ภาพยนตร์เรื่อง : Upside Down – นิยามรักปฏิวัติสองโลก
แนว : romantic sci-fi
เรตภาพยนต์ : ทั่วไป
ผู้กำกับ : ฮวน ดิเอโก้ โซลานาส
นักแสดงนำ : เคิร์สเตน คาโรไลน์ ดันสท์ (Spiderman ของ แซม ไรมี่) , จิม สเตอร์เกส (One Day)
สปอยล์เนื้อเรื่องผสมความคิดผมลงไปแบบละเอียดยิบ หากไม่ต้องการอย่าเปิดอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เปิดเรื่องมาผมขอพูดถึงชื่อสตูดิโอที่สร้างก่อนเลย (น่าจะเข้าใจไม่ผิดนะ แบบว่ามีหลายสตูดิโอมาก) มีชื่อสตูดิโอ Upside Down ด้วย ผมเลยคิดในใจว่า ถ้าไม่ใช่ว่าตั้งสตูดิโอนี้เพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อหวังสานต่อเป็นอภิมหาโปรเจ็คล่ะก็ คงเป็นสตูดิโอที่มีมาสักพักแล้วและมีแรงบัลดานใจที่จะสร้างหนังเรื่องนี้อยู่แล้วแต่เพิ่งมีโอกาสเป็นแน่แท้ เพราะผมพอจะรู้ที่มาของหนังเรื่องนี้อยู่นิดหน่อย ถ้าความจำของผมไม่ผิดเพี้ยนนัก ผมอ่านจากบล็อกของท่านเจไดยุทธ ได้ความว่า “ผู้กำกับเคยฝันเห็นคนสองคนอยู่บนยอดเขาคนละยอดที่ตั้งอยู่คนละด้านของพื้นดินและท้องฟ้าแล้วกำลังเอื้อมมือถึงกัน มันเป็นภาพที่ประทับใจผมมาก” และยังผลให้เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ ผมก็เลยคิดเอาว่าเขาอาจตั้งสตูดิโอนี้ขึ้นมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยก็เป็นได้
พอขึ้นจั่วหัวบริษัทผู้สร้างได้สักหน่อย หนังก็จะกล่าวนำถึงโลกที่เรากำลังจะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่ามันเป็นโลกคนละแบบกับที่เราอาศัยอยู่ เป็นโลกที่อยู่กันคนละแกแล็คซี่ มีดวงอาทิตย์เป็นของตัวเอง แต่ด้วยเหตุบังเอิญอันสุดแสนมหัศจรรย์ ทำให้ดาวทั้งสองมีแรงดึงดูดเท่ากันพอดี ดาวอีกดวงจึงเปรียบเสมือนท้องฟ้าของดาวอีกดวง โดยวัตถุแต่ละชิ้น จะโดนดึงดูดโดยแรงดึงดูดของโลกตัวเอง ไม่มีการข้ามฝั่งไปอีกโลกหนึ่ง และมีกฎ 3 ข้อ(ซึ่งพอแว๊บเรื่องกฏ 3 ข้อมาปุ๊บ ผมก็นึกถึง I-Robot ปั๊บ 555) แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็จำไม่ได้เลยว่ากฎมันว่าอะไรบ้าง แต่ที่จำได้จากเนื้อเรื่องหลักๆ เลยจะมีกฎอยู่ว่า คนจากสองโลกนี้ห้ามคุยกัน ห้ามเอาของจากอีกโลกหนึ่งไปอยู่อีกโลกหนึ่ง และถ้าของจากโลกหนึ่งไปอยู่อีกโลกหนึ่งนานเกินไป มันจะร้อนจนลุกไหม้ไปในที่สุด(แต่เรื่องร้อนจนลุกไหม้นี่เกิดขึ้นเฉพาะกับวัตถุ ไม่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิต) ซึ่งพระเอกของเรื่องได้เล่าจั่วหัวไว้ด้วยว่า ในตอนนั้นเขายังไม่คาดคิดเลยว่า ความรักของเขานั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติโลกของพวกเขาไปตลอดกาล
