ที่มา :
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9Ua3hOalExTnc9PQ%3D%3D§ionid
เปิดคำพยาน คดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ 19 พค. 53
รายงานพิเศษ
หมายเหตุ : ศาลอาญากรุงเทพใต้สืบพยานจำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ 2 ปากนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ก่อนนัดพิพากษาวันที่ 25 มี.ค. เวลา 09.00 น. โดยเป็นคดีเดียวกับกรณี 2 ผู้ต้องหาเยาวชน ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2555
ศาลอาญากรุงเทพใต้ สืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้าง และ นายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้าง (ทั้งสองยังถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ตั้งแต่กลางปี 2553)
ในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่เก็บสินค้า จนเป็นเหตุให้ นายกิตติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหตุเกิดที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.2553 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
เป็นสืบพยานจำเลย 2 ปากสุดท้าย คือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 61 ปี แกนนำนปช.ชุมพร ปัจจุบันเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายจ้างนายสายชล จำเลยที่ 1 ที่จ้างให้ขายของที่ร้าน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว
และ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปี ในฐานะ ผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์
พ.ต.ต.เสงี่ยมเบิกความว่า เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ นปช.ในปี 2553 ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ความสงบเรียบร้อย ประสานงานมวลชนเสื้อแดงกับเวทีปราศรัย โดยรู้จักกับนายสายชล จำเลยที่ 1 จากการที่มาปราศรัยที่สนามหลวง หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นต้นมา
ได้เปิดร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวชั้น 4 เพื่อขายของกิน ของที่ระลึกของคนเสื้อแดง รวมทั้งวีซีดีเผยแพร่ประชาธิปไตย และว่าจ้างนายสายชลมาขายของที่ร้าน ช่วงปิดล้อมการชุมนุมวันที่ 12-19 พ.ค. 2553 ได้ฝากร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ให้นายสายชลดูแล
จากนั้น ทนายจำเลยที่ 1 นำภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1 (ภาพซ้าย) ให้ พ.ต.ต.เสงี่ยมดูว่าเป็นนายสายชลหรือไม่ พ.ต.ต.เสงี่ยมยืนยันว่า ไม่ใช่ ทนายจึงนำภาพนายสายชล ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2553 (ดูภาพขวาประกอบ) พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าคนในภาพนี่คือนายสายชล
9 คนที่ถูกตำรวจจับกุมตัวในห้าง จากหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์"
พ.ต.ต.เสงี่ยมเบิกความว่า หลังสลายการชุมนุม 19 พ.ค.2553 ถูกผู้มีอำนาจผ่านดีเอสไอ ขอหมายจับข้อหาก่อการร้าย แต่ทราบว่าศาลไม่ได้ดำเนินการ จึงหลบไปต่างประเทศ การที่นายสายชลถูกจับก็อาจเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับตนเอง
จากประสบการณ์การเป็นตำรวจ คนเร่ร่อนหรือคนที่อยู่สนามหลวงบางครั้งสายสืบก็จะใช้หรือจ้างหรือบังคับให้เป็นสายสืบหา หากไม่ทำก็อาจมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ นายสายชลก็เคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและเทศกิจ เช่น การไล่ร้าน แต่ตอนมาทำงานกับพยานไม่มีปัญหา
ด้านพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2 เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้าง
ในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน จากประสบการณ์ห้างมีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถ ดับได้
แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพลที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์" ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้ หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพลฟังเนื้อหาระบุ
"ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มๆ เราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย
กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันก็ต้องมีศพกันบ้าง แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไร เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่างแต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้"
ภาพชายถือถังสีเขียว ที่ใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1
พ.ต.ท.ชุมพลยืนยันต่อศาลว่าตนเองเป็นผู้พูดเช่นนั้น หลังการสลายการชุมนุมมีคนมาสัมภาษณ์และนำไปลงในหนังสือ "คนช่วยคน"ของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่ตนเองเป็นเลขาธิการอยู่ คาดว่าหนังสือความลับหลังฉาก นำไปเผยแพร่ต่อ
พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวต่อว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้วันที่ 19 พ.ค.2553 อยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ.ที่มีกว่า 180 คน ก็สามารถผลักดันออกไปได้
แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้จับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนจะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้าของห้าง
โดยชุดแรกที่เข้ามามีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก 2 ด้าน คือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ.ที่มี 180 คน ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไป
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้องซีซีทีวีเห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วย เข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์ รปภ.พยายามต้านทานแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ทนายนำภาพผู้ที่ถูกตำรวจจับกุมในห้าง 9 คน จากหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์" หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (นายพินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพลดู
พ.ต.ท.ชุมพลยืนยันว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธ และไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยหัวหน้ารปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุยืนยันกับเขา
พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความว่า หลังจากตำรวจถอนกำลังออกจากห้าง รปภ.และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญจึงไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ สุดท้ายตัดสินใจออกจากห้างในเวลาประมาณ 16.40 น.
หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. สมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยฯ ได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัลเวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟแต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะเข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น.
และจากการตรวจสอบซีซีทีวีจากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พบว่าเวลาประมาณ 21.00 น. ตึกได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ ถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด
ตอนออกจากห้างช่วงเย็นด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารคุมพื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายถามว่าเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวว่า ทีมงานอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไปมันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้
ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ คนที่ไล่เราออกคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
ไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้ทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น
จากนั้นทนายนำภาพถ่ายที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล เป็นรูปชายชุดดำกำลังถือถังสีเขียว มาให้ดู พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ถังสีเขียวเป็นถังดับเพลิงในตัวห้างก็มีถังลักษณะนี้อยู่ ยืนยันไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
อัยการซักค้านพยานว่ากลุ่มคนกลุ่มที่สองซึ่งติดอาวุธ 7-8 คน ที่เข้ามาในห้าง ที่พยานระบุแต่งกายคล้ายทหารมีลักษณะอย่างไร พ.ต.ท.ชุมพล กล่าวว่า ดูจากกล้องซีซีทีวีประกอบกับได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.แล้วคาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการรบในลักษณะปฏิบัติการพิเศษแน่นอน เครื่องแต่งกายมีหมวกเหล็ก ท็อปบู๊ต ชุดพรางและมีฮู้ดปิดหน้า
พ.ต.ท.ชุมพลระบุด้วยว่า พิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่าผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คน ไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลนัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 มี.ค. เวลา 09.00 น.
* * * * * ข่าวสดออนไลน์ - เปิดคำพยาน คดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ 19 พ.ค. 53 - * * * * *
เปิดคำพยาน คดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ 19 พค. 53
รายงานพิเศษ
หมายเหตุ : ศาลอาญากรุงเทพใต้สืบพยานจำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ 2 ปากนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ก่อนนัดพิพากษาวันที่ 25 มี.ค. เวลา 09.00 น. โดยเป็นคดีเดียวกับกรณี 2 ผู้ต้องหาเยาวชน ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2555
ศาลอาญากรุงเทพใต้ สืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้าง และ นายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้าง (ทั้งสองยังถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ตั้งแต่กลางปี 2553)
ในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่เก็บสินค้า จนเป็นเหตุให้ นายกิตติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหตุเกิดที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.2553 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
เป็นสืบพยานจำเลย 2 ปากสุดท้าย คือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 61 ปี แกนนำนปช.ชุมพร ปัจจุบันเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายจ้างนายสายชล จำเลยที่ 1 ที่จ้างให้ขายของที่ร้าน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว
และ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปี ในฐานะ ผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์
พ.ต.ต.เสงี่ยมเบิกความว่า เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ นปช.ในปี 2553 ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ความสงบเรียบร้อย ประสานงานมวลชนเสื้อแดงกับเวทีปราศรัย โดยรู้จักกับนายสายชล จำเลยที่ 1 จากการที่มาปราศรัยที่สนามหลวง หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นต้นมา
ได้เปิดร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวชั้น 4 เพื่อขายของกิน ของที่ระลึกของคนเสื้อแดง รวมทั้งวีซีดีเผยแพร่ประชาธิปไตย และว่าจ้างนายสายชลมาขายของที่ร้าน ช่วงปิดล้อมการชุมนุมวันที่ 12-19 พ.ค. 2553 ได้ฝากร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ให้นายสายชลดูแล
จากนั้น ทนายจำเลยที่ 1 นำภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1 (ภาพซ้าย) ให้ พ.ต.ต.เสงี่ยมดูว่าเป็นนายสายชลหรือไม่ พ.ต.ต.เสงี่ยมยืนยันว่า ไม่ใช่ ทนายจึงนำภาพนายสายชล ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2553 (ดูภาพขวาประกอบ) พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าคนในภาพนี่คือนายสายชล
9 คนที่ถูกตำรวจจับกุมตัวในห้าง จากหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์"
พ.ต.ต.เสงี่ยมเบิกความว่า หลังสลายการชุมนุม 19 พ.ค.2553 ถูกผู้มีอำนาจผ่านดีเอสไอ ขอหมายจับข้อหาก่อการร้าย แต่ทราบว่าศาลไม่ได้ดำเนินการ จึงหลบไปต่างประเทศ การที่นายสายชลถูกจับก็อาจเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับตนเอง
จากประสบการณ์การเป็นตำรวจ คนเร่ร่อนหรือคนที่อยู่สนามหลวงบางครั้งสายสืบก็จะใช้หรือจ้างหรือบังคับให้เป็นสายสืบหา หากไม่ทำก็อาจมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ นายสายชลก็เคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและเทศกิจ เช่น การไล่ร้าน แต่ตอนมาทำงานกับพยานไม่มีปัญหา
