ญี่ปุ่นล้มละลายแล้ว
(4 กุมภาพันธ์ 2556)
ในฐานะประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นโดนสหรัฐอเมริกาครอบอย่างเหนี่ยวแน่นมามาตลอด เป็นอาณานิคมทางการเมืองและการทหารโดยสมบูรณ์ อเมริกาชี้นกญี่ปุ่นก็ต้องบอกว่าเป็นนก ชี้ไม้ญี่ปุ่นก็ต้องบอกว่าเป็นไม้ ญี่ปุ่นไม่อยู่ในฐานะอะไรที่จะต่อรองกับอเมริกาได้ นโยบายการเมือง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ความมั่นคงและทางทหารต้องผูกติดกับสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว โดยมีสนธิสัญญาทางความมั่นคงระหว่างกัน ถ้าใครถูกรุกรานอีกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยรบด้วย ขณะนี้มีทหารอเมริกันประจำการอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 35,000นาย (1)
ฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่น
================
ญี่ปุ่นไม่สามารถจะดิ้นปลดแอกจากสหรัฐอเมริกาได้ เพราะว่ามีเกาหลีเหนือที่มีอาวุธนิวเคลียร์ข่มขู่อยู่ใกล้ๆ และที่สำคัญในอดีตญี่ปุ่นทำมิดีมิร้ายกับจีนมามาก ทำให้เกรงกลัวว่าจีนจะเอาคืน ขณะนี้จีนเข้มแข็งมากทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร และมีทีท่าอยากจะเอาคืนเสียด้วย ญี่ปุ่นจึงไม่อยู่ในฐานะจะปกป้องตัวเองได้ จึงต้องพึ่งอเมริกาเกือบจะ100%ในการให้ความคุ้มครองทางความมั่นคง เพื่อความอยู่รอด
ญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาได้เพราะนโยบายพัฒนาการอุตสาหกรรมที่อเมริกาวางไว้ให้เป็นฐานหรืออาณานิคมทางเศรษฐกิจในเอเซีย แม้ว่าจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเช่นน้ำมัน เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง ถ่านหินหรือวัตถุดิบอื่นๆในการผลิต แต่ญี่ปุ่นสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปและก้าวล้ำหน้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆของโลกได้ ด้วยแบรนด์ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน โซนี่ พานาโซนิค โตชิบ้า ชาร์ป ฯลฯ
ญี่ปุ่นกลายเป็นลูกไล่ของสหรัฐฯในการรีไซเกิ้ลเงินดอลล่าร์ เพื่อให้มีความต้องการดอลล่าร์และให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ญี่ปุ่นผลิตเพื่อส่งออกให้สหรัฐฯบริโภคเป็นตลาดหลัก ได้เงินดอลล่าร์มาตุนไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ญี่ปุ่นพัฒนาสินค้าผลิตเหนื่อยเกือบตาย แต่อเมริกาพิมพ์เงินเปล่าๆออกมาซื้อ ยิ่งขาดดุลย์การค้าก็ยิ่งออกพันธบัตรออกมามากขึ้นเท่านั้น แล้วญี่ปุ่นก็เอารายได้ดอลล่าร์กลับเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯบริโภคเกินควรต่อไป
พูดง่ายๆญี่ปุ่นขายรถยนต์ให้อเมริกา แลกกับกระดาษเปล่าๆ หรือIOUที่รัฐบาลอเมริกันออกมาโดยไม่มีวันใช้หนี้ได้
เพราะหนี้ในงบสหรัฐฯอยู่ที่ $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และหนี้นอกงบ (ภาระผูกพันประกันสังคม ประกันสุขภาพ บำเหน็จบำนาญ ฯลฯ) อยู่ที่ $86.6ล้านล้าน เทียบเท่า550%ต่อจีดีพี
