ย่อหน้า=ข้อความของผม
“ลองพยายามทำใจเป็นกลางคิดว่า ถ้าทุกคนในบ้านเมืองอยากได้สิ่งนี้ เราก็ต้องฝืนใจยอมรับ และถ้าสิ่งนี้มันดีกับบ้านเมืองจริง เราก็จะยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่จนถึงวันนี้ ไม่อาจเข้าใจว่า การนิรโทษกรรมในตอนนี้ มันจะดีกับบ้านเมืองและให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ลูกหลานของเราในอนาคตได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากการสูญเสียร่วมกันเลย...
ในเมื่อยังมีคนไม่รู้ตัวว่าทำผิดอีกจำนวนมาก ในเมื่อยังมีคนผิดที่ไม่ยอมรับผิดและไม่หลาบจำในความผิดของตนอีกจำนวนมาก (แถมยังพร้อมจะย้อนกลับมาทำผิดอีก) และในเมื่อยังมีฆาตกรกรที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเดินลอยนวลอยู่ในสังคมอีกมาก การนิรโทษกรรมในวันนี้ จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใด?
ผมขอทำการตั้งคำถามชงและคาดเดาใจคุณนิชาตบคำตอบเองต่อประโยคข้างบนที่ผมขีดเส้นใต้ว่าคนเหล่านั้นที่คุณนิชาใช้เรียกเป็นใคร?
ก. คนเสื้อแดงที่ติดคุกและถูกดำเนินคดีอยู่ (รวมแกนนำ)
ข. คนเสื้อแดงที่ยังไม่ติดคุกและถูกดำเนินคดีอยู่ (รวมแกนนำ)
ค. นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพแอนด์เดอะแก๊ง
คำตอบของคุณนิชา น่าจะหมายถึง ข้อ ก. และ ข้อ ข. นั่นก็คือ คุณนิชาเหมาเข่งไปที่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เป็นผู้กระทำผิด* นั่นหมายถึงคุณนิชาดูที่ปลายเหตุ โดยไม่ย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุ
กลับกันคุณนิชาทราบหรือไม่ว่า คนจัดตั้งศอฉ. คนสั่งการให้ทหารออกมาทำการสลายการชุมนุม คือ คนที่ถูกคนเสื้อแดงกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรที่ยังเดินลอยนวล
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า ผู้ที่กระทำผิดและไม่รู้ตัวว่าทำผิด หรือผู้ที่กระทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดในความเข้าใจของคุณนิชา แท้ที่จริงคือ กลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้ออกมาใช้สิทธิการชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นในค่ายทหาร รัฐบาลที่จัดตั้งภายหลังมีการยุบ 3 พรรคการเมือง เปิดทางแลนดิ้งให้กับพันธมิตรที่ก่อการดี "อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ" ปิดสนามบินหาทางลง และเปิดรันเวย์สู่ทำเนียบ จัดไฟลท์พิเศษ จากบุรีรัมย์สู่บางกอก ก่อให้เกิดปรากฎการณ์กอดแห่งสยาม มาร์ค ชิดชอบ ซึ่งถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรมเมษาพฤษภา 25553
คุณนิชาคงจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าสลายการชุมนุมตามมาตฐานสากล ที่ต้องใช้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ถุกฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ใช่ทหารที่ถูกฝึกมาให้ฆ่าคน ทำการรบพุ่ง คุณนิชาคงไม่รู้ว่าประเทศที่ปกครองโดยระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง มีผู้นำมาจากการเลือกตั้ง (ไม่ใช่ผู้นำที่มาจากการลากตั้ง บ้าอำนาจ หวงอำนาจ) จะไม่มีการส่งทหารติดอาวุธสงครามทำการสลายการชุมนุมที่ยากต่อการควบคุมสถานการณ์ภายหลัง 6 โมงเย็น และง่ายต่อการสร้างสถานการณ์จากมือที่มองไม่เห็น แถมยังจัดหนักใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงแก๊สน้ำตา จัดเต็มใช้รถหุ้มเกราะเบิกทาง
