คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 15

กระทู้สนทนา
เด็กชายเดินเคียงคู่ไปกับผู้ที่มาด้วยกัน ท่าทางเขาอึดอัดเหมือนอยากพูดอะไรหลายเรื่อง แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาทอดสายตามองพื้นคอนกรีตที่อยู่เบื้องหน้า สิ่งที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาอาจไม่ใช่พื้นถนนที่แสนน่าเบื่อ มันอาจเป็นทุ่งดอกไม้แสนสวย เป็นผืนป่าลี้ลับ เป็นแม่น้ำไหลเชี่ยวแสนอันตราย หรือแม้กระทั่งเป็นทางเดินที่ปูด้วยก้อนอิฐสีเหลืองอันน่าอัศจรรย์
    
ไม่แน่ว่าในระหว่างการเดินทางของชีวิต เขาอาจได้พบเจอกับเด็กหญิงกำพร้าที่มีชื่อว่า โดโรธี กับสุนัขของเธอ โตโต้ และสหายทั้งสามอันประกอบไปด้วย หุ่นไล่กาที่อยากมีสมอง หุ่นกระป๋องที่อยากมีหัวใจ กับสิงโตขี้ขลาดที่อยากมีความกล้าหาญ ด้วยก็เป็นได้
    
เหล่าตัวละครในนิทานที่เขาเคยชอบอ่าน ชอบฟังตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็ก อย่างน้อยก็ยังเด็กกว่าในตอนนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนเก่าเหล่านี้บ้าง เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงตอนจบ
    
หุ่นไล่กาที่มีความคิด คิดได้แม้กระทั่งว่ามันต้องการสมองเพื่อที่จะคิด
    
หุ่นกระป๋องที่มีความรู้สึก และอ่อนไหวไปกับความรู้สึกจากข้างในจนมันต้องการหัวใจสักดวง
    
สิงโตแสนขี้ขลาดที่รู้ว่าตัวเองหวาดกลัว และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น
    
ทั้งหมดได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะการก้าวไปถึงจุดหมาย แต่เป็นเพราะการได้ร่วมผจญภัยไปด้วยกัน การเดินทางต่างหากที่สำคัญ ถนนอิฐสีเหลืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหากที่สำคัญ ไม่ใช่ มรกตนคร ไม่ใช่ พ่อมดแห่งออซ หรือการปราบแม่มดที่ชั่วร้าย
    
สุดท้ายแล้ว รองเท้าสีเงิน ซึ่งโดโรธีได้รับมาตั้งแต่ต้น และสวมใส่ไปตลอดการเดินทางนั่นเอง ที่มีพลังสามารถพาเธอกลับคืนสู่บ้านเก่าในแคนซัส หรือบ้านที่แท้จริงของเธอไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใดก็ตาม
    
เจ้าสิงโตขยิบตาพร้อมกับเอื้อมมือมาสะกิดเขา
    
“พริม...เธอ...เธอคิดอย่างไรกับฉัน” จู่ๆ เขาก็พูดออกมา แต่ดูเหมือนผู้ที่เดินมาด้วยกันนั้นจะไม่สนใจเลยสักนิด
    
หุ่นกระป๋อง กับหุ่นไล่กาลงมือช่วยด้วยอีกแรง
    
“ฉันแอบ...แอบชอบเธอมาตั้งนานแล้ว” ใบหน้าของเขาเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดจบ แต่ขายังคงก้าวเดินต่อไปไม่ยอมหยุด
    
ถึงตอนนี้ทั้งหุ่นไล่กา หุ่นกระป๋อง กับเจ้าสิงโต ต่างพากันวิ่งวุ่นปั่นป่วนอยู่ภายในท้อง
    
“ฉัน...ฉัน...” ในหัวของเขาไม่มีอะไรให้หยิบฉวยออกมาใช้ได้มากนัก นอกจากบางอย่างที่เขาพบเจอจากในละครที่แม่ชอบดู คำพูดจากการแอบได้ยินเวลาที่รุ่นพี่คุยกัน ซึ่งมักมีเสียงโห่ กับเสียงหัวเราะแปลกๆ ดังแทรกอยู่ตลอดเวลา บางสิ่งจากในหนังสือ และจากที่อื่นๆ อีกอย่างละนิดอย่างละหน่อย
    
แล้วเขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้
    
เขาหยุดเท้า และในตอนนั้นเองที่ผู้ซึ่งเดินเคียงคู่กันมาตลอดทางรู้สึกตัว และหันมาสนใจ เขาจ้องมองดวงตาโตคู่นั้นแน่วนิ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกดึงดูดให้เคลื่อนใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองแทบจะแนบชิดติดกัน
    
‘แผลบ’
    
ลิ้นสากๆ กับน้ำลายวิ่งผ่าน ริมฝีปาก และจมูกของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามผลัก แต่มันก็ยังทุ่มแรงดันเข้ามาเต็มที่เพื่อจะเลียใบหน้าของเขาต่อไป
    
“หยุด ฉันบอกให้...หยุด” ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างมือ ลิ้น ใบหน้า กับน้ำลายพวกนั้นยังดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง
    
