สวัสดีครับมาต่อ Part ที่ 3 กันเลย
จาก กัวลาลัมเปอร์ มา ลงที่ สนามบินฮาเนดะ โตเกียว ใช้เวลาไป 5 ชั่วโมงกว่า
ลงเครื่องเวลที่ญี่ปุ่น ประมาณ 5 ทุ่ม
ต่อไปเราจะต้องรีบไปขึ้นรถไฟเข้าไปชินจูกุ กัน ก่อนที่รถไฟจะหมด
เมื่อลงเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ ก็มีรถบัสมารับจากเครื่องเข้าไปที่อาคารผู้โดยสาร (ถ้าให้เดินเหมือนกัวลาฯ คงหนาวตายอยู่ตรงนั้น)
บนรันเว ไม่เห็นหิมะเลยนะ แต่อากาศหนาววววววววววววมากกกกกกกกกกก
และเมื่อผ่านด่าน ตม. เสร็จสรรพ ก็ถึงเวลาไปยืนรอลุ้นกระเป๋า ว่า จะมาถึงรึเปล่าน๊าาาาา? เพราะเราก็เคยบินแบบนี้ครั้งแรก
ลุ้นตุ้มๆต่อมๆ และแล้วก็หน้าบานเมื่อเห็นกระเป๋าของตัวเอง เพราะถ้ากระเป๋าไม่มา คงไปใหนต่อไม่ได้เลย หรือไม่ก็คงต้องไปเสียเงินอีกรอบ
เพราะเสื้อผ้าอยู่ในกระเป๋าหมดเลย
เอาละ รับกระเป๋าแล้วก็ จัดแจงแต่งตัวกันซะก่อน เพราะเราไม่อยากต้องไปรื้อกระเป๋ากันกลางสี่แยก แบบตอนเกาหลีแล้ว 555++
เรียบร้อยก็ รีบๆๆๆๆ ออกมาขึ้นรถไฟ ไปลง สถานี Chin-Okubo เพื่อไปขออาศัยบ้านของปุ๋ย (รุ่นน้องที่เรียน+ทำงานอยู่ที่นี่ )
เมื่อขึ้นมา ตาก็ สอดส่าย มองโน่นมองนี่ ตลอดทาง
รวมทั้งพยายามมองผู้ร่วมชะตากรรมด้วย ว่าเป็นคนไทยรึเปล่า เอ่อ…..แบบว่าอยากคุยด้วย อยากปรึกษา ขอความช่วยเหลืออ่ะ …
ตอนที่นั่งอยู่นี่ หูก็พยายามฟังเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่รถไฟ ว่ามันถึงสถานีอะไรแล้ว
แต่ผลสรุปว่า ฟังไม่รู้เรื่อง ปกติพูดอังกฤษ ธรรมดาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว นี่เจออังกฤษญี่ปุ่นเลย งง เป็นไก่ตาแตก
แต่ก็พยายามฟังไปเรื่อยๆ หูก็ฟัง ตาก็มองไฟบอกสถานี มือก็ถือแผนที่รถไฟ
ซึ่ง แต่ละชื่อสถานีที่นั่งออกมาจาก สนามบิน มันไม่มีในแผนที่รถไฟ งง งง งง
มารู้ตัว จับจุดได้อีกที ก็คือถึงสถานี Shinagawa แล้ว ก็รีบลงๆๆๆๆ เพื่อไปต่อรถไฟสาย Yamanote Line (อย่ามาโนช)
แล้วไปลงที่ Chin-Okubo
และแล้วก็มาถึงสถานี Chin-Okubo เพื่อรอให้รุ่นน้องมารับ รออยู่พักนึง เอ๊ะ !!! ปกติ ใช้ Line คุยกัน แล้วตอนนี้ไม่มีเน็ต เอาละสิ
แต่ยังโชคดีที่ก่อนหน้านี้ น้องให้เบอร์เอาไว้ เลยได้เครื่องนี้ช่วยไว้
ขอบคุณตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ทำให้เราไม่ต้องหลงนาน หรือมัวเดินต๊อกๆ หาที่พักใหม่
เมื่อติดต่อกันได้ ก็รอสักแป๊บ รุ่นน้องก็เดินมารับ แล้วบอกว่า อ้าว นึกว่า ไปรอที่สถานี Okubo เพราะจะไกล้บ้านกว่า
