สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้อง กระผม เป็นเจ้าทุกข์ในเรื่องนี้ ที่ทำให้ทุกท่านกำลังวิภาควิจาย์รกันอยู่ ผมอยากจะบอกความจิงให้ทุกท่านทราบด้วยตัวผมเองนะครับ แต่ดูเหม่อนจะหลายประเด็นเหลือเกินที่จะเล่า เอาเป็นว่า ถ้าผมเล่าไม่ครบ ให้ถามมาละกันนะครับผมจะตอบความจริงให้ทุกประการนะ

เริ่งจากส่วนตัวนะครับตอนนี้ผมอยู่สถานะ เป็นนาย ไม่ใช่พระ.
ส่วนภาพที่เห็นนั้นขออธิบายดังนี้ครับ.
ภาพแรกเป็นภาพที่ผมลาออกมาจากวัดพระธรรมกายแล้วไปช่วยงานที่ต่างจังหวัดครับ สังเกตุจากสีจีวรเป็นสีกลักไม่ใช่สีของวัดพระธรรมกายนะครับ
ภาพต่อมาคือภาพผมกำลังนั่งสั่งอาหารญี่ปุ่น นั่นคือหลังจากที่ผมลาสิกขาแล้วสองวันเองครับ
ภาพต่อมาเป็นภาพที่ผมถ่ายคู่กับนักศึกษาประเทศญี่ปุ่น เกาหลี เป็นภาพเก่าตอนผมเข้าโรงเรียนภาษาอังกฤษ ที่ต่างประเทศนะครับ คนเหล่านี้รู้จักพระดี และชื่นชมพระมาก ผมวางตัวกะเขาอย่างมีกาละเทศะ แต่มารยาททางสังคมที่ต่างประเทศ เขาไม่รู้จักว่าต้องห่างพระแม้จะบอกแล้วเขาก้อยังเข้ามาใกล้อยู่ดี ผมบอกว่าให้มีช่องว่างๆเขาก้อยังเข้ามาใกล้อยู่ดี ผมไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเขาเลย เขามาใกล้แค่ถ่ายรูปเท่านั้น เคยมีครูบางคนมาสารภาพกับผมว่าโกรธผมอยู่ถึงสองเดือนเพราะ ตอนเจอกันครั้งแรก เขาแนะนำตัวเองพร้อมกับยื่นมือมาเช็คแฮนแต่ผมเอามือหลบแล้วกล่าวขอบคุณเขา เขาโกรธหาว่าผมเสียมารยาทและรังเกียจเขา ต่อมาหลายเดือนเขาได้เรียนรู้จากครูคนอื่นว่าพระไทยไม่แตะต้องกายหญิงเขาถึงมาขอโทษผมทีหลังและเล่าความรู้สึกนี้ให้ฟัง และคนอื่นๆผมก็ไม่ได้แตะต้องกายใครเลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนภาพโปรยกุหลาบเป็นภาพเมื่อปลายปี54 ครับ มันนานมาแล้ว ตอนนี้ปี56 ครับ คนๆนั้นเขาจับมารวมกันมั่วไปหมด
ส่วนประเด็นใส่เสื้อกันหนาว มันหนาวจริงๆครับ ต่างประเทศ ลบ10 องศา ถ้าไม่ใส่มันไม่ไหวจริงๆครับ คนในประเทศเขาอยู่กับความหนาวมาตั้งแต่เกิดก็ยังไม่คุ้นกับความหนาว ทนไม่ไหวหรอกครับ แรมโบ้ตัวใหญ่กว่าเราสองเท่าก็ยังต้องใส่เสื้อกันหนาว ลำพังจีวรเอาไม่อยู่ครับ พระวัดใหนก็ใส่ไม่ใช่แค่วัดพระธรรมกายครับ แต่ท่านไม่ได้ใส่เป็นแฟชั่น ท่านใส่เพื่อดับความทรมารจากความหนาวเท่านั้นเอง ไม่ถือว่าผิดอะไร
สรุป ณ ชั่วโมงนี้ ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับวัดเลย ภาพคนใส่เสื้อเป็นภาพที่ผมลาสิกขาแล้วต่างหากแต่เขาจับมามักรวม ส่วนเหตุผลว่าใครทำ ทำเพื่ออะไรผมรู้
แต่ไม่น่าจะเกิดเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่าน เลยไม่ได้กล่าวเอาไว้ ณ ที่นี้ครับ