ย้อนไปเมื่อตอนช่วงบ่ายคุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า การเข้าสลายการชุมนุมของทหาร ทำให้มีคนเสื้อแดงถูกยิงแล้วเสียชีวิต บาดเจ็บหลายราย โดยที่ยังไม่มีวี่แววของชายชุดดำติดอาวุธปืนสงครามโผล่ขึ้นมา แต่การสลายการชุมนุมก็ยังมีการเดินหน้า แม้กระทั่งคล้อยหลังหกโมงเย็น จนกระทั่งทุ่มกว่าๆ คนเสื้อแดงก็เริ่มถูกยิงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว ไปจนถึงช่วงสองทุ่มเศษ ทหารมีการถอนกำลังที่สี่แยกคอกวัว ชายชุดดำติดอาวุธปืนสงครามจึงปรากฎกายขึ้นมา โดยที่ชายชุดดำดังกล่าวไม่ได้ทำอันตรายทหารคนใดเสียชีวิตเลยสักคนที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว
ย้อนกลับไปในช่วง 4 เมษายน 2553 นายอภิสิทธิ์ออกโทรทัศน์บอกให้ผู้ชุมนุมที่มาตั้งเวทีที่ราชประสงค์ในวันที่ 3 เมษายน 2553 กลับไปใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญที่เวทีผ่านฟ้า แต่ 10 เมษายน 2553 ทหารได้ทำการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าหน้าตาเฉย
ดิฉันเข้าใจความทุกข์ยากของพี่น้องเสื้อแดงว่ามีชีวิตที่ยากลำบากอยู่ในคุก แต่ท่านรู้ไหมว่าพวกท่านโชคดีกว่าสามีของดิฉันที่ไม่มีโอกาสเรียกร้องอะไร เพราะว่าเขา “ตาย” เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตเดินเข้าสู่สมรภูมิด้วยหน้าที่ แต่ผู้ชุมนุมเดินเข้าสู่พื้นที่ประกาศห้ามด้วยความสมัครใจ-ด้วยความเต็มใจที่จะฝ่าฝืนท้าทายกฎหมายของบ้านเมือง แต่วันนี้นับว่าพวกท่านโชคดีนักที่ยังมีสิทธิได้รับการประกันตัว ยังมีโอกาสเรียกร้องขอ “อิสรภาพ” ในขณะที่ดิฉันก็อยากเรียกร้องขอ “ชีวิต” ของสามีคืนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถ้าท่านให้คืนได้ ดิฉันยินดียอมรับการนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ แต่ถ้าท่านให้ชีวิตของสามีดิฉันคืนไม่ได้ ก็ขอแลกด้วยเงื่อนไข-คำมั่นสัญญาของความเป็นคนว่า ท่านจะไม่ทำผิดฝ่าฝืนกฎหมายทำร้ายบ้านเมืองอีก และถ้าทำผิดอีกจะไม่มีโอกาสซ้ำสอง แค่นี้เอง...ความจริงแล้วมันไม่ยุติธรรมกับความตายของเจ้าหน้าที่รัฐเลย เพราะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 การฆ่าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต
1. ที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว และถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ คือคำที่คุณนิชาเรียกว่า สมรภูมิ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า สมรภูมิคือพื้นที่ที่กำหนดเป็นที่รบของทหาร คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า ทหารที่มีหน้าที่รบกับศัตรู ศัตรูที่บุกรุกประเทศ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับ ผู้ที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่ศัตรูที่เข้ามารุกรานประเทศ แต่เป็นผู้ที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา
ที่สำคัญคุณนิชาทราบหรือไม่ครับ สมัยรัฐบาลสมัคร-สมชาย มีการประกาศพรก.ฉุกเฉินกำหนดพื้นที่ประกาศห้าม แต่ก็มีผู้ชุมนุมเดินเข้าสู่พื้นที่ประกาศห้ามด้วยความสมัครใจ-ด้วยความเต็มใจที่จะฝ่าฝืนท้าทายกฎหมายของบ้านเมือง แต่ทำไมสมัยรัฐบาลสมัคร-สมชาย ทหารจึงเลือกปฏิบัติแตกต่างกัน รัฐบาลสมัคร-สมชายมีการสั่งการให้ทหารติดอาวุธปืนสงครามไปทำการขอคืนพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลไหมครับ รัฐบาลสมชายมีการสั่งการให้ทหารทำการกระชับวงล้อมผู้ที่ปิดสนามบินด้วยการกำหนดพื้นที่เป็นเขตใช้กระสุนจริงไหมครับ
2. คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า มีผู้ที่ถูกจับหลายคนไม่ได้กระทำผิด แต่ถูกจับเหมาเข่ง หรือไม่ก็ถูกจับยัดเยียดให้เป็นแพะ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่าผู้ที่ถูกจับในระดับมวลชนเป็นชาวบ้านหรือประชาชนธรรมดาที่ไม่มีเส้น แทบจะไม่มีโอกาสได้รับสิทธิประกันตัว จนกระทั่งเกิดการตายในคุก 2 ราย มีหลายรายที่ศาลตัดสินยกฟ้อง ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด คุณนิชาทราบบ้างหรือเปล่าครับ ผู้ที่ไม่ใช่กระทำความผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต้องติดคุกฟรี นี่คือความโชคดีหรือครับ
3. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คุณนิชาเอาการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้าที่เกิดจากฝีมือของใครก็ไม่ทราบได้มาผูกมัดเป็นปมเงื่อนไขเทียบบัญญัติไตรยางค์กับผู้ถูกกล่าวในคดีความต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ การที่คุณนิชาจะเรียกหาความยุติธรรมให้กับความตายของเจ้าหน้าที่รัฐ น่าจะเป็นการทำความจริงให้ปรากฎ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใครฆ่า ก็ไปตามจับหาคนฆ่ามาทำการลงโทษ ไม่ใช่ไปเอาผู้ถูกกล่าวหาในคดีอื่นมาทำการลงโทษแทน ยิ่งผิดหลักการ และยิ่งไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม มาจนถึงขณะนี้คุณนิชาทราบแน่ชัดหรือยังครับว่าผู้ที่ฆ่าพ.อ.ร่มเกล้าคือใคร?
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ก่อนที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหารจะเริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จำกันได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในกรุงเทพมหานครก่อตัวรุนแรงมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 (ไม่นับการชุมนุมในปี 2552 ที่มีการยึดรถแก๊ส เผายาง เผารถยนต์ให้พี่น้องชาวดินแดงหวาดกลัว) มีการชุมนุมและเหตุการณ์ยิงระเบิดตามสถานที่สำคัญและสถานที่สาธารณะมาเรื่อยๆ จนวันที่ 9 มี.ค. 2553 รัฐบาลจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่สถานการณ์ก็ยังทวีความรุนแรงตลอดเดือนมีนาคม โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีการยิงระเบิด-ไฟไหม้ แทบทุกวัน ผู้คนในกรุงเทพฯ หวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะอาจโดนระเบิดหรือโดนลูกหลงได้ทุกที่-ทุกเมื่อ คนกรุงเทพฯที่บ้านอยู่ในโซนปิดถนนผายาง ก็ต้องอพยพพาคนแก่หนีกันโกลาหล กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองมิคสัญญี ราชการประกาศเป็นวันหยุดวันต่อวัน จนในที่สุดนำไปสู่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์วิกฤติจนเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จากรายงานข้อเท็จจริงของ คอป.ระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ช่วงเวลาเย็น ยังคงมีคำสั่งไม่ให้ทหารใช้กำลังและอาวุธ จนกระทั่งเวลา 20.30 น. หลังจากทหารถูกยิงตายไป 5 คนและบาดเจ็บกว่า 300 คน จึงได้มีคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธในกรณีที่จำเป็นเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนผู้บริสุทธิ์
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมามีเหตุการณ์ยิงระเบิดและไฟไหม้เกิดขึ้นแทบทุกวัน
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 ก่อนถึงวันที่ 10 เมษายน 2553 มีการปิดถนนเผายาง มีการอพยพคนแก่หนีกันโกลาหล
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 ก่อนถึงวันที่ 10 เมษายน 2553 กรุงเทพกลายเป็นเมืองมิคสัญญีจาก 2 เหตุการณ์ข้างต้นดังกล่าวทำให้รัฐบาลประกาศพรก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า เหตุการณ์เผายางกลางถนนเกิดขึ้นภายหลังวันขีดเส้นตาย 13 พฤษภาคม 2553 ที่ก่อให้เกิดปฏิบัติกระชับวงล้อม ตั้งโซนเขตกระสุนจริง ยิงจริง เจ็บจริง ตายจริง ดังนั้นเหตุการณ์การเผายางหรือไฟไหม้ก่อนวันที่ 7 เมษายน 2553 - 13 พฤษภาคม 2553 จึงเป็นเรื่องยกเมฆ หรือ จินตนาการที่แต่งขึ้นครับ
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า การประกาศพรก.ฉุกเฉินร้ายแรงที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 เกิดขึ้นจากสาเหตุที่นายอริสมันต์นำพวกบุกเข้าไปในรัฐสภาครับ ไม่ใช่สาเหตุจากการยิงระเบิดหรือมีการปิดถนนเผายางแต่ประการใด