เริ่มต้นเนื้อเรื่อง ปูให้เห็นตั้งแต่ชีวิตของพระเอก อดัม เคิร์ก ในวัยเด็ก(อายุราวๆ 10 ขวบ)ที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากการหายไปของเมืองๆ หนึ่ง (เลาๆ ว่าถูกทำลายแต่จำไม่ได้ว่าอะไรไปทำลายมัน) ที่รอดได้เพราะวันนั้นเป็นวันหยุด เขาขออนุญาตพ่อแม่ไปหาป้าที่ชานเมืองที่เขาอยู่ เลยไม่โดนลูกหลงหายไปกับเมืองนั้นด้วย แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นกำพร้าไปล่ะนะ ยังดีที่มีป้าคอยเลี้ยงดูอยู่ โดยอดัมสนิทกับป้ามาก มีของสองสิ่งของป้าที่อดัมชอบที่สุด อย่างแรกคือสมุดบันทึกที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของตระกูลอดัม ที่จะส่งทอดกันให้แต่ญาติฝ่ายผู้หญิง จากป้าก็กำลังจะไปสู่แม่อดัม แล้วสักวันก็จะเป็นของอดัมเพราะเขาเป็นหลานคนเดียว และอีกสิ่งหนึ่งที่อดัมชอบมากก็คือ แพนเค้กบินได้ของป้า ซึ่งมันบินได้จริงๆ ป้าทำแพนเค้กแล้วทาแยมสีม่วงอมชมพูแล้วแพนเค้กมันก็บินได้เองอย่างประหลาด โดยป้าเล่าว่าความลับของแยมมันคือเกษรของผึ้งชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่บริเวณยอดเขาต้องห้ามเท่านั้น สาเหตุที่น้ำหวานของผึ้งชนิดนี้ทำให้วัตถุลอยได้ เป็นเพราะมันได้ดื่มเกษรจากดอกไม้ของทั้งสองโลกนั่นเอง และที่ป้ารู้เรื่องนี้ เพราะมันมีเขียนไว้ในหนังสือเล่มนั้นนั่นเอง (ซึ่งถ้าดูหนังไซไฟบ่อยๆ ก็คงพอจะเดาได้ว่าไอ้เจ้าน้ำผึ้งอันนี้จะเป็นเมนหลักของเรื่องเป็นแน่แท้)
อดัมมักต้องช่วยเหลือป้าเพื่อตอบแทนแพนเค้กอยู่หนึ่งเรื่อง นั่นคือ ต้องไปหาน้ำผึ้งในเขตต้องห้ามมาให้ป้า ซึ่งจริงๆ ในตอนนั้นยังไม่เป็นพื้นที่ๆ อันตรายมากนัก แต่ก็เป็นเขตหวงห้ามที่มีรั้วรอบขอบชิดล่ะนะ และที่นั่นเอง นอกจากอดัมจะได้ไปเก็บน้ำผึ้ง ก็ยังได้เล่นซนตามประสาเด็กๆ ปีนป่ายยอดสนไปเรื่อย แล้วพอปีนไปถึงยอดสนของต้นที่สูงที่สุด เขาก็ปาเครื่องบินกระดาษ(เป็นเครื่องบินโครงไม้ที่มีกระดาษแปะแล้วมีใบพัดอยู่ด้านหน้านะ ไม่ใช่กระดาษ A4 แผ่นเดียวพับเฉยๆ)ให้ลอยไปสูงๆ สูงขึ้น สูงขึ้นไป จนไปตกอยู่ที่พื้นของโลกเบื้องบน(ตะกี้ผมก็เผลอนึกขึ้นมาได้ว่า “เฮ้ย วัตถุจากโลกเบื้องล่างมันตกไปอยู่บนโลกเบื้องบนได้ไงฟระ?” แต่นึกไปนึกมาก็นึกถึงเหตุผลออก และจะกล่าวถึงต่อไปครับ) แล้วเครื่องบินมันก็ตกไปอยู่ข้างหน้าของเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับอดัมคนหนึ่ง อดัมจึงร้องเรียกเธอ แล้วเรื่องก็ตัดไปสู่ยุคตอนที่พระเอกอายุราว 17 – 18 (มาถึงตรงนี้ผมก็นึกขึ้นมาเลยว่า เขาตัดฉากในหนังตัวอย่างไปหรือไงนะ ที่นางเอกตอนเด็กบอกว่าเขาห้ามคุยกับคนจากโลกเบื้องล่างน่ะ แต่ก็ดูต่อไปเงียบๆ)
