คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ผมเคยปั่นจักรยาน จากบ้าน ไปที่ทำงาน ประมาณ 10 กิโล ไปกลับ วันนึง ก็ 20 กิโล ที่ทำเพราะได้แรงบรรดาลใจจากพี่คนนึง ที่ทำงานที่เดียวกัน บ้านอยู่ทางเดียวกับผม แต่บ้านแก ไกลกว่าผมไปอีก 10 กิโล พี่คนนี้ปั่นจักรยานไปกลับวันนึง 40 กิโล ผมทึ่งมาก ถ้าพี่ทำได้ ผมก็น่าจะทำได้ และก็เริ่มปั่นจักรยานไปทำงาน และก็ทำอย่างนั้นอยู่ 2 ปี กว่าๆ ^__^ สิ่งที่ได้คือสุขภาพที่ดี และ ประหยัดค่าใช้จ่าย จริงๆ ผมชอบมากๆนะ
แต่สิ่งที่ไม่ดี ก็มี อย่างนึงคือเรื่องของเวลา ถ้าวันไหนตื่นสายกว่าปกติ ก็ปั่นก็ตาย บางวันถอดใจลางานเลย เพราะถ้าปั่นไปทำงานเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที ถ้าปั่นรีบๆ ก็ครึ่งชั่วโมง อีกอย่างคือ บางวัน ทำงานเหนื่อยๆ มันไม่อยากจะขี่จักรยาน บางทีอยากนั่งรถสบายๆ กลับบ้านบ้าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มันอันตราย ผม และพี่คนนี้ เคยเกือบตายเพราะขี่จักรยาน มาแล้ว ตัวผมเอง หนักๆเลย ก็ 3 ครั้ง
ครั้งแรก วิ่งผ่านทางรถไฟ แล้วล้อมันเข้าไปในร่องราง รถคว่ำ มอเตอร์ไซด์ตามมาข้างหลังเกือบชนซ้ำ ครั้งที่ 2เจอมอเตอร์ไซด์ปาด ผมล้ม แต่ตอนที่ล้ม ขาไปขัดกับล้อหน้าจักรยาน ขาผมเลยเข้าไปอยู่ในล้อจักรยานข้างนึง ล้อบิดเป็นเลข8 ผมนั่งอยู่กับถนน รถบรรทุกที่ขับตามมา จอดแล้วเบี่ยงหลบให้ ถ้าขับมาเร็ว ผมคงตายไปแล้ว ครั้งที่ 3 ก็ ขี่อยู่ริมถนนผ่านปากซอย มอเตอร์ไซด์ขับเลี้ยวออกมาไม่มอง เสยผมกลางจักรยานเลย ดีที่ไม่โดนอะไรสำคัญมาก แค่เขียวๆ
แต่ของพี่คนที่ขี่กลับบ้านกับผม หนักกว่าเยอะ ด้วยความที่แกขี่เร็วด้วย ครั้งนึง แกเคยเกือบโดนรถบรรทุกพ่วงทับเอา เพราะมองไม่เห็นจังหวะที่รถเลี้ยว พี่เค้าเลี้ยวเข้าซอยเหมือนกัน อีกครั้งนี่ ต่อหน้าต่อตาผม ขี่ตามแกอยู่ข้างหลัง เห็นรถบรรทุกขี่เร็วตามมาข้างหลัง ผมเบี่ยงหลบขึ้นฟุตบาต แล้วตะโกนบอกพี่เค้า พี่เค้าไม่ได้ยิน รถบรรทุกก็ไม่ลดความเร็ว ( ถนนที่ขี่อยู่ตรงนั้น เป็นถนน 2 เลน ) ขับบี้มาเหมือนไม่เห็นว่ามีจักรยานอยู่ข้างหน้า ทั้งๆที่มันต้องเห็นแน่ๆ แต่ผมบอกคุณได้เลย ว่าคนขับรถใหญ่พวกนี้ บางคนมันไม่แคร์ มองเห็นรถเล็กเหมือนก้อนหิน ไม่ใส่ใจหรอก ว่าจะชน จะเฉี่ยว รู้แต่ว่าต้องหลบ ถ้าไม่หลบ กรูชน กรูก็แค่หนี ชนคนตายแล้วค่อยคิด ประมาณนั้น พี่ผมเห็นมันจี้มา จะหลบก็ไม่ได้ ฟุตบาทมันสูง ตัดสินใจ ทิ้งจักรยาน ทิ้งตัวกลิ้งหลบมาบนฟุตบาต จักรยานโดนรถเฉี่ยว แฮนส์จับ หัก รถบรรทุกก็วิ่งผ่านไป ไม่ได้หยุด ไม่ได้หันกลับมามอง เหมือนมองไม่เห็น ( ทั้งๆที่มันต้องเห็นแน่ๆ )
