวเลขความยาวโฟกัสของเลนส์และค่ารูรับแสง หากจะเทียบเป็นค่าที่เข้าใจกันบน format กล้องฟิล์ม 135 ให้คูณด้วย crop factor ของเซนเซอร์กล้องตัวนั้นๆ เพื่อให้คนที่เคยใช้กล้องฟิล์มสามารถกะประมาณได้ว่าเลนส์ที่มีอยู่นั้นมีมุมรับภาพเท่าไร และความชัดลึกเท่าไร
เรื่องตัวคูณทางยาวโฟกัสนี่พอเข้าใจได้ครับ มันเป็นไปตามสามัญสำนึก ว่าเซนเซอร์เล็กลงทำให้มุมรับภาพแคบลง ก็ต้องชดเชยโดยการใช้เลนส์ที่กว้างขึ้น แล้วเปรียบเทียบโดยการคูณค่าคงที่เข้าไป แต่เรื่องความชัดลึกที่เพิ่มขึ้นนี่ออกจะลึกลับอยู่สักหน่อยครับ ต้องมาดูกันยาวนิดนึง
เนื้อหาในกระทู้นี้เป็นการคำนวณทางฟิสิกส์นะครับ อาจไม่ค่อยถูกจริตกับสมาชิกห้องกล้องเท่าไหร่ หากใครไม่ค่อยถูกกับสมการสามารถเลื่อนไปอ่านย่อหน้าสรุปได้เลยครับ
พอดีผมจบคณิตศาสตร์มาครับ และยังพอจำฟิสิกส์ม.ปลายเรื่องเลนส์ได้บ้างนิดหน่อย ก็เลยลองนั่งพิสูจน์สมการดู ได้ผลลัพธ์ตามที่ทฤษฎีว่าไว้ครับ เผื่อท่านใดสงสัยเหมือนผมว่ามันมาได้ยังไง ก็ดูการคำนวณตามไปได้ครับ จะพยายามแสดงให้ง่ายที่สุด
ในการคำนวณ ผมจะสมมุติว่า
1. มีวัตถุสองชิ้น Obj
1 และ Obj
2 ตั้งอยู่ห่างจากกล้องเป็นระยะทางไม่เท่ากัน คือเป็นระยะทาง U
1 และ U
2 ตามลำดับ เพื่อความง่ายจะถือว่าวัตถุทั้งสองชิ้นเป็น “จุด” ละกันนะครับ
2. ถ่ายรูปสองรูปด้วยกล้องสองตัวที่ต่างกัน ตัวแรกเป็น FullFrame ที่ใช้เลนส์ความยาวโฟกัส = f ส่วนอีกตัวเป็นกล้องตัวคูณที่มี crop factor = C ใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัส f/C เพื่อให้ได้มุมรับภาพเท่ากล้องตัวคูณ
เช่นกล้องตัวแรกใช้เลนส์ 60mm กล้องอีกตัวมีตัวคูณเป็น 1.5 ก็จะให้ใช้เลนส์ 40mm
3. เลนส์ทั้งสองตัวมี f-number เท่ากัน
4. ให้กล้องทั้งสองตัวโฟกัสไปที่ Obj
1 เหมือนกัน และตั้งไว้ห่างจากวัตถุเป็นระยะ U
1 เท่ากัน
เริ่มคำนวณกัน
จะคำนวณอะไร ? นึกภาพตามนะครับ
วัตถุสองชิ้นอยู่คนละระนาบกัน เมื่อโฟกัสไปที่ชิ้นแรก อีกชิ้นต้องเบลอ
เนื่องจากวัตถุเป็นจุด ถ้าชิ้นไหนชัดก็จะเห็นภาพเป็นจุดตกบนเซนเซอร์ แต่ชิ้นที่เบลอจะหน้าตาเป็นวงกลม (โบเก้) นั่นเอง
ผมจะคำนวณว่าขนาด (รัศมี) ของโบเก้ที่ได้จากกล้องสองตัวมันสัมพันธ์กันยังไงนะครับ ตามหลักการแล้วโบเก้จากกล้อง FF ควรจะใหญ่กว่าของกล้องตัวคูณ C เท่าตัว เมื่อใช้เลนส์ตามสเปคที่สมมุติไว้ มาดูกันนะครับว่าจริงมั้ย
โบเก้เกิดได้อย่างไร และใหญ่ขนาดไหน