ในช่วงที่สองพระนางกำลังเข้าสู่วัยรุ่นหนุ่มสาว ยังคงแอบมานัดพบกันที่ยอดเขาทั้งสองเหมือนเช่นเคย ซึ่งเราเพิ่งจะได้รู้ว่านางเอกชื่ออีเด็น(จำนามสกุลไม่ได้ แถมตอนแรกผมคิดว่าจะชื่ออีฟซะอีก 55) โดยแต่ละคนจะไปเจอกันที่ยอดเขาของตัวเอง แล้วพระเอกจะโยนเชือกขึ้นไปจนถึงนางเอก แล้วให้เธอปีนขึ้นมาจนถึงโลกที่อดัมอยู่ แล้วมาค้างติ่งอยู่ที่ปลายโขดหินอันหนึ่ง ราวๆ ว่า ถ้าเป็นอดัม โขดหินนี้มีไว้บังแดดบังฝน แต่สำหรับอีเด็นนั้น มันคือโขดหินที่เอาไว้นอนเล่นได้นั่นเอง เนื่องจากกฎแรงโน้มถ่วงของแต่ละโลกที่ตนมานั่นล่ะ แล้วก็เข้าสู่ฉากเข้าพระเข้านางช่วงแรกที่ทำให้ผมนึกถึงสไปเดอร์แมนภาคแรกเสียจริงๆ นางเอกนอนราบติดเพดานโขดหิน ส่วนพระเอกยืนเกือบๆ เขย่งตัวเพื่อยืนหน้าไปจุมพิตกัน หลังจากดูดดื่มได้สักพัก พวกเขาก็ไปเล่นสนุกกัน(อย่าคิดลึกนะ)ด้วยการให้นางเอกขี่คอพระเอก ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งสองแทบจะลอยได้ เนื่องจากกฎแรงโน้มถ่วงของทั้งสองโลกนั่นเอง แต่พวกเขาเล่นสนุกกันได้ไม่นานนัก ความสุขของเขาก็หายไป กลุ่มคนที่เรียกว่า “ตำรวจเขตแดน” (ถ้าจำไม่ผิดนะ คงไม่ใช่ตำรวจชายแดนหรอกมั้ง) ก็ยิงปืนเสียงปึงปัง เพราะสองคนนี้ต่างก็อยู่ในเขตหวงห้ามทั้งคู่ และแน่นอน กฎที่ว่าห้ามคนของสองโลกมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นเรื่องที่เข้มงวดและเป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งคู่จึงจำเป็นต้องหนี อดัมรีบดึงเชือกให้อีเด็นไต่หนีกลับโลกของเธอ แต่อดัมก็โดนตำรวจชายแดนยิงเข้าที่แขน จนทำให้เชือกหลุดจากมือ ภาพสุดท้ายที่อดัมเห็นระหว่างถูกตำรวจเขตแดนหลายนายลากตัวไปก็คือ อีเด็นที่นอนสลบอยู่กับพื้นโดยเลือดของเธอค่อยๆ ไหลนองออกจากศรีษะมากขึ้นเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่อดัมขัดขืนกฏของโลกทั้งสองก็คือ การโดนจับตัวไปของป้า และโดนเผาบ้านทั้งหลัง (และหนังก็แทบไม่ได้กล่าวถึงป้าอดัมอีกเลย)
ตัดมาที่อดัมในวัยประมาณ 20 กว่าๆ (คาดเดาไม่ค่อยได้ว่าอายุเท่าไร รู้แต่ว่าวัยทำงานออฟฟิตแล้ว และมีหลายคนรวมทั้งแฟนผมที่ไม่ได้รู้จักพระนางในฐานะนักแสดงนักว่า พระเอกหน้าค่อนข้างเด็ก แต่นางเอกหน้าแก่มาก เหอๆๆ) หนังเผยให้เห็นว่าพระเอกผวาตื่นจากฝันร้ายในวัยเยาว์ ปั่นจักรยานฝ่าฝนสีดำซึ่งมีเสียงรายงานข่าวว่าเป็น “ฝนน้ำมัน” ที่เกิดจากการรั่วของท่อส่งน้ำมัน เขาปั่นจักรยานผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่เซ้าซี้ให้เขาสร้างเครื่องบินกระดาษให้พวกเขาที แต่พระเอกขอผัดผ่อนไว้ก่อนเพราะจะไปทำงานสายแล้ว และเดินทางไปถึงที่ทำงานที่ดูเหมือนเป็นโรงงานเก่าๆ แห่งหนึ่ง