ด้านพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2 เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้าง
ในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน จากประสบการณ์ห้างมีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถ ดับได้
แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพลที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์" ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้ หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพลฟังเนื้อหาระบุ
"ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มๆ เราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย
กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันก็ต้องมีศพกันบ้าง แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไร เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่างแต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้"
ภาพชายถือถังสีเขียว ที่ใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1
พ.ต.ท.ชุมพลยืนยันต่อศาลว่าตนเองเป็นผู้พูดเช่นนั้น หลังการสลายการชุมนุมมีคนมาสัมภาษณ์และนำไปลงในหนังสือ "คนช่วยคน"ของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่ตนเองเป็นเลขาธิการอยู่ คาดว่าหนังสือความลับหลังฉาก นำไปเผยแพร่ต่อ
พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวต่อว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้วันที่ 19 พ.ค.2553 อยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ.ที่มีกว่า 180 คน ก็สามารถผลักดันออกไปได้
แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้จับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนจะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้าของห้าง
โดยชุดแรกที่เข้ามามีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก 2 ด้าน คือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ.ที่มี 180 คน ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไป
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้องซีซีทีวีเห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วย เข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์ รปภ.พยายามต้านทานแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ทนายนำภาพผู้ที่ถูกตำรวจจับกุมในห้าง 9 คน จากหนังสือ "ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์" หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (นายพินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพลดู
พ.ต.ท.ชุมพลยืนยันว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธ และไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยหัวหน้ารปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุยืนยันกับเขา
พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความว่า หลังจากตำรวจถอนกำลังออกจากห้าง รปภ.และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญจึงไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ สุดท้ายตัดสินใจออกจากห้างในเวลาประมาณ 16.40 น.
หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. สมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยฯ ได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัลเวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟแต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะเข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น.
และจากการตรวจสอบซีซีทีวีจากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พบว่าเวลาประมาณ 21.00 น. ตึกได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ ถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด
ตอนออกจากห้างช่วงเย็นด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารคุมพื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายถามว่าเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวว่า ทีมงานอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไปมันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้
ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ คนที่ไล่เราออกคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
ไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้ทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น
จากนั้นทนายนำภาพถ่ายที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล เป็นรูปชายชุดดำกำลังถือถังสีเขียว มาให้ดู พ.ต.ท.ชุมพลกล่าวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ถังสีเขียวเป็นถังดับเพลิงในตัวห้างก็มีถังลักษณะนี้อยู่ ยืนยันไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
อัยการซักค้านพยานว่ากลุ่มคนกลุ่มที่สองซึ่งติดอาวุธ 7-8 คน ที่เข้ามาในห้าง ที่พยานระบุแต่งกายคล้ายทหารมีลักษณะอย่างไร พ.ต.ท.ชุมพล กล่าวว่า ดูจากกล้องซีซีทีวีประกอบกับได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.แล้วคาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการรบในลักษณะปฏิบัติการพิเศษแน่นอน เครื่องแต่งกายมีหมวกเหล็ก ท็อปบู๊ต ชุดพรางและมีฮู้ดปิดหน้า
พ.ต.ท.ชุมพลระบุด้วยว่า พิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่าผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คน ไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลนัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 มี.ค. เวลา 09.00 น.