ถ้ากล้องโฟกัสไปที่ Obj
1 หมายความว่ากล้องขยับชิ้นเลนส์จนมีระยะภาพ U
1 และมีระยะวัตถุ (V
1) เท่ากับระยะทางระหว่างเลนส์กับเซนเซอร์พอดี ลำแสงต่างๆที่ออกจากวัตถุ Obj1 จึงวิ่งไปรวมกันที่จุดเดียวบนเซนเซอร์ เราคำนวณจาก 1/f = 1/u+1/v จะได้ว่า V
1 = U
1f/(U
1-f)
ทีนี้สมมุติว่า Obj
2 อยู่ไกลกว่า Obj
1 แปลว่าระยะวัตถุมีค่ามากกว่าของ Obj
1 เลนส์จะรวมแสงให้ตามรูปครับ คือระยะวัตถุ V
2 จะสั้นกว่า V
1 พอแสงไปรวมกันก่อนถึงเซนเซอร์แต่ยังไม่ชนอะไร มันก็จะวิ่งไปเรื่อยๆจนชนเซนเซอร์ ทำให้ลำแสงบานออก กลายเป็นรูปวงกลม ที่เราเรียกว่าโบเก้ เราคำนวณระยะภาพ V
2 เก็บไว้ก่อน เพื่อจะใช้ในการคำนวณขนาดโบเก้นะครับ ได้เป็น V
2 = U
2 f /(U
2 -f) คล้ายๆกับ V
1
ทำแบบเดียวกันกับของกล้องที่สอง แต่เนื่องจากความยาวโฟกัสเลนส์ตัวที่สองเป็น f/C จะได้ระยะภาพ (ขอเปลี่ยนชื่อตัวแปรเป็น W ละกันครับจะได้ไม่งง) W
1 = U
1f/(CU
1-f) และ W
2 = U
2f/(CU
2-f) จะเห็นว่ามี crop factor คูณอยู่ที่ U
1 และ U
2 ทำให้ตัวหารเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระยะภาพสั้นลงเมื่อใช้เลนส์ความยาวโฟกัสสั้นกว่านั่นเอง
โบเก้ใหญ่แค่ไหน
ขึ้นอยู่กับขนาด(เส้นผ่านศูนย์กลาง)รูรับแสงครับ ซึ่งค่า f-number ที่เราใช้กันอยู่คือความยาวโฟกัส หารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางรูรับแสงอีกที ถ้าใช้ f-number = N เลนส์จะมีขนาดรูรับแสง f/N เช่นเลนส์ 60 f/2 จะมีขนาดชิ้นแก้ว 30mm ส่วนเลนส์ 40mm f/2 จะมีชิ้นแก้วขนาด 20mm จะเห็นว่า F-number เท่ากันแต่ขนาดรูรับแสงจริงๆไม่เท่ากันครับ เลนส์ FF ที่ให้มุมรับภาพเท่ากับเลนส์ตัวคูณ ก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น C เท่าของเลนส์ตัวคูณด้วย
ถ้าดูจากรูปจะพบว่า เส้นแสงที่เดินทางมาตัดกันแล้วเลยไปชนเซนเซอร์นั้นทำให้เกิด “สามเหลี่ยมคล้าย” ขึ้น เมื่อเทียบกับระยะภาพ V
1, V
2 จะได้ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโบเก้มีค่าเป็น R = (V
1-V
2)/V
2 x f/N ครับ
แทนค่า V
1,V
2 (และ W
1,W
2 สำหรับกล้องตัวที่สอง) ลงไปเพื่อคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางโบเก้ที่ได้จากกล้องทั้งสองตัว
R
1 = f(U
2-U
1)/U
2(U
1-f)
R
2 = f(U
2-U
1)/CU
2(CU
1-f)
นำ R
1 หารด้วย R
2 ตัดกันไปมาจะเหลือ C((CU
1-f)/(U