“หยุด” อะตอมตะโกนลั่น และขนุน หมาพันธุ์ทางตัวโตก็ยอมถอยกลับไป แต่มันยังคงจ้องมองดูเขา ทำหน้าไม่เข้าใจ ราวกับว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว
    
“ถ้ายังทำแบบนี้ วันหลังฉันจะไม่พาแกออกมาเดินเล่นอีกแล้ว เข้าใจไหม” เขาดุเสียงดัง ในขณะที่พยายามใช้มือปาดเช็ดน้ำลายที่เลอะอยู่บนใบหน้าออก ‘คราวหลังต้องอย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้ามาด้วย’ เขาเตือนตัวเองในใจ
    
มันมองดูการกระทำของเขาด้วยดวงตาที่ใสกระจ่าง ลิ้นสีชมพูห้อยออกมาจากริมฝีปากที่มองเหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขาคิดว่า ‘มันไม่เข้าใจเลยสักนิด’
    
ความคิดของเขาล่องลอยกลับไปในตอนที่ทั้งสองพึ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก เขาเดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งพร้อมกับลูกชิ้นหนึ่งไม้ในมือขวา กับถุงใส่ลูกชิ้นที่เหลืออีกสามไม้ในมือซ้าย
    
“โฮ่ง”
    
เสียงเห่าที่ฟังดูเป็นมิตรดังออกมาจากภายในบ้านที่เขากำลังเดินผ่านไป มันทำให้เขานึกถึงสุนัขตัวเล็กๆ น่ารัก เขาหยุดเดิน ก่อนที่เจ้าของเสียงเห่าจะค่อยๆ ปรากฏกายออกมา
    
‘ตัวมันไม่เล็กเลยนะ’ นั่นเป็นความประทับใจครั้งแรกที่เกิดขึ้น
    
ขนุนเป็นสุนัขตัวโตที่มีขนยาวปานกลาง ตัวมันมีสีไล่ตั้งแต่ ขาว เทา ไปจนถึงดำ สีทั้งหมดนั้นปนกันอยู่ทั่ว จนมองดูเหมือนกับว่าตัวมันมอมแมมอยู่ตลอดเวลา หูทั้งสองห้อยตกลงข้างหัว ขนบนหน้าถูกตัดแต่งจนดูเหมือนไว้หนวดเครา มันเดินมาจนถึงริมรั้วซึ่งเป็นลูกกรงเหล็ก ก่อนส่งเสียงเห่าทักทายอีกครั้ง
    
เขาเดินเข้าไปหา บางทีอาจเป็นเพราะริมฝีปาก หรือไม่ก็ดวงตาที่เหมือนกับมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานั้น ที่ทำให้เขากล้าที่จะเก็บลูกชิ้นลงในถุง แล้วเอื้อมมือรอดลูกกรงรั้วเข้าไปเพื่อลูบหัว ‘ขนนิ่มกว่าที่คิดอีก’ มันพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อดมมือ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือ ดมกลิ่นลูกชิ้นที่ยังเหลือติดค้างอยู่บนมือของเขา
    
จมูกชื้นๆ เย็นๆ ของมันทำให้เขารู้สึกจั๊กกะจี้จนต้องส่งเสียงหัวเราะออกมา ตอนนั้นเขาไม่คิดเลยสักนิดว่า มันอาจจะกัดมือของเขาเข้าเมื่อไรก็ได้
    
“ลูกขนุนของป้าน่ารักใช่ไหม”
    
เขารีบลุกขึ้นยืนมองหาเจ้าของเสียงนั้น คุณป้าคนหนึ่งเดินออกมาจากทิศทางเดียวกันกับที่ขนุนวิ่งมาเมื่อครู่นี้ บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่แทบจะไม่แตกต่างจากสุนัขของเธอ ร่างท้วมนั้นก้าวช้าๆ มาที่ริมรั้ว
    
“สวัสดีครับคุณป้า มันชื่อว่าลูกขนุนหรือครับ”
    
“เขา ชื่อขนุนเฉยๆ แต่ป้าชอบเรียก เขา ว่าลูกขนุน” ป้าตอบ เน้นเสียงที่คำว่า ‘เขา’ ทั้งสองคำ
    
“เอ่อ...ครับ ม...เขา น่ารักดีนะครับ” ถึงจะแปลกใจที่ป้าเรียกสัตว์เหมือนกับว่ามันเป็นคน ‘แต่ก็ยังดีกว่าในกรณีกลับกัน’ และถ้ามันจะทำให้พวกเขารู้สึกดี ‘ก็จะเป็นอะไรไป’
    
“จ๊ะ เขาน่ารักมากๆ เลย” ป้าตอบอย่างยินดี ก่อนค่อยๆ ย่อตัวลงกอดมันเอาไว้ด้วยแขนทั้งสอง “ไม่รู้ว่าคนใจร้ายที่ไหนเอาเขามาทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังเล็ก ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ”
    
เขามีปัญหานิดหน่อยในการพยายามนึกภาพว่าสุนัขตัวโตนี้เคยเป็นเพียงลูกหมาตัวเล็กๆ น่ารักมาก่อน บางทีมันอาจจะเคยมีขนาดตัวพอๆ กับฝ่ามือของเขาเท่านั้นเอง
    
