เอ็มเค เรสโตรองต์ฯจะขาย IPO 185.85 ล้านหุ้นใช้สร้างครัวกลาง-ขยายสาขา
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ได้ยื่นแบบแสดงข้อมูล(Filing) version แรก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชน(IPO)จำนวน 185.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีบล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ สร้างสำนักงานใหม่ ขยายสาขา และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีความประสงค์จะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)
บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจหลักคือ ร้านอาหารประเภทสุกี้ยากี้ ภายใต้เครื่องหมายการค้า"เอ็ม เค"นอกจากนี้ยังดำเนินกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า"ยาโยอิ","ฮากาดะ"และ"เท็นจิน",ร้านอาหารไทยภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า "ณ สยาม" และ "เลอ สยาม",ร้านกาแฟ/เบเกอรี่ ภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า"เลอ เพอทิท"รวมถึงการดำเนินธุรกิจสถาบันฝึกอบรมอาชีพเพื่อฝึกอบรมพนักงานในเครือบริษัทฯทั้งหมด
โครงสร้างของบริษัทฯและบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 55 โดย บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็ม เค อินเตอร์ฟู้ด จำกัด(MKI), ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็มเค เซอร์วิส เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด(MKST), ถือหุ้น 50% ในบริษัท พลีนัส แอนด์ เอ็ม เค พีทีอี ลิมิเท็ด และถือหุ้น 12% ในบริษัท พลีนัส เอ็ม เค ลิมิเท็ด
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯงวด 9 เดือนแรกของปี 55 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและบริการจากธุรกิจร้านอาหารสุกี้ 8,381 ล้านบาท กำไรเบ็ดเสร็จ 1,613 ล้านบาท และ ณ วันที่ 30 กันยายน 55 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 4,454 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,436 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 950 ล้านบาท
ณ วันที่ 8 มกราคม 56 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 925.85 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 925.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว 720 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 720 ล้านหุ้น ภายหลังจากขาย IPO ในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 905.85 ล้านบาท แบ่งเป็น 905.85 ล้านหุ้น นอกเหนือจากการเพิ่มทุนขาย IPO 185.85 ล้านหุ้นแล้ว บริษัทฯยังได้เพิ่มทุน 20 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยด้วย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 อันดับแรกของบริษัทฯ ณ วันที่ 27 กันยายน 55 คือ กลุ่มนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ถือหุ้น 338,598,035 หุ้นหรือคิดเป็น 47% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.4%, นายสมชาย หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 164,088,012 หุ้น หรือคิดเป็น 22.8% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 18.1% และนายสมนึก หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 164,087,977 หุ้น หรือคิดเป็น 22.8% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 18.1%
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
MK สุกี้ จะมาแล้ว...IPO ที่ดูแล้วมีอนาคต
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ได้ยื่นแบบแสดงข้อมูล(Filing) version แรก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชน(IPO)จำนวน 185.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีบล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ สร้างสำนักงานใหม่ ขยายสาขา และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีความประสงค์จะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)
บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจหลักคือ ร้านอาหารประเภทสุกี้ยากี้ ภายใต้เครื่องหมายการค้า"เอ็ม เค"นอกจากนี้ยังดำเนินกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า"ยาโยอิ","ฮากาดะ"และ"เท็นจิน",ร้านอาหารไทยภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า "ณ สยาม" และ "เลอ สยาม",ร้านกาแฟ/เบเกอรี่ ภายใต้ชื่อและเครื่องหมายการค้า"เลอ เพอทิท"รวมถึงการดำเนินธุรกิจสถาบันฝึกอบรมอาชีพเพื่อฝึกอบรมพนักงานในเครือบริษัทฯทั้งหมด
โครงสร้างของบริษัทฯและบริษัทย่อย ณ วันที่ 30 กันยายน 55 โดย บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็ม เค อินเตอร์ฟู้ด จำกัด(MKI), ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็มเค เซอร์วิส เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด(MKST), ถือหุ้น 50% ในบริษัท พลีนัส แอนด์ เอ็ม เค พีทีอี ลิมิเท็ด และถือหุ้น 12% ในบริษัท พลีนัส เอ็ม เค ลิมิเท็ด
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯงวด 9 เดือนแรกของปี 55 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและบริการจากธุรกิจร้านอาหารสุกี้ 8,381 ล้านบาท กำไรเบ็ดเสร็จ 1,613 ล้านบาท และ ณ วันที่ 30 กันยายน 55 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 4,454 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,436 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 950 ล้านบาท
ณ วันที่ 8 มกราคม 56 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 925.85 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 925.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว 720 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 720 ล้านหุ้น ภายหลังจากขาย IPO ในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 905.85 ล้านบาท แบ่งเป็น 905.85 ล้านหุ้น นอกเหนือจากการเพิ่มทุนขาย IPO 185.85 ล้านหุ้นแล้ว บริษัทฯยังได้เพิ่มทุน 20 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยด้วย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 อันดับแรกของบริษัทฯ ณ วันที่ 27 กันยายน 55 คือ กลุ่มนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ถือหุ้น 338,598,035 หุ้นหรือคิดเป็น 47% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.4%, นายสมชาย หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 164,088,012 หุ้น หรือคิดเป็น 22.8% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 18.1% และนายสมนึก หาญจิตต์เกษม ถือหุ้น 164,087,977 หุ้น หรือคิดเป็น 22.8% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 18.1%
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย