คอลัมน์บอลไทย : คุณต้องเชื่อผมนะ...'วินฟรีด เชเฟอร์' by สุรเดช มั่นวิมล



              ต้นปี2013 ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยมีทัวร์นาเม้นต์หนักรออยู่ถึงสองรายการด้วยกัน ศึกแรกคือ"ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ" ครั้งที่42 แข่งขันกันระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยนอกจากไทยในฐานะเจ้าภาพแล้วยังมี ฟินแลนด์, สวีเดน และเกาหลีเหนือร่วมทำการแข่งขัน
    ส่วนอีกหนึ่งรายการคือ "ฟุตบอลเอเชี่ยนคัพ 2015" รอบคัดเลือก ซึ่งไทยอยู่ในสายบี ร่วมกับสามทีมจากตะวันออกกลางอย่าง อิหร่าน, คูเวต และเลบานอน "ทีมช้างศึก"จะเริ่มต้นด้วยการเล่นในบ้านพบกับคูเวต วันที่6 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนได้รู้ว่าไทยจะฟันฝ่าเป็น 1ใน 11ทีมที่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายที่ออสเตรเลียหรือไม่ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2014 (รอบคัดเลือกแบ่งออกเป็น 5 สาย คัดเอาที่ 1 และ 2 รวมกับอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีกหนึ่งทีมเข้ารอบสุดท้าย)

    ว่ากันว่านี่คือสองรายการที่จะชี้ชะตาอนาคตของ "วินฟรีด เชเฟอร์"กุนซือทีมชาติไทยเลยทีเดียว เพราะช่วงนี้กระแส "อยู่" หรือ "ไป" ของเฮดโค้ชชาวเยอรมันเป็นที่พูดถึงมากเหลือเกิน

    โดยนับตั้งแต่เข้าทำทีมชาติไทยในเดือนมิถุนายนปี2011 หากวัดกันที่รูปแบบการเล่น ต้องยอมรับว่า "วินนี่" ทำได้น่าพอใจ สามารถเปลี่ยนให้ทีมชาติไทยลุกขึ้นมาต่อกรกับคู่แข่งได้อย่างมีลุ้นอีกครั้ง  จนเรียกศรัทธาจากแฟนบอลไทยให้กลับมาหนุนหลังทีมชาติของตัวเอง ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมานาน

    แต่ถ้ามองในของเรื่องผลงาน อันนี้ต้องยอมรับตามตรงว่ายังไม่เข้าเป้า ทั้งฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกที่แม้ไทยจะเป็นทีมในอาเซียนที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่ไม่วายต้องกระเด็นตกรอบ 20 ทีมสุดท้าย และล่าสุดกับชิงแชมป์อาเซียน ในรายการ "ซูซูกิ คัพ2012" ถึงจะทะลุเข้ารอบชิง แต่ก็ยังไม่ดีพอจะคว้าแชมป์มาครองได้

    ซึ่งถ้าจะเปรียบการเข้ามาทำทีมชาติไทยของวินนี่ให้เห็นภาพ ก็น่าจะเหมือนการเป็น "เทรนเนอร์นักมวย"

    วีนฟรีด เชเฟอร์อาจเป็นคนที่มาเทรนนักชกที่หมดสภาพโดนต่อยน็อคตั้งแต่ยกแรกมาทุกสังเวียน ให้สามารถยืนแลกหมัดกับคู่ต่อสู้ได้แบบมีลุ้น แม้จะต้องปราชัยบนเวทีเมื่อครบยก แต่นอกสนามสามารถชนะใจคนดูเรียกเสียงปรบมือได้อย่างกึกก้อง

    แต่การจะประสบความสำเร็จของเทรนเนอร์คนนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาด "โปรโมเตอร์" ที่คอยให้การสนับสนุน

    แน่นอนว่า "สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ" คือโปรโมเตอร์ใหญ่ที่จะคอยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงาน ทั้งการวางแผนเก็บตัวฝึกซ้อม การหาทีมอุ่นเครื่องที่แข็งแกร่ง การจัดโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศให้เอื้อกับการทำงานของทีมชาติ เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่โปรโมเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่างสมาคมลูกหนังไทยต้องจัดให้

    อีกหนึ่งโปรโมเตอร์ที่มีส่วนสำคัญคือ "สโมสร" เจ้าของนักเตะจะให้ความร่วมมือมากน้อยขนาดไหน ซึ่งปัญหาการปล่อยตัวให้ทีมชาติใช้งานเป็นสิ่งถกเถียงกันทั่วโลก เพราะบางทีต้องเห็นใจต้นสังกัดของนักเตะด้วย หากเล่นทีมชาติแล้วเจ็บกลับมา คนที่จ่ายเงินเดือนให้ต้องออกอาการเซ็งเป็นธรรมดา