1-f)) ซึ่งในวงเล็บถ้าประมาณว่า U
1 มันมากกว่าความยาวโฟกัสกล้องมากๆก็จะตัดกันเกือบหมดครับ เหลือ R
1/R
2 มีค่าประมาณ C
2
เกือบเสร็จแล้วครับ ใครอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ถือว่าท่านมีความอดทนสูงมาก ปรบมือให้ก่อนหนึ่งรอบครับ
สรุป
ค่า C
2 นี้ทำให้เราได้ว่า โบเก้ที่ได้จากกล้อง FF มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น C
2 เท่าของโบเก้ที่ได้จากกล้องตัวคูณ เช่นตัวคูณเป็น 2 ก็จะได้ขนาดโบเก้ที่กว้างยาวด้านละ 4 เท่า
แต่อย่าลืมว่าเซนเซอร์ของกล้องตัวคูณมันเล็กลง C เท่าเหมือนกันนะครับ C มันจึงตัดกันหายไปตัวนึงเหลือ C
1 ดังนั้นพอเอาภาพมาดูที่ขนาดเท่ากัน ผลกระทบจากความยาวโฟกัสของเลนส์กล้องตัวคูณที่น้อยกว่าจึงทำให้โบเก้จากกล้องตัวคูณเล็กลงจากกล้อง FF อยู่ C เท่าตัว ทำให้มีความชัดลึกมากกว่าแม้ว่าเลนส์จะมี f-number เท่ากัน อย่างที่ทฤษฎีว่าไว้นั่นเองครับ
ผลจากรูรับแสงสัมพัทธ์ที่คำนวณได้นี้ส่งผลต่อความชัดลึกอย่างเดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับความสว่าง คือเลนส์ f numberเท่าไหร่ ก็ยังให้ความสว่างตามนั้นอยู่ครับ ไม่ได้มืดลงตามตัวคูณ สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย หากเห็นว่ามีประโยชน์ รบกวนกด vote ให้หน่อยนะครับ จะได้ไม่ตกเร็ว
ฟิสิกส์กับเลนส์กล้อง :: ความชัดลึกของรูรับแสงสัมพัทธ์
เรื่องตัวคูณทางยาวโฟกัสนี่พอเข้าใจได้ครับ มันเป็นไปตามสามัญสำนึก ว่าเซนเซอร์เล็กลงทำให้มุมรับภาพแคบลง ก็ต้องชดเชยโดยการใช้เลนส์ที่กว้างขึ้น แล้วเปรียบเทียบโดยการคูณค่าคงที่เข้าไป แต่เรื่องความชัดลึกที่เพิ่มขึ้นนี่ออกจะลึกลับอยู่สักหน่อยครับ ต้องมาดูกันยาวนิดนึง
เนื้อหาในกระทู้นี้เป็นการคำนวณทางฟิสิกส์นะครับ อาจไม่ค่อยถูกจริตกับสมาชิกห้องกล้องเท่าไหร่ หากใครไม่ค่อยถูกกับสมการสามารถเลื่อนไปอ่านย่อหน้าสรุปได้เลยครับ
พอดีผมจบคณิตศาสตร์มาครับ และยังพอจำฟิสิกส์ม.ปลายเรื่องเลนส์ได้บ้างนิดหน่อย ก็เลยลองนั่งพิสูจน์สมการดู ได้ผลลัพธ์ตามที่ทฤษฎีว่าไว้ครับ เผื่อท่านใดสงสัยเหมือนผมว่ามันมาได้ยังไง ก็ดูการคำนวณตามไปได้ครับ จะพยายามแสดงให้ง่ายที่สุด
ในการคำนวณ ผมจะสมมุติว่า
1. มีวัตถุสองชิ้น Obj1 และ Obj2 ตั้งอยู่ห่างจากกล้องเป็นระยะทางไม่เท่ากัน คือเป็นระยะทาง U1 และ U2 ตามลำดับ เพื่อความง่ายจะถือว่าวัตถุทั้งสองชิ้นเป็น “จุด” ละกันนะครับ
