อยากรู้มุมมอง...แก้ปัญหาอย่างไรดี กับปัญหาเร่งรัดให้แต่งงาน...จากบุพการีฝ่ายหญิง...ซึ่งคือพ่อเราเอง

ขอเริ่มต้นเรื่องก่อนนะคะ...เพราะมันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เรากับพ่อ ไม่เข้าใจกัน
พ่อกับแม่เรา เลิกกันตั้งแต่เรา 2 ขวบ...โดยที่เราอยู่กับแม่
ถ้าคุณถามว่าเราเป็นเด็กมีปัญหาไหม เราตอบได้เลยว่าไม่ค่ะ
เด็กขนาดนั้นเรายังเบ๊อะบ๊ะ ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ ว่าพ่อแม่เลิกกัน 5555
และสังคมที่เราอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ากำพร้าคือปัญหา
เราถูกยายเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เพราะแม่เราให้เหตุผลว่ายายเลี้ยงลูกดี...ต้องเลี้ยงหลานดี
พ่อแม่เลิกกัน เป็นเรื่องของพ่อแม่ เรารู้แค่ว่า ถ้าแม่ไม่มาหา หรือตื่นมาไม่เจอยาย ป้าไม่ซื้อปูม้าให้กิน
นั่นแหละเราถึงจะงอแง 555 เด็กมะ นี่ 10 – 12 ขวบ ก็ยังเป็นนะ อารมณ์เนี้ย
เรามียายและตา แล้วก็ป้า ที่ดูแลใส่ใจมาตลอด มีแม่ที่ทำงานส่งเงิน และมาหาบ่อย ๆ ไม่ได้ขาด
จนแม่เราเสียตอนโตเป็นวัยรุ่นแล้ว เรามีโอกาสได้เจอพ่อ อีกครั้ง
สิ่งที่ยายสอนมาตลอดคือ พ่อและแม่ คือบุพการีที่มีบุญคุณมาก ไม่ว่าจะผิดจะถูกอย่างไรก็คือพ่อแม่
โรงเรียนเราก็สอนเรามาแบบนั้น เราไม่ได้มีความโกรธ เกลียด น้อยใจใด ๆ ทั้งสิ้นกับพ่อที่เราไม่ได้เจอมานาน
ครอบครัวเรา ที่มียาย ตา และป้า สอนเรามาแบบให้เดินในกรอบด้วยตัวเอง ความหมายก็คือ เรารู้ถูกรู้ผิด
รู้ว่าอะไรควรเรียนรู้ แล้วอะไรควรทำ ไม่ควรทำ เราตัดสินใจได้เองทุกเรื่อง แต่เราก็เลือกปรึกษายายก่อนเสมอ
ยายไม่เคยฝืนเรา เพราะท่านมั่นใจว่าเลี้ยงเรามาดี ทุกอย่างที่เราทำเรามีเหตุผลให้เสมอ ว่าทำไมเราถึงทำ
เรากับพ่อก็ติดต่อกันบ้างตามประสาพ่อลูก พ่อแต่งงานใหม่ มีน้องชายหนึ่งคน ซึ่งเรารับรู้มาตั้งแต่ก่อนแม่เสีย
และไม่ได้มีปัญหาแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงแต่อย่างใด พ่อช่วยคุณยายส่งเสียเราในระดับปริญญาตรี และโทบ้างเมื่อมีโอกาส

มาว่าถึงเรื่องของน้องชายเราบ้าง
การเลี้ยงดูของพ่อที่เรารู้คือ พ่อสามารถให้ทุกอย่างกับลูกได้ ไม่ว่าจะกี่บาท จะถูกจะแพง พ่อให้ได้
แต่อยากให้ลูกทำตัวดี ๆ เป็นเด็กดี แต่น้องเราเป็นผู้ชาย เด็กผุ้ชายก็อยากเรียนรู้สังคมเพื่อนเป็นธรรมดา
แต่พ่อเราเลี้ยงน้องแบบตามใจเรื่องสิ่งของ  แต่ไม่ให้โอกาสตัดสินใจ
น้องอยู่ม.สี่แล้ว แต่ก้ยังไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ว่า
อยากไปกับเพื่อน หรือจะทำอะไร ทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาของพ่อหมด
อยากเล่นเกม ซื้อให้เล่นที่บ้าน จะได้ไม่ต้องไปไหน ประมาณนั้น
นี่คือวิธีการของพ่อ