ซาอุดิ อาราเบียและประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งหลายก็โดนล็อคคอแบบนี้ ต้องขายน้ำมันในรูปดอลล่าร์อย่างเดียว พอได้ดอลล่าร์มาก็เอาดอลล่าร์นั้นกลับเข้าไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการคุ้มครองทางความมั่นคง ทางทหาร วิธีการนี้ทำให้ดอลล่าร์แทนที่จะอ่อนเพราะเศรษฐกิจมีแต่การบริโภคเกินควร กลับแข็งเพราะทุกประเทศมีความต้องการตุนดอลล่าร์เพื่อการค้าขายและเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
แต่การรีไซเกิ้ลดอลลล่าร์แบบนี้กำลังจะถึงทางตัน เพราะว่าอเมริกาเล่นพิมพ์เงินไม่เลิก ทำให้หลายๆประเทศเตรียมตัวหนีออกจากดอลล่าร์ กลัวว่าดอลล่าร์จะกลายเป็นเศษกระดาษจากความเฟ้อ
จะว่าเป็นกรรมก็ได้เพราะว่าขณะนี้ญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้มีเศรษฐกิจอันดับ3ของโลก รองมาจากสหรัฐอเมริกาและจีน มีฐานะการเงินที่ล้มละลายแล้วด้วยหนี้สูงถึง230%ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าไปได้อีกกี่ยก
ทุนนิยมอุตสาหกรรมจะพบจุดจบแบบนี้ทุกรายหลังจากที่พัฒนาถึงจุดสูงสุดแล้วจะเสื่อมลงมาอย่างรวดเร็ว และจะหาทางออกไม่เจอเพราะว่าติดกับอยู่ในระบบอุตสาหกรรม ที่ออกจากวิถีชีวิตดั้งเดิมจนกู่ไม่กลับ พอเศรษฐกิจพัง จะไม่เหลืออะไรเลย
มาดูตัวเลขกันดีกว่า ที่ชี้ให้เห็นว่าอนาคตญี่ปุ่นมืดมนสนิท (2)
๑. ระหว่างปี 1955 ถึง 1970 ญี่ปุ่นกลายเป็นความมหัศจรรย์ของเอเซีย (Asia Miracle) กอปปี้จนได้ดี มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9.5%
๒. ระหว่าง 1971-1990 อัตราเฉลี่ยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นผ่อนลงอยู่ที่3.8%
๓. ปี 1985 อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจหนัก ใช้จ่ายเกินตัว ขาดดุลย์การค้า จึงทำข้อตกลงพลาซ่า แอคคอร์ด( Plaza Accord) ขึ้นมา ข้อตกลงนี้เป็นความร่วมมือของทางการและธนาคารกลางของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก และญี่ปุ่น ที่จะเข้าไปแทรกแซงการเงิน เพื่อให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนตัวลง และให้ค่าเงินมาร์คของเยอรมันตะวันตกและค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น ปากก็บอกว่าเพื่อสร้างสมดุลย์ในระบบการค้าโลก ที่จริงแล้วเป็นการหักคอญี่ปุ่นนั่นเอง
๔. ระหว่าง1985-1987 ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 51% ธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ถือพันธบัตรสหรัฐฯขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว51% ญี่ปุ่นส่งออกฟรี เหนื่อยเปล่าๆ
๕. ญี่ปุ่นเริ่มส่งออกลำบาก เงินเยนแข็งทำให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ ในขณะเดียวกันผู้ส่งออกเริ่มคิดย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นมาเมืองไทยและภูมิภาคบ้านเรา ตรงกับช่วงหน้าชาติพอดี
๖. นับตั้งแต่เศรษกิจฟองสบู่ญี่ปุ่นแตกเมื่อปี 1989-1990 นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยแค่ 0.8% เท่านั้น มีแต่ทรงตัวกับทรุด ท่ามกลางเงินฝืดอย่างรุนแรง
๗. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นหรือดัชนีนิคเคอิตอนนี้ตำกว่าปี 1989 ประมาณ 70-80%.
๘. ดัชนีนิคเคอิเคยทำสถิติสูงสุดที่38,957.44 เมื่อปี 1989 ตอนนี้อยู่ระหว่าง 8,000-12,000.