ผมกับพี่คนนี้ เลยตัดสินใจ เลิกขี่จักรยานไปทำงาน ^__^ พี่เค้าลาออกไปทำงานของตัวเอง เค้าบอกขี้เกียจซื้อรถ เบื่องาน ซะงั้น
ส่วนผม ตัดสินใจซื้อรถมอเตอร์ไซด์มาใช้ ซึ่ง หลังจากขี่ทั้งจักรยาน และรถมอเตอร์ไซด์ ไปทำงาน ผมเปรียบเทียบจากประสบการณ์ของตัวเองแล้ว มอเตอร์ไซด์ดีกว่าเยอะ ยกเว้นเรื่องสุขภาพ ที่หลังจากผมใช้มอเตอร์ไซด์ ก็อ้วนขึ้น ต้องคุมอาหาร ต้องหาการออกกำลังกายอย่างอื่นทดแทนอีก
ที่พิมพ์มายืดยาว ก็ เห็นกระทู้ ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของตัวเอง ก็อยากจะเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้ใครได้บ้างน่ะครับ
แต่สิ่งที่ไม่ดี ก็มี อย่างนึงคือเรื่องของเวลา ถ้าวันไหนตื่นสายกว่าปกติ ก็ปั่นก็ตาย บางวันถอดใจลางานเลย เพราะถ้าปั่นไปทำงานเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที ถ้าปั่นรีบๆ ก็ครึ่งชั่วโมง อีกอย่างคือ บางวัน ทำงานเหนื่อยๆ มันไม่อยากจะขี่จักรยาน บางทีอยากนั่งรถสบายๆ กลับบ้านบ้าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มันอันตราย ผม และพี่คนนี้ เคยเกือบตายเพราะขี่จักรยาน มาแล้ว ตัวผมเอง หนักๆเลย ก็ 3 ครั้ง
ครั้งแรก วิ่งผ่านทางรถไฟ แล้วล้อมันเข้าไปในร่องราง รถคว่ำ มอเตอร์ไซด์ตามมาข้างหลังเกือบชนซ้ำ ครั้งที่ 2เจอมอเตอร์ไซด์ปาด ผมล้ม แต่ตอนที่ล้ม ขาไปขัดกับล้อหน้าจักรยาน ขาผมเลยเข้าไปอยู่ในล้อจักรยานข้างนึง ล้อบิดเป็นเลข8 ผมนั่งอยู่กับถนน รถบรรทุกที่ขับตามมา จอดแล้วเบี่ยงหลบให้ ถ้าขับมาเร็ว ผมคงตายไปแล้ว ครั้งที่ 3 ก็ ขี่อยู่ริมถนนผ่านปากซอย มอเตอร์ไซด์ขับเลี้ยวออกมาไม่มอง เสยผมกลางจักรยานเลย ดีที่ไม่โดนอะไรสำคัญมาก แค่เขียวๆ
แต่ของพี่คนที่ขี่กลับบ้านกับผม หนักกว่าเยอะ ด้วยความที่แกขี่เร็วด้วย ครั้งนึง แกเคยเกือบโดนรถบรรทุกพ่วงทับเอา เพราะมองไม่เห็นจังหวะที่รถเลี้ยว พี่เค้าเลี้ยวเข้าซอยเหมือนกัน อีกครั้งนี่ ต่อหน้าต่อตาผม ขี่ตามแกอยู่ข้างหลัง เห็นรถบรรทุกขี่เร็วตามมาข้างหลัง ผมเบี่ยงหลบขึ้นฟุตบาต แล้วตะโกนบอกพี่เค้า พี่เค้าไม่ได้ยิน