ไม่มีประเทศไหนในโลก ทำหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตส่งให้ผู้ร้ายใช้หลบหนีได้อย่างสะดวกสบายหรอกครับ จะมีก็แต่ประเทศไทย ในยุคนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรมว.ต่างประเทศ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ นี่แหละ ที่ทำพาสปอร์ตส่งไปให้ “ทักษิณ ชินวัตร”
ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก คิดง่ายๆแค่ว่า ทักษิณทำผิดกฎหมาย(กฎหมายทุจริต หรือกฎหมาย ปปช.) ต่อสู้คดีในศาล ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จากคดีที่ดินรัชดา ศาลเปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ ทักษิณไม่อุทธรณ์ แต่ก็ไม่รับโทษ เพราะก่อนศาลจะอ่านคำพิพากษา เขาขออนุญาตศาลเดินทางไปดูพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แล้วไม่กลับมาอีกเลย
เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ต้องประสานกับอัยการ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศ ติดตามจับกุมทักษิณมาเข้าคุก ตามคำพิพากษาของศาล
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงไม่ดำเนินการติดตามจับกุมเท่านั้น ยังอำนวยความสะดวกด้วยการทำหนังสือเดินทางส่งไปให้ บางครั้งมีพฤติกรรมติดต่อกับประเทศต่างๆ เพื่อให้วีซ่าทักษิณเข้าประเทศอีกต่างหาก
วันดีคืนดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หัวหน้าตำรวจนครบาลก็บินไปให้ทักษิณประดับยศให้ ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครเรียกตัวไปคาดคั้นถึงถิ่นที่อยู่ ที่พำนัก ของผู้ร้ายหลบหนีหมายศาลและหมายจับจำนวนมากรายนี้ ทั้งไม่สอบความผิดทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการในฐานะตำรวจ(ผู้รักษากฎหมาย) ที่ไปพบผู้ร้าย(ผู้หลบหนีกฎหมาย) อีกด้วย
ถัดมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และพวก (กุลธน ประจวบเหมาะ, สุรสิทธิ์ สังขพงศ์) จัดชกมวยที่มาเก๊า แอบอ้างว่ามีถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นรางวัล ก็เชิญทักษิณมาเป็นประธานในงาน ปล่อยให้พล่ามเรื่องการเมืองออกช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์อยู่นานสองนาน แล้วจุดเทียนถวายพระพร ร้องเพลงสดุดีมหาราชา สรรเสริญพระบารมีกันพอเป็นพิธี ก็ไม่มีใครเรียกคนพวกนี้มาสอบอีกว่า รู้หลักแหล่งที่อยู่ ปกปิด หรือให้การช่วยเหลือทักษิณในการหลบหนีหรือไม่
มาบัดนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำวินิจฉัย ให้ทั้งรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ และนายกฯ ตัดริบบิ้น ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งอธิบายชัดแสนชัด ว่าที่ทำๆ กันอยู่นั้นไม่ถูกไม่ต้องอย่างไร
โดยนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อให้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณากรณีการออกหนังสือเดินทางให้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 และให้รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือ
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้ยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาหาข้อเท็จจริงกรณีกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ ซึ่งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกลับมาว่า กรณีการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริต คืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่บุคคลดังกล่าวตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้มีข้อวินิจฉัยและคำสั่งเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2554 ว่านโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ ตามข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ จึงยกเลิกคำสั่งในเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว และให้ออกหนังสือเดินทางบุคคลทั่วไปให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
จากคำชี้แจงดังกล่าว ทำให้ผู้ตรวจฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องคำนึงถึงสำหรับประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคล ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ 21 ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ หรือไม่ เพราะเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ เป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และเป็นบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางออกนอกประเทศตามฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ
"ซึ่งพบว่ากระทรวงการต่างประเทศมิได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณา แต่กลับอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเดิมเมื่อปี 41 ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา ดังนั้น ที่กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาว่า การออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายที่กระทรวงจะใช้ดุลพินิจปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทางตามข้อ 21 ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ นั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่อาจคลาดเคลื่อนไม่สอดคล้องต่อข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะพิจารณาคำขอหนังสือเดินทาง"
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศอ้างว่า รมว.การต่างประเทศระบุว่า นโยบายรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศต่อไปของผู้ขอหนังสือเดินทางรายนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศนั้น แต่นโยบายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบราชการที่มีอยู่ ซึ่งระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 มิได้กำหนดให้ รมว.การต่างประเทศมีอำนาจดำเนินการในเรื่องนี้ได้โดยตรงไว้เป็นการเฉพาะ
“การใช้ดุลพินิจของปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการพิจารณาคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ และแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ ซึ่งแม้นโยบายของ รมว.การต่างประเทศในเรื่องนี้จะสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหักล้างข้อมูลที่ว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ และศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งหนังสือเดินทางเป็นเอกสารราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ"
นายรักษเกชากล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการประสานประโยชน์ของราชการต่อการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของศาลและตำรวจ กระทรวงการต่างประเทศสมควรต้องตรวจสอบไปยังหน่วยราชการดังกล่าวเสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน และเป็นการขอคำยืนยันสถานะบุคคลและคดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ขอหนังสือเดินทาง เป็นบุคคลเดียวกันกับที่ออกหมายจับไว้ และยังต้องการตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณต่อไป
แต่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กลับยืนกรานว่า การคืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณนั้น มองว่า โดยทั่วไปพาสปอร์ตมีสถานะเหมือนบัตรประชาชนที่ใช้ในต่างประเทศ เพราะบัตรประชาชนสำหรับคนไทย นำไปใช้ในต่างประเทศไม่ได้ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อเป็นการแสดงสัญชาติของบุคคลนั้นๆ ดังนั้น การยึดพาสปอร์ตจึงเปรียบเสมือนการยึดสัญชาติซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อีกทั้ง ขณะที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ได้สอบถามรัฐมนตรีต่างประเทศชาติอื่นไม่มีประเทศใดในโลกยึดหนังสือเดินทางคนของเขา ซึ่งก็เหมือนยึดสัญชาติของบุคคล
นายสุรพงษ์กล่าวด้วยว่า ได้ย้อนไปดูคำสั่งยกเลิกพาสปอร์ตสมัยนายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ เป็นการยกเลิกโดยอาศัยมาตรา ข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งระบุไว้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อพิจารณาเห็นว่าผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง ยังคงอยู่ต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้
เมื่อรัฐบาลนี้ไม่เห็นว่าการอยู่ในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความเสียหายให้กับรัฐบาล และรัฐบาลไม่มีนโยบายไปไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงคืนพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณโดยอาศัยมาตราเดียวกัน ขณะที่ข้าราชการทำตามขั้นตอนทุกอย่างถูกต้องหมด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชี้แจงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หน้าที่หลักในการชี้แจงคงต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศ เพราะอยู่ในอำนาจหน้าที่ และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการคืนหนังสือเดินทางดังกล่าว เพราะถือว่าทุกอย่างให้เจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอน และทำตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
ช่างเป็นขนมผสมน้ำยาบูดจริงๆ นะครับ