๙. ราคาบ้านในญี่ปุ่นขณะนี้ตกลงไปเทียบเท่าปี 1983 หลังพุ่งสูงสุดปี 1990
Source:
http://www.doctorhousingbubble.com/japan-real-estate-bubble-home-prices-back-30-years-zero-percent-mortgage-rates/
จริงเท็จประการใดครับ ที่เค้าบอกว่าญี่ปุ่นกำลังจะล้มละลาย? พอดีผมถือ MCS ไว้กลัวจะลงยาว
(4 กุมภาพันธ์ 2556)
ในฐานะประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นโดนสหรัฐอเมริกาครอบอย่างเหนี่ยวแน่นมามาตลอด เป็นอาณานิคมทางการเมืองและการทหารโดยสมบูรณ์ อเมริกาชี้นกญี่ปุ่นก็ต้องบอกว่าเป็นนก ชี้ไม้ญี่ปุ่นก็ต้องบอกว่าเป็นไม้ ญี่ปุ่นไม่อยู่ในฐานะอะไรที่จะต่อรองกับอเมริกาได้ นโยบายการเมือง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ความมั่นคงและทางทหารต้องผูกติดกับสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว โดยมีสนธิสัญญาทางความมั่นคงระหว่างกัน ถ้าใครถูกรุกรานอีกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยรบด้วย ขณะนี้มีทหารอเมริกันประจำการอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 35,000นาย (1)
ฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่น
================
ญี่ปุ่นไม่สามารถจะดิ้นปลดแอกจากสหรัฐอเมริกาได้ เพราะว่ามีเกาหลีเหนือที่มีอาวุธนิวเคลียร์ข่มขู่อยู่ใกล้ๆ และที่สำคัญในอดีตญี่ปุ่นทำมิดีมิร้ายกับจีนมามาก ทำให้เกรงกลัวว่าจีนจะเอาคืน ขณะนี้จีนเข้มแข็งมากทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร และมีทีท่าอยากจะเอาคืนเสียด้วย ญี่ปุ่นจึงไม่อยู่ในฐานะจะปกป้องตัวเองได้ จึงต้องพึ่งอเมริกาเกือบจะ100%ในการให้ความคุ้มครองทางความมั่นคง เพื่อความอยู่รอด
ญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาได้เพราะนโยบายพัฒนาการอุตสาหกรรมที่อเมริกาวางไว้ให้เป็นฐานหรืออาณานิคมทางเศรษฐกิจในเอเซีย แม้ว่าจะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเช่นน้ำมัน เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง ถ่านหินหรือวัตถุดิบอื่นๆในการผลิต แต่ญี่ปุ่นสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปและก้าวล้ำหน้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆของโลกได้ ด้วยแบรนด์ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน โซนี่ พานาโซนิค โตชิบ้า ชาร์ป ฯลฯ
ญี่ปุ่นกลายเป็นลูกไล่ของสหรัฐฯในการรีไซเกิ้ลเงินดอลล่าร์ เพื่อให้มีความต้องการดอลล่าร์และให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ญี่ปุ่นผลิตเพื่อส่งออกให้สหรัฐฯบริโภคเป็นตลาดหลัก ได้เงินดอลล่าร์มาตุนไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ญี่ปุ่นพัฒนาสินค้าผลิตเหนื่อยเกือบตาย แต่อเมริกาพิมพ์เงินเปล่าๆออกมาซื้อ ยิ่งขาดดุลย์การค้าก็ยิ่งออกพันธบัตรออกมามากขึ้นเท่านั้น แล้วญี่ปุ่นก็เอารายได้ดอลล่าร์กลับเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯบริโภคเกินควรต่อไป
พูดง่ายๆญี่ปุ่นขายรถยนต์ให้อเมริกา แลกกับกระดาษเปล่าๆ หรือIOUที่รัฐบาลอเมริกันออกมาโดยไม่มีวันใช้หนี้ได้
เพราะหนี้ในงบสหรัฐฯอยู่ที่ $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และหนี้นอกงบ (ภาระผูกพันประกันสังคม ประกันสุขภาพ บำเหน็จบำนาญ ฯลฯ) อยู่ที่ $86.6ล้านล้าน เทียบเท่า550%ต่อจีดีพี