รถบรรทุกก็ไม่ลดความเร็ว ( ถนนที่ขี่อยู่ตรงนั้น เป็นถนน 2 เลน ) ขับบี้มาเหมือนไม่เห็นว่ามีจักรยานอยู่ข้างหน้า ทั้งๆที่มันต้องเห็นแน่ๆ แต่ผมบอกคุณได้เลย ว่าคนขับรถใหญ่พวกนี้ บางคนมันไม่แคร์ มองเห็นรถเล็กเหมือนก้อนหิน ไม่ใส่ใจหรอก ว่าจะชน จะเฉี่ยว รู้แต่ว่าต้องหลบ ถ้าไม่หลบ กรูชน กรูก็แค่หนี ชนคนตายแล้วค่อยคิด ประมาณนั้น พี่ผมเห็นมันจี้มา จะหลบก็ไม่ได้ ฟุตบาทมันสูง ตัดสินใจ ทิ้งจักรยาน ทิ้งตัวกลิ้งหลบมาบนฟุตบาต จักรยานโดนรถเฉี่ยว แฮนส์จับ หัก รถบรรทุกก็วิ่งผ่านไป ไม่ได้หยุด ไม่ได้หันกลับมามอง เหมือนมองไม่เห็น ( ทั้งๆที่มันต้องเห็นแน่ๆ )
ผมกับพี่คนนี้ เลยตัดสินใจ เลิกขี่จักรยานไปทำงาน ^__^ พี่เค้าลาออกไปทำงานของตัวเอง เค้าบอกขี้เกียจซื้อรถ เบื่องาน ซะงั้น
ส่วนผม ตัดสินใจซื้อรถมอเตอร์ไซด์มาใช้ ซึ่ง หลังจากขี่ทั้งจักรยาน และรถมอเตอร์ไซด์ ไปทำงาน ผมเปรียบเทียบจากประสบการณ์ของตัวเองแล้ว มอเตอร์ไซด์ดีกว่าเยอะ ยกเว้นเรื่องสุขภาพ ที่หลังจากผมใช้มอเตอร์ไซด์ ก็อ้วนขึ้น ต้องคุมอาหาร ต้องหาการออกกำลังกายอย่างอื่นทดแทนอีก
ที่พิมพ์มายืดยาว ก็ เห็นกระทู้ ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของตัวเอง ก็อยากจะเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้ใครได้บ้างน่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
เคยมีใครใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแล้วก็เลิกไม่กลับมาปั่นอีกเลยบ้างไหมครับ?
1. เมืองไทยอากาศร้อน
2. เนื้อหุ้มเหล็ก ชนไปก็เจ็บ-ตาย
3. ถนนบ้านเราไม่เหมาะกับจักรยาน
เลยอยากถามหลายๆท่านที่เห็นด้วยกับสามข้อข้างบน ช่วยแบ่งปันประสบการณ์จากการที่ท่านได้ลองปั่นจักรยานเป็นประจำ แต่สุดท้ายก็หยุดโดยสิ้นเชิง ว่าทำไมอุปสรรคเหล่านั้น ที่ท่านเจอมากับตัว เช่น ร้อนจนผิวไหม้ เหงื่อออกเหนียว เหม็น โดนรถยนต์ไล่ทับ ตำรวจจับความเร็ว ถนนขรุขระ ฯลฯ มันเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้ท่านไม่อาจรับได้ในการปั่นจักรยาน ทำให้มีทัศนคติต่อคนปั่นจักรยานมาทำงานว่าเป็นพวกคุณภาพชีวิตต่ำ ไม่ศิวิไลซ์
ขอความเห็นจากคนที่ได้ลองปั่นในถนน(ทั้งถนนใหญ่ ตรอก ซอย) แล้วจริงๆนะครับ ไม่เอาพวกนั่งเทียนคิดเอาเอง ประสบการณ์บนจักรยานไม่ใช่ยานอวกาศ เรามีโอกาสสัมผัสมันได้ง่ายแค่ยอมเริ่มต้น