    ส่วนอีกโปรโมเตอร์ที่ขาดไม่ได้เช่นกัน นั่นคือ "สื่อมวลชน" ที่จะเป็นแรงผลักดันให้การทำงานของวินนี่กระจายออกไปในมุมกว้าง ทั้งบทสัมภาษณ์ ความพร้อมและความเคลื่อนไหวของทีมจะได้ไปถึงผู้รับสารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของนักข่าวที่จะคอยเจาะลึกมาให้แฟนบอลทั่วทุกมุมโลกได้ติดตามกัน

    ที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของทั้ง 3 โปรโมเตอร์ อาจจะมีผิดมีพลาดกันบ้าง แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายล้วนทำงานอย่างเต็มที่ เพราะต้องการเห็นเทรนเนอร์วินนี่ปั้นนักชกในนาม "ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย"  ผงาดในสังเวียนแข้งเหมือนๆ กัน

    แต่เหตุการณ์ในการแถลงข่าวในวันที่นักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดคิงส์คัพมารายงานตัวที่สมาคมฟุตบอลฯ เมื่อวันพุธที่16 มกราคมที่ผ่านมา เล่นเอาผมใจหายแว๊บ..!!

    เมื่อกุนซือทีมชาติไทยกล่าวโจมตีสื่อมวลชนไทยบางกลุ่มที่ออกข่าวเกี่ยวกับตัวเขาในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะกระแสข่าวที่เขาจะถูกปลดจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติไทย

    นี่อาจเป็นการตอบโต้ตามสไตล์ของวินนี่ ซึ่งบอกเลยว่าพูดแบบนี้กับบ้านอื่นเมืองอื่นอาจไม่เท่าไหร่ แต่กับที่นี่ซึ่งเป็น"ประเทศไทย" เจ้าตัวอาจงานเข้าได้ง่ายๆ

    ผมมีโอกาสคุยกับนักเตะทีมชาติคนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า ก่อนหน้านี้ทางเดินของกุนซือชาวเยอรมันบนเส้นทางลูกหนังในเมืองสยามเริ่มตีบตันไปทุกทีหลังผลงานไม่ค่อยเข้าตา ยิ่งมาเจอเรื่องนี้ผสมโรงเข้าไปอีก ต่อไปอาจถึงขนาดต้องเขย่งก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว

    ส่วนตัวผมคิดว่าวินนี่พลาดครับ ที่ลั่นวาจาอย่างนั้นออกมาในห้องแถลงข่าว เพราะหน้าที่ของเขาคือการทำผลงานในสนามให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งนั้นจะเป็นคำตอบให้สื่อมวลชนที่ตั้งข้อสงสัยในการทำงานของเขาได้เป็นอย่างดี

    อย่าลืมว่าสื่อมวลชนคือกระบอกเสียงของประชาชน และแน่นอนว่าการทำงานด้านนี้ต้องคิดให้ลึก แตกประเด็นให้กว้าง เพื่อให้ได้ประเด็นที่น่าสนใจและมีมุมมองที่หลากหลายออกมาให้สาธารณะได้ติดตาม

    การวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงคือสิ่งที่สื่อมวลชนต้องทำ อาจจะไม่ถูกอกถูกใจใครทั้งหมด แต่อย่าลืมว่านี่คือหน้าที่ของสื่อ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องสะท้อนให้หลายคนมองบางสิ่งบางอย่างให้กว้างขึ้น และอาจจะเป็นหนึ่งในทางเลือกใหม่ๆ ด้วยก็เป็นได้

    ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอลไทยต้องการให้ลูกหนังบ้านเราเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้สิ่งที่หวังเป็นไปตามเป้าหมายที่หลายคนวาดภาพเอาไว้ จึงไม่มีเหตุผลที่ใครคนใดคนหนึ่งจะออกมาทำลายสิ่งที่ทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมาให้แหลกสลายคามือ

    ดังนั้นการที่วินนี่ไปวีนใส่สื่อมวลชนว่าจ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาอาจไม่เหมาะนัก แต่หากเขาเปลี่ยนไปมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้คือการพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพ และการเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายเอเชี่ยนคัพที่ประเทศออสเตรเลียให้สำเร็จน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า

    ซึ่งหากวันนั้นมาถึงเสียงโจมตีจะเปลี่ยนเป็นเสียงสรรเสริญทันที โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเรียกร้อง

    คุณเชื่อผมสิครับ "เทรนเนอร์วินฟรีด เชเฟอร์"...

    ///////////////////////////////////
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่