มาถึงตรงนี้ ผมจำไม่ได้แล้วว่าหนังอธิบายไว้ในช่วงนี้หรือว่าช่วงก่อนหน้านี้(ถ้าเล่าก่อนหน้านี้ก็จะเป็นตั้งแต่ตอนแรกที่พระเอกปั่นจักรยานออกจากบ้านของพ่อแม่ไปหาป้าเลยทีเดียว) แต่ใจความเป็นการบอกเล่าของพระเอกว่า โลกเบื้องบนเป็นโลกที่อยู่กันอย่างสุขสบาย โดยใช้ทรัพยากรจากโลกเบื้องล่าง ทำให้คนของโลกเบื้องล่างต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก อดอยาก แร้นแค้น ถึงขนาดที่มีบางคนบางกลุ่มขึ้นไปขโมยของที่โลกเบื้องบนเลยทีเดียว ซึ่งผลจากการกระทำนั้น ทำให้คนจากโลกเบื้องล่างที่เป็นโจรเกือบทั้งหมดถูกลงโทษโดยการแขวนคอ(แน่นอนว่าแขวนได้แนวมาก คือวัตถุจากโลกเบื้องล่างมันก็จะถูกดึงดูดจากโลกเบื้องล่างอยู่แล้ว พอมองจากโลกข้างล่างก็เหมือนแขวนคอ แต่มองจากโลกเบื้องบนคือมันพุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยเอาเท้าชี้ฟ้านั่นเอง แต่เอาเข้าจริงๆ มองจากเมืองของแต่ละโลกไม่เห็นหรอก เพราะมันอยู่ห่างกันมากๆ)
มาถึงที่ทำงานของอดัม เผยให้เห็นคนสำคัญอีก 2 คน หนึ่งคือชายรุ่นราวคราวเดียวกัน ประมาณเป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงาน อีกหนึ่งนั้นคือชายรุ่นใหญ่ ผิวดำ รูปร่างท้วม เป็นหัวหน้าของอดัม และเป็นคนที่ดูแลอดัมหลังจากป้าของเขาถูกจับตัวไปด้วย หนังเผยให้เห็นว่างานที่อดัมกำลังทำอยู่คือ ครีมลบเลือนริ้วรอย หรือ ครีมหน้าเด้งนั่นเอง (แม้ไม่กะเอาฮาแต่มันฮามากๆ ล่ะ ทันสมัยจริงๆ) ซึ่งวิธีทำครีมของอดัมก็น่าจะเดากันไม่ยาก คือใช้ผงสีชมพูที่ได้จากการสกัดจากน้ำผึ้งสีม่วงอมชมพูนั่นเอง คือพอเอามาเป็นครีมทาหน้า มันก็จะดึงหน้าอันค่อนข้างเหี่ยวของคนที่มาทดลองให้ตึงขึ้นเพราะแรงโน้มถ่วงจากอีกโลกนั่นเอง แต่ยังอยู่ในระดับทดสอบ เพราะมีผลอยู่แค่ราวๆ 1 นาที ซึ่งขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทีวีได้เผยให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของทั้งสองโลกที่ชื่อว่า “ทรานส์เวิลด์” กำลังเปิดรับสมัครพนักงานจากโลกทั้งสองด้าน โดยมีพนักงานดีเด่นมาพูดเชิญชวนให้เข้าทำงาน ซึ่งพนักงานดีเด่นคนนั้นก็คืออีเด็นนั่นเอง อดัมดีใจมาก เพราะไม่ได้เจออีเด็นอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์ในคราวนั้น ทำให้เขาตั้งใจที่จะไปสมัครงานที่ทรานส์เวิลด์ โดยตอนแรกหัวหน้าผิวดำก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่ยอมให้ไป เพราะนอกจากจะเอาผลงานชิ้นเอกที่น่าจะเป็นของพวกเขาไปประเคนให้ทรานส์เวิลด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องชั่วร้ายและแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากโลกเบื้องล่างแล้วนั้น ยังเสี่ยงที่อดัมจะต้องจบชีวิตด้วย เพราะเขาคงจะดั้นด้นหาทางไปพบกับอีเด็นให้จงได้ แต่อดัมก็ให้คำมั่นสัญญาว่าตัวเองจะไม่เป็นไรและต้องรอดกลับมาให้ได้แน่ๆ หัวหน้าผิวสีจึงใจอ่อนและยอมช่วยเหลืออดัมในการพัฒนาครีมหน้าเด้งต่อไป