คุณนิชาทราบจากรายงานข้อเท็จจริงของคอป.ว่า ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ช่วงเวลาเย็น ยังคงมีคำสั่งไม่ให้ทหารใช้กำลังอาวุธ ซึ่งสวนกับข้อเท็จจริง จะบ่าย เย็น หรือค่ำ ทหารก็มีการใช้อาวุธปืนสงครามจนทำให้เกิดการสูญเสียบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแล้ว และทหารที่เสียชีวิตไม่ได้ถูกยิงตาย แต่ถูกระเบิดขว้าง M67 ปาใส่ จากมือที่มองไม่เห็นเมื่อเวลา 20.45 โดยประมาณ
หากทหารใช้อาวุธจริงก่อนหน้านี้ คงไม่ตายและบาดเจ็บถึง 300 กว่าคน และเมื่อทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ทหารไม่มีสิทธิในการป้องกันชีวิตตนเองบ้างหรือ ทหารก็เป็นคนเหมือนกัน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ระเบิด-ใช้อาวุธยิงทหาร หมายจะเอาชีวิต จะให้ทหารสู้ด้วยมือเปล่าหรือ? ก็เพราะยืนนิ่งให้เขาทำร้ายมิใช่หรือ ทหารถึงได้ตายบาดเจ็บพิการกันมากขนาดนั้น
หากผู้ชุมนุมเคารพกฎหมาย ไม่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและชุมนุมด้วยความสงบสันติ ทหารก็คงไม่ต้องถูกเรียกมา และพลเอกร่มเกล้า ก็คงไม่ตาย แต่ภาพในวันนั้น หลังจากประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย. แล้วพี่น้องเสื้อแดงก็ยังหลั่งไหลเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ อย่างไม่หวาดหวั่นกลัวต่อสิ่งใดเลย
ประโยค "หากทหารใช้อาวุธจริงก่อนหน้านี้ คงไม่ตายและบาดเจ็บถึง 300 กว่าคน และเมื่อทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน" ของคุณนิชา ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของนพ.กิตติภูมิ จุฑาสมิต แพทย์ดีเด่นในชนบท'52 ที่กล่าวประโยค "ข้อเท็จจริงที่กลับตาลปัตร ความรับรู้ของคนเปลี่ยนไปเพราะถูกบิดเบือน" โผล่ขึ้นมาอยู่ในหัวทันทีครับ
คุณนิชาเรียกร้องสิทธิป้องกันตัวให้ทหาร แต่ข้อเท็จจริงตลอดช่วงสายบ่ายค่ำที่ทหารใช้อาวุธปืนสงครามทำทำการสลายการชุมนุมจนมีการสูญเสียบาดเจ็บล้มตายของคนเสื้อแดงจำนวนมาก โดยที่ยังไม่มีชายชุดดำปรากฎตัว มวลชนครับที่สู้ด้วยมือเปล่า ไม้ ก้อนอิฐ ปะทะกับกองกำลังทหารมีและได้ใช้อาวุธปืนสงครามนั้นมาตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำ
ผมอยากถามกลับคุณนิชาว่า มวลชนจะต้องยืนนิ่งๆ ให้ทหารทำการสลาย มวลชนไม่มีสิทธิที่จะป้องกันตัว มวลชนไม่มีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา มวลชนไม่มีสิทธิไขว่คว้าเรียกหาประชาธิปไตย รัฐบาลอภิสิทธิ์ชนะการเลือกตั้งให้เป็นพรรคอันดับหนึ่งจึงมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล จัดตั้งศอฉ. สั่งให้คนเสื้อแดงกลับไปใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านฟ้า แล้วตลบหลังด้วยการขอคืนพื้นที่ผ่านฟ้าเป็นที่แรก ด้วยกองกำลังทหาร จัดหนัก จัดเต็ม
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า นับเป็นความโชคดีที่คนเสื้อแดงไม่ได้ยืนนิ่งเป็นผักเป็นปลาให้ถูกยิงถูกฆ่า ประกอบกับมีสิ่งกีดขวางเป็นเครื่องช่วยบังกระสุน จึงช่วยทำให้ยอดผู้เสียชีวิตของคนเสื้อแดงสูญเสียไปมากกว่านี้
“นิชา” ย้ำเหตุเมษาฯ เลือด แนะ รบ.4 ข้อ หากจริงใจปรองดอง “สิงห์” ขอตอกหมุดความจริง
“ลองพยายามทำใจเป็นกลางคิดว่า ถ้าทุกคนในบ้านเมืองอยากได้สิ่งนี้ เราก็ต้องฝืนใจยอมรับ และถ้าสิ่งนี้มันดีกับบ้านเมืองจริง เราก็จะยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่จนถึงวันนี้ ไม่อาจเข้าใจว่า การนิรโทษกรรมในตอนนี้ มันจะดีกับบ้านเมืองและให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ลูกหลานของเราในอนาคตได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากการสูญเสียร่วมกันเลย...