เอ่มมมม นอกจาก Shin-Okubo แล้ว ก็ยังมี Okubo เฉยๆ ด้วย ฮ่วย!! ตรูมาได้ขนาดนี้ก็ บุญแล้วน่ะ เอาน่ะ เดินเอาหน่อย
หึๆๆๆ ลองดูสิ ไม่สงสารตรูบ้างเหรอ ว่าจะ งง ขนาดใหน
เสร็จสรรพ เข้าบ้านเรียบร้อย ก็เลยงัดเอาปลาสลิดที่ โหลดไปฝาก มาให้กับเจ้าของที่ซุกหัวนอนได้กิน แทนของฝากจากเมืองไทย อิอิ
แต่ความหิว ไม่เคยปราณีใคร เจ้าบ้านเลยอาสาพาเดินออกมาปะทะความหนาวเล่น เพื่อหาของกินไกล้ๆนั้น
นวัตกรรม จักรยานกันมือหนาว
แต่อันจักรยานกันมือหนาวนี่ไม่ค่อยเท่าไรนะ เพราะเคยเห็น บ่อยแล้ว แบบมอไซ ก็มี
แต่ที่ชอบสุดเลย คือ ที่จอดจักรยาน ครับ ดู มีระบบ เท่ห์ดี ปลอดภัย
อยากให้แถวรถไฟฟ้า บ้านเรามี แบบนี้บ้าง เพราะที่มีอยู่มันอลดู น่ากลัวจะหาย
เดินต่อมาได้อีกหน่อยก็ถึงร้านข้าวกันแล้ว
เข้าไปในร้าน ก็จะเจอกับตู้หยอดอาหารแบบนี้
ใส่ตังไป กดเมนู ที่หมายตา รับ คูปองเล็กๆมาใบนึง ส่งให้พนักงานในร้าน : #@!$%^&*+@# : (คือพนักงานพูดไรไม่รู้เรื่อง ได้แต่ ยิ้ม พยักหน้า)
มื้อนี้สั่งกันคนละอย่าง สองอย่าง ดังภาพ
เมื่อกินเสร็จ ก็ จิบๆเบียร์ ไปสักพัก ก็ ค่อยๆเดินฝ่าความหนาวกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้ต้อง มุ่งหน้าไปทะเลสาบ Kawaguchiko ไปดูฟูจิซังไกล้ๆกัน
ขอบคุณมากๆที่แวะมาอ่านนะครับ
[CR] Japan January Part 3 (ถึงญี่ปุ่นละจร้าาาาา)
จาก กัวลาลัมเปอร์ มา ลงที่ สนามบินฮาเนดะ โตเกียว ใช้เวลาไป 5 ชั่วโมงกว่า
ลงเครื่องเวลที่ญี่ปุ่น ประมาณ 5 ทุ่ม
ต่อไปเราจะต้องรีบไปขึ้นรถไฟเข้าไปชินจูกุ กัน ก่อนที่รถไฟจะหมด
เมื่อลงเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ ก็มีรถบัสมารับจากเครื่องเข้าไปที่อาคารผู้โดยสาร (ถ้าให้เดินเหมือนกัวลาฯ คงหนาวตายอยู่ตรงนั้น)
บนรันเว ไม่เห็นหิมะเลยนะ แต่อากาศหนาววววววววววววมากกกกกกกกกกก
และเมื่อผ่านด่าน ตม. เสร็จสรรพ ก็ถึงเวลาไปยืนรอลุ้นกระเป๋า ว่า จะมาถึงรึเปล่าน๊าาาาา? เพราะเราก็เคยบินแบบนี้ครั้งแรก
ลุ้นตุ้มๆต่อมๆ และแล้วก็หน้าบานเมื่อเห็นกระเป๋าของตัวเอง เพราะถ้ากระเป๋าไม่มา คงไปใหนต่อไม่ได้เลย หรือไม่ก็คงต้องไปเสียเงินอีกรอบ
เพราะเสื้อผ้าอยู่ในกระเป๋าหมดเลย
เอาละ รับกระเป๋าแล้วก็ จัดแจงแต่งตัวกันซะก่อน เพราะเราไม่อยากต้องไปรื้อกระเป๋ากันกลางสี่แยก แบบตอนเกาหลีแล้ว 555++
เรียบร้อยก็ รีบๆๆๆๆ ออกมาขึ้นรถไฟ ไปลง สถานี Chin-Okubo เพื่อไปขออาศัยบ้านของปุ๋ย (รุ่นน้องที่เรียน+ทำงานอยู่ที่นี่ )
เมื่อขึ้นมา ตาก็ สอดส่าย มองโน่นมองนี่ ตลอดทาง