“ป้าเก็บเขามาเลี้ยงหรือครับ”
    
“เขาถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน ตอนแรกป้าก็พยายามหาคนอื่นให้รับไป ป้าไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเอา ป้าก็เลยต้องเลี้ยงเอาไว้เอง” ป้าคงชอบเล่า ชอบนึกถึงเรื่องในอดีตเหมือนกับคนสูงอายุทั่วไป สำหรับพวกเขาแล้ว อดีตบางเรื่องนั้นชัดเจน น่าจดจำ น่าหลงใหลยิ่งกว่าอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมถอยของร่างกาย กับโรคภัยไข้เจ็บนานาที่รอคอยอยู่
    
“แล้วป้าก็ดีใจจริงๆ ที่วันนั้นตัดสินใจเลี้ยงเขาเอาไว้” ป้ากอดมัน แล้วมันก็หันมาเลียใบหน้าซึ่งป้าก็ไม่ว่าอะไร นอกจากผลักหัวมันออกไปเบาๆ เท่านั้น
    
“ป้ารู้ว่าเขาจะดีใจทุกครั้งที่ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้เข่าป้าไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เลยไม่ค่อยได้พาเขาออกไปเดินเที่ยวอีกแล้ว” ป้ายังพูดต่อไปเรื่อยๆ
    
แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัวของเขา
    
“เอ่อ ถ้าผมจะขออาสาพาเขาไปเดินเล่น ป้าจะว่าอะไรไหมครับ”
    
“อะไรนะจ๊ะ” ป้าทำหน้างง ก่อนที่ริมฝีปากจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม “จริงหรือ” ป้าถามย้ำให้แน่ใจ
    
“จริงสิครับ” เขาว่า “ว่าแต่ คุณป้ามีสายจูงใช่ไหมครับ”
    
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ขนุนที่ใส่สายจูงเรียบร้อยก็นั่งหันมองคนนั้นทีคนนี้ที หางกระดิกไปมาด้วยความคาดหวัง เพราะมันรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
    
การพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของทั้งคู่นั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย จริงๆ ก็เกือบเรียบร้อย หากไม่นับเรื่องที่มันพยายามวิ่งไล่แมวจนลากเขาไปไกล กับการที่มันกระโจนเข้าใส่สุนัขเล็กๆ อีกตัวที่มีคนจูงเดินสวนมา และสุดท้ายคือการที่มันแย่งถุงลูกชิ้นที่เหลือไปจากมือของเขาในตอนที่เผลอได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้วก็พอนับได้ว่าเรียบร้อยดี
    
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้นอย่างนั้น และนับตั้งแต่วันนั้น เขาก็แวะมาพามันไปเดินเล่นตอนเย็นอยู่บ่อยๆ และคุณป้าก็เริ่มให้เงินเล็กๆ น้อยๆ หรือในบางครั้งก็ขนมเพื่อเป็นการตอบแทน
    
“หมาดื้อ” เขาว่า แต่มันก็ยังนั่งมองเขาด้วยดวงตาใสกระจ่างเช่นเดิม
    
'ทำไมฉันถึงไม่ได้เป็นคนที่เดินไปกับพริมนะ' เขาแอบเห็นเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้น รวมถึงเย็นวันนี้ที่ทั้งสองเดินออกจากโรงเรียนไปด้วยกัน มันเริ่มชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่วันนั้นที่สระว่ายน้ำ เขาเองก็พึ่งรู้ตัวว่าสายตาที่เธอมอง พอ เพื่อนรักของเขานั้นเป็นเช่นไร
    
เขาทอดถอนใจ
    
“โฮ่ง” มันส่งเสียงเหมือนกับพยายามจะให้กำลังใจ เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวมันแรงๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเล่นต่อไป
    
'ฉันควรทำแบบนั้นหรือเปล่านะ' เขาหมายถึงการกลั่นแกล้งเพื่อนที่ได้ทำลงไปทั้งหมด 'ใช่ ฉันทำถูกแล้ว' เขาพยายามย้ำกับตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบที่แท้จริงนั้นคืออะไร
    
พวกเราทุกคนต่างรู้คำตอบอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่มักมีปัญหากับการยอมรับมัน โดยเฉพาะการยอมรับว่าตนเองได้ทำอะไรโง่ๆ ลงไป
    
เขาเดินใจลอยต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าที่ข้างกายกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
    
ใบหูของขนุนที่เคยตกแนบข้างหัวกำลังค่อยๆ ยกชูขึ้นทีละน้อย พร้อมกับมีประกายสีแดงจางๆ ราวกับจุดดวงไฟเล็กๆ จากที่ไกลแสนไกลค่อยๆ ลุกโชนขึ้นภายในดวงตาที่เคยอ่อนโยนของมันคู่นั้น
    
ในหูของมันพลันแว่วยินเสียงหอนโหยหวนดังออกมาจากในหุบเขาลึกแห่งความทรงจำของอดีตกาล

#####
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่