ผมเคยปั่นจักรยานไปเรียนแถวพญาไทตอน ม.ปลาย และตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 จากนั้นก็ขับรถยนต์สลับกับรถสาธารณะมาตลอด จนทำงานมาสิบกว่าปี แต่สองปีมานี้เลิกขับรถยนต์ส่วนตัวไปทำงานแล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องบรรทุกสัมภาระหนักๆ (ปั่นแทบทุกวัน จ-ศ วันละ 40 km ในกรุงเทพฯ)
อุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้พ่อตาบอดสนิททั้งสองข้างมาตั้งแต่เด็ก แต่คุณพ่อก็ไม่เคยรังเกียจการเดินทางโดยรถยนต์ และไม่เคยห้ามผมปั่นจักรยาน เพราะท่านมั่นใจว่าคนเราต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และประสบการณ์จะเป็นบทเรียนที่มีค่ามากกว่าคำบอกเล่า
ผมมีคำโต้แย้งสามข้อข้างบนในมุมมองของผมนะครับ
1. เมืองไทยอากาศร้อน
(บรรพบุรษไทย ใช้ชีวิตโดยไม่ติดแอร์มาหลายร้อยชั่วอายุคน แต่ก็ไม่สูญพันธุ์เพราะอากาศร้อน
ผมปั่นจักรยานไปทำงานด้วยความเร็วปานกลาง เหงื่อออกมาก เลยปรับตัวด้วยการไปถึงแต่เช้าแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวที่สวนลุมพินีค่อยปั่นชิลๆเข้าออฟฟิศ
โลกมันอยู่ยากขึ้นเพราะคนติดสบายมากขึ้น ผมว่านะ)
2. เนื้อหุ้มเหล็ก ชนไปก็เจ็บ-ตาย
(มองท้องถนนเป็นสมรภูมิ? เพื่อความปลอดภัยในชีวิต อย่าอยู่ในรถที่ไม่ได้รับรองความปลอดภัยมาตรฐานระดับ 5 ดาวจาก euroncap อย่าออกนอกรถที่มีฟิล์มกัน UV มาตรฐาน NASA เดี๋ยวดำ ถ้างบน้อยแนะนำให้ไปซื้อรถถังมือสองจากช่องจอมมาขับดีกว่า มีปืนใหญ่ไว้ขู่พวกกร่างด้วย
บนถนน สิ่งที่ปกป้องเราดีที่สุดคือสติ สมาธิ ไหวพริบ ปัญญา บนถนน ขับขี่อะไรก็ตั้งใจทำสิ่งนั้น ไม่วอกแวกแต่อย่าทื่อ เป็นคาถากันภัย)
3. ถนนบ้านเราไม่เหมาะกับจักรยาน
(เหมาะกับยานยนต์เท่านั้น? ถ้าไม่มีรถ ไม่มีตังค์ค่ารถ ไม่มีค่าน้ำมันก็ง่อย ไปไหนไม่ได้?
ถนนสาธารณะ ไม่รวมถึง highway ทางด่วน ยานพาหนะทุกชนิดมีสิทธิที่จะใช้ได้ ความไม่เหมาะ มันน่าจะอยู่ที่ทัศนคติของผู้ขับขี่บางคนมากกว่า ส่วนตัวผมคิดว่า คนที่ share the road ไม่ได้ ไม่ควรอยู่บนถนน ควรไปพายเรือในอ่างที่บ้านดีกว่า)
ก็เพียงสงสัยในกระแสความคิดของคนส่วนมาก ว่าคิดจากประสบการณ์จริง รู้จริง หรืออุปทานหมู่ บางทีมันอาจจะสะท้อนปัญญาของสังคมว่าความรู้ความเข้าใจของสังคมเราอิงจากอะไร การฟังคำบอกเล่า การพินิจใคร่ครวญ จิตปรุงแต่ง หรือการปฏิบัติ
Let's ride