วันต่อมา อดัมไปสมัครงานที่ทรานส์เวิลด์ เป็นตึกสูงใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่เชื่อมต่อทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ก่อนเข้าไปภายในบริษัท นอกจากมีการตรวจบัตรพนักงานอย่างเข้มงวดแล้ว ยังมีการชั่งน้ำหนัก ตรวจแสกนวัตถุ ตลอดจนให้ถอดเสื้อโค้ดเพื่อดูว่าไม่ได้แอบซ่อนของจากอีกโลกเข้าไปหรือออกมาด้วย เพราะถือเป็นความผิดอย่างมหันต์นั่นเอง พระเอกของเรามีดีพอที่จะได้ทำงานในชั้น 0 ซึ่งเป็นชั้นเพียงชั้นเดียวที่มีคนจากทั้งสองโลกทำงานด้วยกัน(ถ้าดูจากหนังตัวอย่างจะเห็นฉากออฟฟิสที่มีคนทำงานอยู่ทั้งที่พื้นและเพดานนั่นเอง) พระเอกโดนรับน้องโดยการคิดว่ามีคนมาแตะหลังทักทายและแสดงความยินด้วยแชมเปญ แต่พอเปิดปุ๊บน้ำในขวดมันกลับพุ่งขึ้นไปโดนเพดาน ซึ่งก็คือพื้นที่ทำงานของคนอีกโลกหนึ่งนั่นเอง สร้างความขบขันให้แก่เพื่อนพนักงานที่เหลือ รวมถึงมีกระดาษแปะอยู่ที่หลังของเขา ข้อความราวๆ ว่า “คนที่ทำให้เปียกคือคนโง่” แต่พระเอกก็ยังยิ้มออก โดยมีชายวัยกลางคนจากโลกข้างบนกระซิบเบาๆ มาว่าไม่ต้องซีเรียสไป น้องใหม่โดนอย่างนี้ทุกคนล่ะ แล้วอดัมก็โดนเรียกเข้าห้องผู้จัดการเพื่อมาพูดคุยด้วย (จำตำแหน่งไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าราวๆ ผู้จัดการแล้วกัน ใหญ่สุดในบริษัทแล้ว) โดยฉากนี้จะโชว์ความแปลกใหม่ของแนวคิดอีกนิดหน่อย คือพระเอกมาจากโลกเบื้องล่าง ผู้จัดการนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของโลกเบื้องบน พระเอกต้องนั่งเก้าอี้พร้อมรัดเข็มขัดนิรภัยเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นพอที่จะไปเซ็นสัญญาร่วมงานกันที่โต๊ะของผู้จัดการได้(มีมุกสูงไปต่ำไปแล้วตัวผู้จัดการคอยกดปุ่มเลื่อนขึ้นเลื่อนลงด้วย) ใจความราวๆ ว่าผู้จัดการอยากให้อดัมพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมหน้าเด้งให้สำเร็จ พร้อมเตือนว่าอย่าเอาของโลกข้างบนติดตัวไปโลกเบื้องล่างโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะมีอันเป็นไปอย่างที่รู้ๆ กันอยู่
[CR] ดูแล้วมาเล่าให้ฟัง ตอน “Upside Down : เนื้อหาหนังสุดธรรมดา แต่ฉากหลังจินตนาการลึกสุดหยั่ง” (spoil 100 %)
ภาพยนตร์เรื่อง : Upside Down – นิยามรักปฏิวัติสองโลก
แนว : romantic sci-fi
เรตภาพยนต์ : ทั่วไป
ผู้กำกับ : ฮวน ดิเอโก้ โซลานาส
นักแสดงนำ : เคิร์สเตน คาโรไลน์ ดันสท์ (Spiderman ของ แซม ไรมี่) , จิม สเตอร์เกส (One Day)
สปอยล์เนื้อเรื่องผสมความคิดผมลงไปแบบละเอียดยิบ หากไม่ต้องการอย่าเปิดอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้