รวมทั้งพยายามมองผู้ร่วมชะตากรรมด้วย ว่าเป็นคนไทยรึเปล่า เอ่อ…..แบบว่าอยากคุยด้วย อยากปรึกษา ขอความช่วยเหลืออ่ะ …
ตอนที่นั่งอยู่นี่ หูก็พยายามฟังเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่รถไฟ ว่ามันถึงสถานีอะไรแล้ว
แต่ผลสรุปว่า ฟังไม่รู้เรื่อง ปกติพูดอังกฤษ ธรรมดาก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว นี่เจออังกฤษญี่ปุ่นเลย งง เป็นไก่ตาแตก
แต่ก็พยายามฟังไปเรื่อยๆ หูก็ฟัง ตาก็มองไฟบอกสถานี มือก็ถือแผนที่รถไฟ
ซึ่ง แต่ละชื่อสถานีที่นั่งออกมาจาก สนามบิน มันไม่มีในแผนที่รถไฟ งง งง งง
มารู้ตัว จับจุดได้อีกที ก็คือถึงสถานี Shinagawa แล้ว ก็รีบลงๆๆๆๆ เพื่อไปต่อรถไฟสาย Yamanote Line (อย่ามาโนช)
แล้วไปลงที่ Chin-Okubo
และแล้วก็มาถึงสถานี Chin-Okubo เพื่อรอให้รุ่นน้องมารับ รออยู่พักนึง เอ๊ะ !!! ปกติ ใช้ Line คุยกัน แล้วตอนนี้ไม่มีเน็ต เอาละสิ
แต่ยังโชคดีที่ก่อนหน้านี้ น้องให้เบอร์เอาไว้ เลยได้เครื่องนี้ช่วยไว้
ขอบคุณตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ทำให้เราไม่ต้องหลงนาน หรือมัวเดินต๊อกๆ หาที่พักใหม่
เมื่อติดต่อกันได้ ก็รอสักแป๊บ รุ่นน้องก็เดินมารับ แล้วบอกว่า อ้าว นึกว่า ไปรอที่สถานี Okubo เพราะจะไกล้บ้านกว่า
เอ่มมมม นอกจาก Shin-Okubo แล้ว ก็ยังมี Okubo เฉยๆ ด้วย ฮ่วย!! ตรูมาได้ขนาดนี้ก็ บุญแล้วน่ะ เอาน่ะ เดินเอาหน่อย
หึๆๆๆ ลองดูสิ ไม่สงสารตรูบ้างเหรอ ว่าจะ งง ขนาดใหน
เสร็จสรรพ เข้าบ้านเรียบร้อย ก็เลยงัดเอาปลาสลิดที่ โหลดไปฝาก มาให้กับเจ้าของที่ซุกหัวนอนได้กิน แทนของฝากจากเมืองไทย อิอิ
แต่ความหิว ไม่เคยปราณีใคร เจ้าบ้านเลยอาสาพาเดินออกมาปะทะความหนาวเล่น เพื่อหาของกินไกล้ๆนั้น
นวัตกรรม จักรยานกันมือหนาว
แต่อันจักรยานกันมือหนาวนี่ไม่ค่อยเท่าไรนะ เพราะเคยเห็น บ่อยแล้ว แบบมอไซ ก็มี
แต่ที่ชอบสุดเลย คือ ที่จอดจักรยาน ครับ ดู มีระบบ เท่ห์ดี ปลอดภัย
อยากให้แถวรถไฟฟ้า บ้านเรามี แบบนี้บ้าง เพราะที่มีอยู่มันอลดู น่ากลัวจะหาย
เดินต่อมาได้อีกหน่อยก็ถึงร้านข้าวกันแล้ว
เข้าไปในร้าน ก็จะเจอกับตู้หยอดอาหารแบบนี้
ใส่ตังไป กดเมนู ที่หมายตา รับ คูปองเล็กๆมาใบนึง ส่งให้พนักงานในร้าน : #@!$%^&*+@# : (คือพนักงานพูดไรไม่รู้เรื่อง ได้แต่ ยิ้ม พยักหน้า)
มื้อนี้สั่งกันคนละอย่าง สองอย่าง ดังภาพ
เมื่อกินเสร็จ ก็ จิบๆเบียร์ ไปสักพัก ก็ ค่อยๆเดินฝ่าความหนาวกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้ต้อง มุ่งหน้าไปทะเลสาบ Kawaguchiko ไปดูฟูจิซังไกล้ๆกัน
ขอบคุณมากๆที่แวะมาอ่านนะครับ