ในเมื่อยังมีคนไม่รู้ตัวว่าทำผิดอีกจำนวนมาก ในเมื่อยังมีคนผิดที่ไม่ยอมรับผิดและไม่หลาบจำในความผิดของตนอีกจำนวนมาก (แถมยังพร้อมจะย้อนกลับมาทำผิดอีก) และในเมื่อยังมีฆาตกรกรที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเดินลอยนวลอยู่ในสังคมอีกมาก การนิรโทษกรรมในวันนี้ จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใด?
ผมขอทำการตั้งคำถามชงและคาดเดาใจคุณนิชาตบคำตอบเองต่อประโยคข้างบนที่ผมขีดเส้นใต้ว่าคนเหล่านั้นที่คุณนิชาใช้เรียกเป็นใคร?
ก. คนเสื้อแดงที่ติดคุกและถูกดำเนินคดีอยู่ (รวมแกนนำ)
ข. คนเสื้อแดงที่ยังไม่ติดคุกและถูกดำเนินคดีอยู่ (รวมแกนนำ)
ค. นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพแอนด์เดอะแก๊ง
คำตอบของคุณนิชา น่าจะหมายถึง ข้อ ก. และ ข้อ ข. นั่นก็คือ คุณนิชาเหมาเข่งไปที่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เป็นผู้กระทำผิด* นั่นหมายถึงคุณนิชาดูที่ปลายเหตุ โดยไม่ย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุ
กลับกันคุณนิชาทราบหรือไม่ว่า คนจัดตั้งศอฉ. คนสั่งการให้ทหารออกมาทำการสลายการชุมนุม คือ คนที่ถูกคนเสื้อแดงกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรที่ยังเดินลอยนวล
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า ผู้ที่กระทำผิดและไม่รู้ตัวว่าทำผิด หรือผู้ที่กระทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดในความเข้าใจของคุณนิชา แท้ที่จริงคือ กลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้ออกมาใช้สิทธิการชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นในค่ายทหาร รัฐบาลที่จัดตั้งภายหลังมีการยุบ 3 พรรคการเมือง เปิดทางแลนดิ้งให้กับพันธมิตรที่ก่อการดี "อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ" ปิดสนามบินหาทางลง และเปิดรันเวย์สู่ทำเนียบ จัดไฟลท์พิเศษ จากบุรีรัมย์สู่บางกอก ก่อให้เกิดปรากฎการณ์กอดแห่งสยาม มาร์ค ชิดชอบ ซึ่งถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรมเมษาพฤษภา 25553
คุณนิชาคงจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าสลายการชุมนุมตามมาตฐานสากล ที่ต้องใช้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ถุกฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ใช่ทหารที่ถูกฝึกมาให้ฆ่าคน ทำการรบพุ่ง คุณนิชาคงไม่รู้ว่าประเทศที่ปกครองโดยระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง มีผู้นำมาจากการเลือกตั้ง (ไม่ใช่ผู้นำที่มาจากการลากตั้ง บ้าอำนาจ หวงอำนาจ) จะไม่มีการส่งทหารติดอาวุธสงครามทำการสลายการชุมนุมที่ยากต่อการควบคุมสถานการณ์ภายหลัง 6 โมงเย็น และง่ายต่อการสร้างสถานการณ์จากมือที่มองไม่เห็น แถมยังจัดหนักใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงแก๊สน้ำตา จัดเต็มใช้รถหุ้มเกราะเบิกทาง
ย้อนไปเมื่อตอนช่วงบ่ายคุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า การเข้าสลายการชุมนุมของทหาร ทำให้มีคนเสื้อแดงถูกยิงแล้วเสียชีวิต บาดเจ็บหลายราย โดยที่ยังไม่มีวี่แววของชายชุดดำติดอาวุธปืนสงครามโผล่ขึ้นมา แต่การสลายการชุมนุมก็ยังมีการเดินหน้า แม้กระทั่งคล้อยหลังหกโมงเย็น จนกระทั่งทุ่มกว่าๆ คนเสื้อแดงก็เริ่มถูกยิงเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว ไปจนถึงช่วงสองทุ่มเศษ ทหารมีการถอนกำลังที่สี่แยกคอกวัว ชายชุดดำติดอาวุธปืนสงครามจึงปรากฎกายขึ้นมา โดยที่ชายชุดดำดังกล่าวไม่ได้ทำอันตรายทหารคนใดเสียชีวิตเลยสักคนที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว
ย้อนกลับไปในช่วง 4 เมษายน 2553 นายอภิสิทธิ์ออกโทรทัศน์บอกให้ผู้ชุมนุมที่มาตั้งเวทีที่ราชประสงค์ในวันที่ 3 เมษายน 2553 กลับไปใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญที่เวทีผ่านฟ้า แต่ 10 เมษายน 2553 ทหารได้ทำการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าหน้าตาเฉย
ดิฉันเข้าใจความทุกข์ยากของพี่น้องเสื้อแดงว่ามีชีวิตที่ยากลำบากอยู่ในคุก แต่ท่านรู้ไหมว่าพวกท่านโชคดีกว่าสามีของดิฉันที่ไม่มีโอกาสเรียกร้องอะไร เพราะว่าเขา “ตาย” เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตเดินเข้าสู่สมรภูมิด้วยหน้าที่ แต่ผู้ชุมนุมเดินเข้าสู่พื้นที่ประกาศห้ามด้วยความสมัครใจ-ด้วยความเต็มใจที่จะฝ่าฝืนท้าทายกฎหมายของบ้านเมือง แต่วันนี้นับว่าพวกท่านโชคดีนักที่ยังมีสิทธิได้รับการประกันตัว ยังมีโอกาสเรียกร้องขอ “อิสรภาพ” ในขณะที่ดิฉันก็อยากเรียกร้องขอ “ชีวิต” ของสามีคืนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถ้าท่านให้คืนได้ ดิฉันยินดียอมรับการนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ แต่ถ้าท่านให้ชีวิตของสามีดิฉันคืนไม่ได้ ก็ขอแลกด้วยเงื่อนไข-คำมั่นสัญญาของความเป็นคนว่า ท่านจะไม่ทำผิดฝ่าฝืนกฎหมายทำร้ายบ้านเมืองอีก และถ้าทำผิดอีกจะไม่มีโอกาสซ้ำสอง แค่นี้เอง...ความจริงแล้วมันไม่ยุติธรรมกับความตายของเจ้าหน้าที่รัฐเลย เพราะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 การฆ่าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต
1. ที่สี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว และถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ คือคำที่คุณนิชาเรียกว่า สมรภูมิ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า สมรภูมิคือพื้นที่ที่กำหนดเป็นที่รบของทหาร คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า ทหารที่มีหน้าที่รบกับศัตรู ศัตรูที่บุกรุกประเทศ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับ ผู้ที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่ศัตรูที่เข้ามารุกรานประเทศ แต่เป็นผู้ที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา
ที่สำคัญคุณนิชาทราบหรือไม่ครับ สมัยรัฐบาลสมัคร-สมชาย มีการประกาศพรก.ฉุกเฉินกำหนดพื้นที่ประกาศห้าม แต่ก็มีผู้ชุมนุมเดินเข้าสู่พื้นที่ประกาศห้ามด้วยความสมัครใจ-ด้วยความเต็มใจที่จะฝ่าฝืนท้าทายกฎหมายของบ้านเมือง แต่ทำไมสมัยรัฐบาลสมัคร-สมชาย ทหารจึงเลือกปฏิบัติแตกต่างกัน รัฐบาลสมัคร-สมชายมีการสั่งการให้ทหารติดอาวุธปืนสงครามไปทำการขอคืนพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลไหมครับ รัฐบาลสมชายมีการสั่งการให้ทหารทำการกระชับวงล้อมผู้ที่ปิดสนามบินด้วยการกำหนดพื้นที่เป็นเขตใช้กระสุนจริงไหมครับ
2. คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า มีผู้ที่ถูกจับหลายคนไม่ได้กระทำผิด แต่ถูกจับเหมาเข่ง หรือไม่ก็ถูกจับยัดเยียดให้เป็นแพะ คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่าผู้ที่ถูกจับในระดับมวลชนเป็นชาวบ้านหรือประชาชนธรรมดาที่ไม่มีเส้น แทบจะไม่มีโอกาสได้รับสิทธิประกันตัว จนกระทั่งเกิดการตายในคุก 2 ราย มีหลายรายที่ศาลตัดสินยกฟ้อง ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด คุณนิชาทราบบ้างหรือเปล่าครับ ผู้ที่ไม่ใช่กระทำความผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต้องติดคุกฟรี นี่คือความโชคดีหรือครับ
3. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คุณนิชาเอาการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้าที่เกิดจากฝีมือของใครก็ไม่ทราบได้มาผูกมัดเป็นปมเงื่อนไขเทียบบัญญัติไตรยางค์กับผู้ถูกกล่าวในคดีความต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ การที่คุณนิชาจะเรียกหาความยุติธรรมให้กับความตายของเจ้าหน้าที่รัฐ น่าจะเป็นการทำความจริงให้ปรากฎ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใครฆ่า ก็ไปตามจับหาคนฆ่ามาทำการลงโทษ ไม่ใช่ไปเอาผู้ถูกกล่าวหาในคดีอื่นมาทำการลงโทษแทน ยิ่งผิดหลักการ และยิ่งไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม มาจนถึงขณะนี้คุณนิชาทราบแน่ชัดหรือยังครับว่าผู้ที่ฆ่าพ.อ.ร่มเกล้าคือใคร?
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ก่อนที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหารจะเริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จำกันได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในกรุงเทพมหานครก่อตัวรุนแรงมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 (ไม่นับการชุมนุมในปี 2552 ที่มีการยึดรถแก๊ส เผายาง เผารถยนต์ให้พี่น้องชาวดินแดงหวาดกลัว) มีการชุมนุมและเหตุการณ์ยิงระเบิดตามสถานที่สำคัญและสถานที่สาธารณะมาเรื่อยๆ จนวันที่ 9 มี.ค. 2553 รัฐบาลจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่สถานการณ์ก็ยังทวีความรุนแรงตลอดเดือนมีนาคม โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีการยิงระเบิด-ไฟไหม้ แทบทุกวัน ผู้คนในกรุงเทพฯ หวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะอาจโดนระเบิดหรือโดนลูกหลงได้ทุกที่-ทุกเมื่อ คนกรุงเทพฯที่บ้านอยู่ในโซนปิดถนนผายาง ก็ต้องอพยพพาคนแก่หนีกันโกลาหล กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองมิคสัญญี ราชการประกาศเป็นวันหยุดวันต่อวัน จนในที่สุดนำไปสู่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์วิกฤติจนเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จากรายงานข้อเท็จจริงของ คอป.ระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ช่วงเวลาเย็น ยังคงมีคำสั่งไม่ให้ทหารใช้กำลังและอาวุธ จนกระทั่งเวลา 20.30 น. หลังจากทหารถูกยิงตายไป 5 คนและบาดเจ็บกว่า 300 คน จึงได้มีคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธในกรณีที่จำเป็นเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนผู้บริสุทธิ์
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมามีเหตุการณ์ยิงระเบิดและไฟไหม้เกิดขึ้นแทบทุกวัน
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 ก่อนถึงวันที่ 10 เมษายน 2553 มีการปิดถนนเผายาง มีการอพยพคนแก่หนีกันโกลาหล
ผมเพิ่งทราบนะครับว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 ก่อนถึงวันที่ 10 เมษายน 2553 กรุงเทพกลายเป็นเมืองมิคสัญญีจาก 2 เหตุการณ์ข้างต้นดังกล่าวทำให้รัฐบาลประกาศพรก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า เหตุการณ์เผายางกลางถนนเกิดขึ้นภายหลังวันขีดเส้นตาย 13 พฤษภาคม 2553 ที่ก่อให้เกิดปฏิบัติกระชับวงล้อม ตั้งโซนเขตกระสุนจริง ยิงจริง เจ็บจริง ตายจริง ดังนั้นเหตุการณ์การเผายางหรือไฟไหม้ก่อนวันที่ 7 เมษายน 2553 - 13 พฤษภาคม 2553 จึงเป็นเรื่องยกเมฆ หรือ จินตนาการที่แต่งขึ้นครับ