2. ถ่ายรูปสองรูปด้วยกล้องสองตัวที่ต่างกัน ตัวแรกเป็น FullFrame ที่ใช้เลนส์ความยาวโฟกัส = f ส่วนอีกตัวเป็นกล้องตัวคูณที่มี crop factor = C ใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัส f/C เพื่อให้ได้มุมรับภาพเท่ากล้องตัวคูณ
เช่นกล้องตัวแรกใช้เลนส์ 60mm กล้องอีกตัวมีตัวคูณเป็น 1.5 ก็จะให้ใช้เลนส์ 40mm
3. เลนส์ทั้งสองตัวมี f-number เท่ากัน
4. ให้กล้องทั้งสองตัวโฟกัสไปที่ Obj1 เหมือนกัน และตั้งไว้ห่างจากวัตถุเป็นระยะ U1 เท่ากัน
เริ่มคำนวณกัน
จะคำนวณอะไร ? นึกภาพตามนะครับ
วัตถุสองชิ้นอยู่คนละระนาบกัน เมื่อโฟกัสไปที่ชิ้นแรก อีกชิ้นต้องเบลอ
เนื่องจากวัตถุเป็นจุด ถ้าชิ้นไหนชัดก็จะเห็นภาพเป็นจุดตกบนเซนเซอร์ แต่ชิ้นที่เบลอจะหน้าตาเป็นวงกลม (โบเก้) นั่นเอง
ผมจะคำนวณว่าขนาด (รัศมี) ของโบเก้ที่ได้จากกล้องสองตัวมันสัมพันธ์กันยังไงนะครับ ตามหลักการแล้วโบเก้จากกล้อง FF ควรจะใหญ่กว่าของกล้องตัวคูณ C เท่าตัว เมื่อใช้เลนส์ตามสเปคที่สมมุติไว้ มาดูกันนะครับว่าจริงมั้ย
โบเก้เกิดได้อย่างไร และใหญ่ขนาดไหน
ถ้ากล้องโฟกัสไปที่ Obj1 หมายความว่ากล้องขยับชิ้นเลนส์จนมีระยะภาพ U1 และมีระยะวัตถุ (V1) เท่ากับระยะทางระหว่างเลนส์กับเซนเซอร์พอดี ลำแสงต่างๆที่ออกจากวัตถุ Obj1 จึงวิ่งไปรวมกันที่จุดเดียวบนเซนเซอร์ เราคำนวณจาก 1/f = 1/u+1/v จะได้ว่า V1 = U1f/(U1-f)
ทีนี้สมมุติว่า Obj2 อยู่ไกลกว่า Obj1 แปลว่าระยะวัตถุมีค่ามากกว่าของ Obj1 เลนส์จะรวมแสงให้ตามรูปครับ คือระยะวัตถุ V2 จะสั้นกว่า V1 พอแสงไปรวมกันก่อนถึงเซนเซอร์แต่ยังไม่ชนอะไร มันก็จะวิ่งไปเรื่อยๆจนชนเซนเซอร์ ทำให้ลำแสงบานออก กลายเป็นรูปวงกลม ที่เราเรียกว่าโบเก้ เราคำนวณระยะภาพ V2 เก็บไว้ก่อน เพื่อจะใช้ในการคำนวณขนาดโบเก้นะครับ ได้เป็น V2 = U2 f /(U2 -f) คล้ายๆกับ V1
ทำแบบเดียวกันกับของกล้องที่สอง แต่เนื่องจากความยาวโฟกัสเลนส์ตัวที่สองเป็น f/C จะได้ระยะภาพ (ขอเปลี่ยนชื่อตัวแปรเป็น W ละกันครับจะได้ไม่งง) W1 = U1f/(CU1-f) และ W2 = U2f/(CU2-f) จะเห็นว่ามี crop factor คูณอยู่ที่ U1 และ U2 ทำให้ตัวหารเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระยะภาพสั้นลงเมื่อใช้เลนส์ความยาวโฟกัสสั้นกว่านั่นเอง
โบเก้ใหญ่แค่ไหน