แล้วเราก็โตขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องคงไม่เกิด ถ้าเราไม่คิดจะแต่งงาน
เรากับแฟนรูัจักกันมานาน เห็นกันมาทุกสถานะ เห็นมาเป็นสิบปี และเมื่อตัดสินใจว่าจะคบกันด้วยสถานะแฟน
และมาจนถึงอยากจะสร้างครอบครัว ทางพ่อแม่ฝ่ายชายรับรู้ และอยากทำให้ถูกต้อง
จึงตัดสินใจมาสู่ขอให้ถูกประเพณี พ่อเราตั้งคำถามว่าเราจะแต่งเมื่อไร
คนที่ตอบ...คือเราและแฟน ว่าอยากแต่งเมื่อไร ตั้งแต่นั้นพ่อก็จดจำ และเริ่มคิดจัดงานทันที
พ่อให้เหตุผลกับยายเราว่า งานพ่อจะจัดการให้ เพราะกำลังเงินพ่อมี พ่อจะช่วยดูแลให้
เราเข้าใจยายที่อยากให้จัดงานเล็ก ๆ แต่พิธีครบ เพื่อศักดิ์สิทธ์
แต่พ่อไม่ยอม เพราะว่าญาติฝั่งพ่อเราเยอะมาก จัดเล็กอย่างไรก็ใหญ่อยู่ดี
เราก็ไม่อยากเข้าไปเถียงด้วย มันจะทำให้เถียงกันสามฝ่าย เลยเก็บเงียบ
ซึ่งตอนนั้นเราสองคนคิดว่าเราพร้อม เพราะเงินก้อนที่เป็นสินสอด (เยอะนะในความคิดเรา)
เรากำลังจะได้มันมาจากการทำงานร่วมกันของเรากับแฟน
ระหว่างนั้น ญาติฝั่งพ่อก็ไปจัดการดูฤกษ์ยาม และได้มาตามที่เราได้บอกพ่อไว้ว่าอยากแต่งเมื่อไร
ปัญหามันอยู่ที่ เงินก้อนนั้นลูกค้าเราเลื่อนการตอบรับ ให้ช้าลง
ทำให้เราต้องชะงักงานแต่งที่บอกกับพ่อเอาไว้ก่อน
งาน...เรายังไม่ได้จัดเตรียมใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงฤกษ์เท่านั้น
เมื่อเรายังไม่พร้อมเรื่องปัญหาการเงิน เราก็ตัดสินใจบอกพ่อว่า เรายังไม่พร้อม

ถ้าให้อธิบายเพิ่ม คือ แฟนเราทำงานหาเงินเองได้ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เขาเสียอีกเป็นฝ่ายส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่
และไม่เคยขอเงินพ่อแม่ใช้ ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง นี่แหละทำให้เราเลือกเขา แล้วงานแต่ง เงินค่าสินสอด เราจะช่วยกันหา ไม่เดือดร้อนพ่อหรือแม่ฝ่ายใดทั้งนั้น

เมื่อพ่อรู้ว่าเรายังไม่พร้อมตามฤกษ์ที่หาไว้ พ่อไม่พอใจ และเร่งรัดเราทุกวัน คือพ่อไม่ได้สนใจว่าเงินจะมาจากไหน
ฝ่ายเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นพ่อแม่ต้องรับผิดชอบด้วย จะไปหายืมมาจากไหนวางไว้ แล้วค่อยไปคืนก็ได้
ประโยคนี้ทำให้เราไม่เข้าใจว่า...สินสอด...มีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แล้วจะมีทำไม
คือไม่ได้มีปัญหากับประเพณีนะคะ เพียงแต่ เงินที่เรียกมากมาย มันทำให้เรารู้สึกว่า มีไว้ให้ฝ่ายชายมาซื้อตัวเราด้วยเงิน
คนที่เลี้ยงเรามาเสียอีกไม่เคยคิดจะสนใจเรียกเลย ยายต้องการแค่ให้เราได้เจอคนดี ๆ ดูแลเราได้
เราเข้าใจแฟนเรานะ เราคิดเหมือนกันคือ เราโตแล้ว ถ้าจะมีครอบครัว ก็ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราสองคนเลยไม่อยากให้เรื่องพ่อไม่พอใจถึงหูพ่อกับแม่ฝ่ายชาย

ฝ่ายยายเราและครอบครัวที่เลี้ยงเรามา รวมถึงพ่อแม่ฝ่ายชาย ทุกคนไม่เร่งรัด พร้อมเมื่อไรก็แต่ง แต่เร็วก็ดีใจเท่านั้น
แต่พ่อไม่ยอม และคาดคั้นจะเอาให้ได้ตามที่เขากำหนดมา ซึ่งเราก็บอกไปแล้วว่าปัญหาเราคือเรื่องเงิน
เราไม่อยากยืมใคร และไม่อยากให้พ่อเดือดร้อนต้องออกเงินให้เลย พ่อเริ่มโกรธ และกดดันเราทุกวัน
ว่าเมื่อไรจะได้เงิน และทำไมไม่ให้ฝ่ายพ่อแม่แฟนช่วยรับผิดชอบ เริ่มพาล และโมโหทุกครั้งที่โทรหาเรา

บอกตามตรง...เราแก้ปัญหาไม่ตกค่ะ เราเหนื่อย และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้
สิ่งที่เราเรียนรู้มา คือ เมื่อเราโตแล้ว เราจะไม่กลับไปทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อน หรือรับผิดชอบเรื่องการเงินเรา
และถ้าเราจะแต่งงาน จะต้องเป็นเรื่องของเราสองคน ที่ตัดสินใจ เพราะเรากำลังจะสร้างครอบครัว

แต่ตอนนี้ปัญหากลายเป็น...พ่อเราเอง...เหนื่อยจังเลย
เราควรทำอย่างไรดีคะ

อธิบายกับพ่อทุกวัน แต่พ่อก็ยังกดดัน และยังบอกกับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเราเรื่องงานแต่งตามกำหนดที่เขาว่าไว้
ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย จนเราจะกลายเป็นลูกอกตัญญูในสายตาพ่อเราแล้ว พ่อมองว่า เราไม่เคารพหัวหงอกหัวดำ
ซึ่งเราไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างมันมีแค่ ฤกษ์จริง  ๆ เรายังไม่ได้แจกการ์ดกับใครเพื่อยืนยัน

ใครมีมุมมองอย่างไรบ้างคะ...เคยเจอปัญหาแบบเราบ้างไหม แบ่งปันกันหน่อย เหนื่อยใจจริง ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่