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า การประกาศพรก.ฉุกเฉินร้ายแรงที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 เมษายน 2553 เกิดขึ้นจากสาเหตุที่นายอริสมันต์นำพวกบุกเข้าไปในรัฐสภาครับ ไม่ใช่สาเหตุจากการยิงระเบิดหรือมีการปิดถนนเผายางแต่ประการใด
คุณนิชาทราบจากรายงานข้อเท็จจริงของคอป.ว่า ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ช่วงเวลาเย็น ยังคงมีคำสั่งไม่ให้ทหารใช้กำลังอาวุธ ซึ่งสวนกับข้อเท็จจริง จะบ่าย เย็น หรือค่ำ ทหารก็มีการใช้อาวุธปืนสงครามจนทำให้เกิดการสูญเสียบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแล้ว และทหารที่เสียชีวิตไม่ได้ถูกยิงตาย แต่ถูกระเบิดขว้าง M67 ปาใส่ จากมือที่มองไม่เห็นเมื่อเวลา 20.45 โดยประมาณ
หากทหารใช้อาวุธจริงก่อนหน้านี้ คงไม่ตายและบาดเจ็บถึง 300 กว่าคน และเมื่อทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ทหารไม่มีสิทธิในการป้องกันชีวิตตนเองบ้างหรือ ทหารก็เป็นคนเหมือนกัน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ระเบิด-ใช้อาวุธยิงทหาร หมายจะเอาชีวิต จะให้ทหารสู้ด้วยมือเปล่าหรือ? ก็เพราะยืนนิ่งให้เขาทำร้ายมิใช่หรือ ทหารถึงได้ตายบาดเจ็บพิการกันมากขนาดนั้น
หากผู้ชุมนุมเคารพกฎหมาย ไม่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและชุมนุมด้วยความสงบสันติ ทหารก็คงไม่ต้องถูกเรียกมา และพลเอกร่มเกล้า ก็คงไม่ตาย แต่ภาพในวันนั้น หลังจากประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย. แล้วพี่น้องเสื้อแดงก็ยังหลั่งไหลเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ อย่างไม่หวาดหวั่นกลัวต่อสิ่งใดเลย
ประโยค "หากทหารใช้อาวุธจริงก่อนหน้านี้ คงไม่ตายและบาดเจ็บถึง 300 กว่าคน และเมื่อทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน" ของคุณนิชา ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของนพ.กิตติภูมิ จุฑาสมิต แพทย์ดีเด่นในชนบท'52 ที่กล่าวประโยค "ข้อเท็จจริงที่กลับตาลปัตร ความรับรู้ของคนเปลี่ยนไปเพราะถูกบิดเบือน" โผล่ขึ้นมาอยู่ในหัวทันทีครับ
คุณนิชาเรียกร้องสิทธิป้องกันตัวให้ทหาร แต่ข้อเท็จจริงตลอดช่วงสายบ่ายค่ำที่ทหารใช้อาวุธปืนสงครามทำทำการสลายการชุมนุมจนมีการสูญเสียบาดเจ็บล้มตายของคนเสื้อแดงจำนวนมาก โดยที่ยังไม่มีชายชุดดำปรากฎตัว มวลชนครับที่สู้ด้วยมือเปล่า ไม้ ก้อนอิฐ ปะทะกับกองกำลังทหารมีและได้ใช้อาวุธปืนสงครามนั้นมาตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำ
ผมอยากถามกลับคุณนิชาว่า มวลชนจะต้องยืนนิ่งๆ ให้ทหารทำการสลาย มวลชนไม่มีสิทธิที่จะป้องกันตัว มวลชนไม่มีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา มวลชนไม่มีสิทธิไขว่คว้าเรียกหาประชาธิปไตย รัฐบาลอภิสิทธิ์ชนะการเลือกตั้งให้เป็นพรรคอันดับหนึ่งจึงมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล จัดตั้งศอฉ. สั่งให้คนเสื้อแดงกลับไปใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านฟ้า แล้วตลบหลังด้วยการขอคืนพื้นที่ผ่านฟ้าเป็นที่แรก ด้วยกองกำลังทหาร จัดหนัก จัดเต็ม
คุณนิชาทราบหรือไม่ครับว่า นับเป็นความโชคดีที่คนเสื้อแดงไม่ได้ยืนนิ่งเป็นผักเป็นปลาให้ถูกยิงถูกฆ่า ประกอบกับมีสิ่งกีดขวางเป็นเครื่องช่วยบังกระสุน จึงช่วยทำให้ยอดผู้เสียชีวิตของคนเสื้อแดงสูญเสียไปมากกว่านี้