ซาอุดิ อาราเบียและประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งหลายก็โดนล็อคคอแบบนี้ ต้องขายน้ำมันในรูปดอลล่าร์อย่างเดียว พอได้ดอลล่าร์มาก็เอาดอลล่าร์นั้นกลับเข้าไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการคุ้มครองทางความมั่นคง ทางทหาร วิธีการนี้ทำให้ดอลล่าร์แทนที่จะอ่อนเพราะเศรษฐกิจมีแต่การบริโภคเกินควร กลับแข็งเพราะทุกประเทศมีความต้องการตุนดอลล่าร์เพื่อการค้าขายและเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
แต่การรีไซเกิ้ลดอลลล่าร์แบบนี้กำลังจะถึงทางตัน เพราะว่าอเมริกาเล่นพิมพ์เงินไม่เลิก ทำให้หลายๆประเทศเตรียมตัวหนีออกจากดอลล่าร์ กลัวว่าดอลล่าร์จะกลายเป็นเศษกระดาษจากความเฟ้อ
จะว่าเป็นกรรมก็ได้เพราะว่าขณะนี้ญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้มีเศรษฐกิจอันดับ3ของโลก รองมาจากสหรัฐอเมริกาและจีน มีฐานะการเงินที่ล้มละลายแล้วด้วยหนี้สูงถึง230%ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าไปได้อีกกี่ยก
ทุนนิยมอุตสาหกรรมจะพบจุดจบแบบนี้ทุกรายหลังจากที่พัฒนาถึงจุดสูงสุดแล้วจะเสื่อมลงมาอย่างรวดเร็ว และจะหาทางออกไม่เจอเพราะว่าติดกับอยู่ในระบบอุตสาหกรรม ที่ออกจากวิถีชีวิตดั้งเดิมจนกู่ไม่กลับ พอเศรษฐกิจพัง จะไม่เหลืออะไรเลย
มาดูตัวเลขกันดีกว่า ที่ชี้ให้เห็นว่าอนาคตญี่ปุ่นมืดมนสนิท (2)
๑. ระหว่างปี 1955 ถึง 1970 ญี่ปุ่นกลายเป็นความมหัศจรรย์ของเอเซีย (Asia Miracle) กอปปี้จนได้ดี มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9.5%
๒. ระหว่าง 1971-1990 อัตราเฉลี่ยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นผ่อนลงอยู่ที่3.8%
๓. ปี 1985 อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจหนัก ใช้จ่ายเกินตัว ขาดดุลย์การค้า จึงทำข้อตกลงพลาซ่า แอคคอร์ด( Plaza Accord) ขึ้นมา ข้อตกลงนี้เป็นความร่วมมือของทางการและธนาคารกลางของสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก และญี่ปุ่น ที่จะเข้าไปแทรกแซงการเงิน เพื่อให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนตัวลง และให้ค่าเงินมาร์คของเยอรมันตะวันตกและค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น ปากก็บอกว่าเพื่อสร้างสมดุลย์ในระบบการค้าโลก ที่จริงแล้วเป็นการหักคอญี่ปุ่นนั่นเอง
๔. ระหว่าง1985-1987 ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 51% ธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ถือพันธบัตรสหรัฐฯขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว51% ญี่ปุ่นส่งออกฟรี เหนื่อยเปล่าๆ
๕. ญี่ปุ่นเริ่มส่งออกลำบาก เงินเยนแข็งทำให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ ในขณะเดียวกันผู้ส่งออกเริ่มคิดย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นมาเมืองไทยและภูมิภาคบ้านเรา ตรงกับช่วงหน้าชาติพอดี
๖. นับตั้งแต่เศรษกิจฟองสบู่ญี่ปุ่นแตกเมื่อปี 1989-1990 นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยแค่ 0.8% เท่านั้น มีแต่ทรงตัวกับทรุด ท่ามกลางเงินฝืดอย่างรุนแรง
๗. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นหรือดัชนีนิคเคอิตอนนี้ตำกว่าปี 1989 ประมาณ 70-80%.
๘. ดัชนีนิคเคอิเคยทำสถิติสูงสุดที่38,957.44 เมื่อปี 1989 ตอนนี้อยู่ระหว่าง 8,000-12,000.
๙. ราคาบ้านในญี่ปุ่นขณะนี้ตกลงไปเทียบเท่าปี 1983 หลังพุ่งสูงสุดปี 1990
Source: http://www.doctorhousingbubble.com/japan-real-estate-bubble-home-prices-back-30-years-zero-percent-mortgage-rates/