1.) เพราะสุรพงษ์โง่ แกล้งโง่ หรือเพราะเป็นขี้ข้าทักษิณก็ไม่รู้นะครับ เขาจึงเถียงเหมือนคนไร้สมอง ว่าการยึดพาสปอร์ตเท่ากับยึดสัญชาติคน นี่ถ้าเป็นวัยรุ่นเถียงกัน พวกเขาคงสบถดังๆว่า“ไอ้ควายเอ๊ย!”ออกมาแล้วล่ะ แต่พวกเราเกินวัยนั้นแล้ว ได้แต่นึกอยากเขกหนังหุ้มกะโหลกเลี่ยนๆ แล้วบอกว่า พาสปอร์ตมันใช่สัญชาติคนที่ไหนล่ะ เป็นเพียงหนังสือรับรองที่รัฐบาลออกให้ เวลาจะไปนอกราชอาณาจักร และเป็นสมบัติของทางราชการ ไม่ใช่ยกให้ถาวร ซึ่งการออกให้ ก็มีระเบียบกำหนดอยู่ ใครขาดคุณสมบัติตามระเบียบก็ไม่ออก คนอื่นที่กระทรวงฯ ไม่ออกให้ หรือยึดไว้ก็มีอีกเยอะแยะ วัยรุ่นก็คงบอกว่า “ไม่
ทำใหม่หรือเอาไปคืนให้เขามั่งล่ะ”
2.) นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ทั้งหนังหน้าและปัญญาสูสีกับรัฐมนตรีจริงๆ ผู้ตรวจการฯ เขาถามในฐานะ“ผู้บังคับบัญชา” ซึ่งมีหน้าที่“กำกับดูแลให้เกิดความถูกต้อง” กลับดัดจริตบอกว่าดิฉันไม่แทรกแซง ครูบาอาจารย์เขาไม่ได้สอนมั่งเรอะว่า“แทรกแซง” กับ“กำกับดูแล” มันคนละคำกัน อะไรที่เป็นหน้าที่เรา เขาไม่เรียกว่าแทรกแซงหรือ “
” ในภาษาสามัญหรอก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ
3.) ผมคิดว่า ผู้ตรวจการฯ ก็อย่าไปมัวพิรี้พิไรอยู่เลย เมื่อคุณวินิจฉัยแล้ว ส่งหนังสือเตือนให้ทำเสียใหม่ ให้ถูกต้องแล้ว เขายังไม่ทำตามก็นำเรื่องส่งต่อไปยัง ปปช. ว่าสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” หรือ “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามมาตรา 157 ก็จบ
ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “พรรคประชาธิปัตย์จะประสานผู้ตรวจการแผ่นดินว่ามีเอกสารส่วนใดสามารถมอบให้ทางพรรค เพื่อยื่นเพิ่มเติมในการดำเนินคดีกับ รมว.ต่างประเทศ ที่ขณะนี้เรื่องอยู่ในการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้บ้าง”
รอดูกันต่อไปครับ เรื่องนี้ชัดหมดแล้วทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อย่าให้มันชักช้านักล่ะ ท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะผู้คนจะสิ้นศรัทธากับกฎหมายและการลงโทษกันหมดบ้านหมดเมืองแล้ว
เร่งทำเสียให้ถูกต้อง เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ที่ไม่ทำให้ตรงไปตรงมาว่า จะเป็นขี้ข้าทักษิณก็เป็นกันไป แต่ประเทศไทย...ไม่เป็น!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/5417
ปล.เรื่องอื่นเก่งนัก พอเรื่องไอ้แม้วทำเฉย...นี่แหล่ะหนอ...ทาสไอ้แม้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ
จะเป็นขี้ข้าทักษิณก็เป็นกันไป แต่ประเทศไทยต้องไม่เป็น!
ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก คิดง่ายๆแค่ว่า ทักษิณทำผิดกฎหมาย(กฎหมายทุจริต หรือกฎหมาย ปปช.) ต่อสู้คดีในศาล ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จากคดีที่ดินรัชดา ศาลเปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ ทักษิณไม่อุทธรณ์ แต่ก็ไม่รับโทษ เพราะก่อนศาลจะอ่านคำพิพากษา เขาขออนุญาตศาลเดินทางไปดูพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แล้วไม่กลับมาอีกเลย
เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ต้องประสานกับอัยการ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศ ติดตามจับกุมทักษิณมาเข้าคุก ตามคำพิพากษาของศาล
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงไม่ดำเนินการติดตามจับกุมเท่านั้น ยังอำนวยความสะดวกด้วยการทำหนังสือเดินทางส่งไปให้ บางครั้งมีพฤติกรรมติดต่อกับประเทศต่างๆ เพื่อให้วีซ่าทักษิณเข้าประเทศอีกต่างหาก
วันดีคืนดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หัวหน้าตำรวจนครบาลก็บินไปให้ทักษิณประดับยศให้ ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครเรียกตัวไปคาดคั้นถึงถิ่นที่อยู่ ที่พำนัก ของผู้ร้ายหลบหนีหมายศาลและหมายจับจำนวนมากรายนี้ ทั้งไม่สอบความผิดทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการในฐานะตำรวจ(ผู้รักษากฎหมาย) ที่ไปพบผู้ร้าย(ผู้หลบหนีกฎหมาย) อีกด้วย
ถัดมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และพวก (กุลธน ประจวบเหมาะ, สุรสิทธิ์ สังขพงศ์) จัดชกมวยที่มาเก๊า แอบอ้างว่ามีถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นรางวัล ก็เชิญทักษิณมาเป็นประธานในงาน ปล่อยให้พล่ามเรื่องการเมืองออกช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์อยู่นานสองนาน แล้วจุดเทียนถวายพระพร ร้องเพลงสดุดีมหาราชา สรรเสริญพระบารมีกันพอเป็นพิธี ก็ไม่มีใครเรียกคนพวกนี้มาสอบอีกว่า รู้หลักแหล่งที่อยู่ ปกปิด หรือให้การช่วยเหลือทักษิณในการหลบหนีหรือไม่
มาบัดนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำวินิจฉัย ให้ทั้งรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ และนายกฯ ตัดริบบิ้น ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งอธิบายชัดแสนชัด ว่าที่ทำๆ กันอยู่นั้นไม่ถูกไม่ต้องอย่างไร
โดยนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อให้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณากรณีการออกหนังสือเดินทางให้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 และให้รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือ
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้ยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาหาข้อเท็จจริงกรณีกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ ซึ่งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกลับมาว่า กรณีการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริต คืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่บุคคลดังกล่าวตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้มีข้อวินิจฉัยและคำสั่งเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2554 ว่านโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ ตามข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ จึงยกเลิกคำสั่งในเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว และให้ออกหนังสือเดินทางบุคคลทั่วไปให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
จากคำชี้แจงดังกล่าว ทำให้ผู้ตรวจฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องคำนึงถึงสำหรับประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคล ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ 21 ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ หรือไม่ เพราะเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ เป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และเป็นบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางออกนอกประเทศตามฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ
"ซึ่งพบว่ากระทรวงการต่างประเทศมิได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณา แต่กลับอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเดิมเมื่อปี 41 ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา ดังนั้น ที่กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาว่า การออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายที่กระทรวงจะใช้ดุลพินิจปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทางตามข้อ 21 ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ นั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่อาจคลาดเคลื่อนไม่สอดคล้องต่อข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะพิจารณาคำขอหนังสือเดินทาง"
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศอ้างว่า รมว.การต่างประเทศระบุว่า นโยบายรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศต่อไปของผู้ขอหนังสือเดินทางรายนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศนั้น แต่นโยบายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบราชการที่มีอยู่ ซึ่งระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 มิได้กำหนดให้ รมว.การต่างประเทศมีอำนาจดำเนินการในเรื่องนี้ได้โดยตรงไว้เป็นการเฉพาะ
“การใช้ดุลพินิจของปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการพิจารณาคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ และแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ ซึ่งแม้นโยบายของ รมว.การต่างประเทศในเรื่องนี้จะสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหักล้างข้อมูลที่ว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ และศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งหนังสือเดินทางเป็นเอกสารราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ"
นายรักษเกชากล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการประสานประโยชน์ของราชการต่อการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของศาลและตำรวจ กระทรวงการต่างประเทศสมควรต้องตรวจสอบไปยังหน่วยราชการดังกล่าวเสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน และเป็นการขอคำยืนยันสถานะบุคคลและคดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ขอหนังสือเดินทาง เป็นบุคคลเดียวกันกับที่ออกหมายจับไว้ และยังต้องการตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณต่อไป