ขึ้นอยู่กับขนาด(เส้นผ่านศูนย์กลาง)รูรับแสงครับ ซึ่งค่า f-number ที่เราใช้กันอยู่คือความยาวโฟกัส หารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางรูรับแสงอีกที ถ้าใช้ f-number = N เลนส์จะมีขนาดรูรับแสง f/N เช่นเลนส์ 60 f/2 จะมีขนาดชิ้นแก้ว 30mm ส่วนเลนส์ 40mm f/2 จะมีชิ้นแก้วขนาด 20mm จะเห็นว่า F-number เท่ากันแต่ขนาดรูรับแสงจริงๆไม่เท่ากันครับ เลนส์ FF ที่ให้มุมรับภาพเท่ากับเลนส์ตัวคูณ ก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น C เท่าของเลนส์ตัวคูณด้วย
ถ้าดูจากรูปจะพบว่า เส้นแสงที่เดินทางมาตัดกันแล้วเลยไปชนเซนเซอร์นั้นทำให้เกิด “สามเหลี่ยมคล้าย” ขึ้น เมื่อเทียบกับระยะภาพ V1, V2 จะได้ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโบเก้มีค่าเป็น R = (V1-V2)/V2 x f/N ครับ
แทนค่า V1,V2 (และ W1,W2 สำหรับกล้องตัวที่สอง) ลงไปเพื่อคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางโบเก้ที่ได้จากกล้องทั้งสองตัว
R1 = f(U2-U1)/U2(U1-f)
R2 = f(U2-U1)/CU2(CU1-f)
นำ R1 หารด้วย R2 ตัดกันไปมาจะเหลือ C((CU1-f)/(U1-f)) ซึ่งในวงเล็บถ้าประมาณว่า U1 มันมากกว่าความยาวโฟกัสกล้องมากๆก็จะตัดกันเกือบหมดครับ เหลือ R1/R2 มีค่าประมาณ C2
เกือบเสร็จแล้วครับ ใครอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ถือว่าท่านมีความอดทนสูงมาก ปรบมือให้ก่อนหนึ่งรอบครับ
สรุป
ค่า C2 นี้ทำให้เราได้ว่า โบเก้ที่ได้จากกล้อง FF มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น C2 เท่าของโบเก้ที่ได้จากกล้องตัวคูณ เช่นตัวคูณเป็น 2 ก็จะได้ขนาดโบเก้ที่กว้างยาวด้านละ 4 เท่า
แต่อย่าลืมว่าเซนเซอร์ของกล้องตัวคูณมันเล็กลง C เท่าเหมือนกันนะครับ C มันจึงตัดกันหายไปตัวนึงเหลือ C1 ดังนั้นพอเอาภาพมาดูที่ขนาดเท่ากัน ผลกระทบจากความยาวโฟกัสของเลนส์กล้องตัวคูณที่น้อยกว่าจึงทำให้โบเก้จากกล้องตัวคูณเล็กลงจากกล้อง FF อยู่ C เท่าตัว ทำให้มีความชัดลึกมากกว่าแม้ว่าเลนส์จะมี f-number เท่ากัน อย่างที่ทฤษฎีว่าไว้นั่นเองครับ
ผลจากรูรับแสงสัมพัทธ์ที่คำนวณได้นี้ส่งผลต่อความชัดลึกอย่างเดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับความสว่าง คือเลนส์ f numberเท่าไหร่ ก็ยังให้ความสว่างตามนั้นอยู่ครับ ไม่ได้มืดลงตามตัวคูณ สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย หากเห็นว่ามีประโยชน์ รบกวนกด vote ให้หน่อยนะครับ จะได้ไม่ตกเร็ว