แต่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กลับยืนกรานว่า การคืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณนั้น มองว่า โดยทั่วไปพาสปอร์ตมีสถานะเหมือนบัตรประชาชนที่ใช้ในต่างประเทศ เพราะบัตรประชาชนสำหรับคนไทย นำไปใช้ในต่างประเทศไม่ได้ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อเป็นการแสดงสัญชาติของบุคคลนั้นๆ ดังนั้น การยึดพาสปอร์ตจึงเปรียบเสมือนการยึดสัญชาติซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อีกทั้ง ขณะที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ได้สอบถามรัฐมนตรีต่างประเทศชาติอื่นไม่มีประเทศใดในโลกยึดหนังสือเดินทางคนของเขา ซึ่งก็เหมือนยึดสัญชาติของบุคคล
นายสุรพงษ์กล่าวด้วยว่า ได้ย้อนไปดูคำสั่งยกเลิกพาสปอร์ตสมัยนายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ เป็นการยกเลิกโดยอาศัยมาตรา ข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งระบุไว้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อพิจารณาเห็นว่าผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง ยังคงอยู่ต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้
เมื่อรัฐบาลนี้ไม่เห็นว่าการอยู่ในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความเสียหายให้กับรัฐบาล และรัฐบาลไม่มีนโยบายไปไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงคืนพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณโดยอาศัยมาตราเดียวกัน ขณะที่ข้าราชการทำตามขั้นตอนทุกอย่างถูกต้องหมด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชี้แจงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หน้าที่หลักในการชี้แจงคงต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศ เพราะอยู่ในอำนาจหน้าที่ และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการคืนหนังสือเดินทางดังกล่าว เพราะถือว่าทุกอย่างให้เจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอน และทำตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
ช่างเป็นขนมผสมน้ำยาบูดจริงๆ นะครับ
1.) เพราะสุรพงษ์โง่ แกล้งโง่ หรือเพราะเป็นขี้ข้าทักษิณก็ไม่รู้นะครับ เขาจึงเถียงเหมือนคนไร้สมอง ว่าการยึดพาสปอร์ตเท่ากับยึดสัญชาติคน นี่ถ้าเป็นวัยรุ่นเถียงกัน พวกเขาคงสบถดังๆว่า“ไอ้ควายเอ๊ย!”ออกมาแล้วล่ะ แต่พวกเราเกินวัยนั้นแล้ว ได้แต่นึกอยากเขกหนังหุ้มกะโหลกเลี่ยนๆ แล้วบอกว่า พาสปอร์ตมันใช่สัญชาติคนที่ไหนล่ะ เป็นเพียงหนังสือรับรองที่รัฐบาลออกให้ เวลาจะไปนอกราชอาณาจักร และเป็นสมบัติของทางราชการ ไม่ใช่ยกให้ถาวร ซึ่งการออกให้ ก็มีระเบียบกำหนดอยู่ ใครขาดคุณสมบัติตามระเบียบก็ไม่ออก คนอื่นที่กระทรวงฯ ไม่ออกให้ หรือยึดไว้ก็มีอีกเยอะแยะ วัยรุ่นก็คงบอกว่า “ไม่ทำใหม่หรือเอาไปคืนให้เขามั่งล่ะ”
2.) นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ทั้งหนังหน้าและปัญญาสูสีกับรัฐมนตรีจริงๆ ผู้ตรวจการฯ เขาถามในฐานะ“ผู้บังคับบัญชา” ซึ่งมีหน้าที่“กำกับดูแลให้เกิดความถูกต้อง” กลับดัดจริตบอกว่าดิฉันไม่แทรกแซง ครูบาอาจารย์เขาไม่ได้สอนมั่งเรอะว่า“แทรกแซง” กับ“กำกับดูแล” มันคนละคำกัน อะไรที่เป็นหน้าที่เรา เขาไม่เรียกว่าแทรกแซงหรือ “” ในภาษาสามัญหรอก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ
3.) ผมคิดว่า ผู้ตรวจการฯ ก็อย่าไปมัวพิรี้พิไรอยู่เลย เมื่อคุณวินิจฉัยแล้ว ส่งหนังสือเตือนให้ทำเสียใหม่ ให้ถูกต้องแล้ว เขายังไม่ทำตามก็นำเรื่องส่งต่อไปยัง ปปช. ว่าสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” หรือ “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามมาตรา 157 ก็จบ
ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “พรรคประชาธิปัตย์จะประสานผู้ตรวจการแผ่นดินว่ามีเอกสารส่วนใดสามารถมอบให้ทางพรรค เพื่อยื่นเพิ่มเติมในการดำเนินคดีกับ รมว.ต่างประเทศ ที่ขณะนี้เรื่องอยู่ในการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้บ้าง”
รอดูกันต่อไปครับ เรื่องนี้ชัดหมดแล้วทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อย่าให้มันชักช้านักล่ะ ท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะผู้คนจะสิ้นศรัทธากับกฎหมายและการลงโทษกันหมดบ้านหมดเมืองแล้ว
เร่งทำเสียให้ถูกต้อง เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ที่ไม่ทำให้ตรงไปตรงมาว่า จะเป็นขี้ข้าทักษิณก็เป็นกันไป แต่ประเทศไทย...ไม่เป็น!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/5417
ปล.เรื่องอื่นเก่งนัก พอเรื่องไอ้แม้วทำเฉย...นี่แหล่ะหนอ...ทาสไอ้แม้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