“เสี่ยปู่” “ชม” หุ้นความงาม “สวยทั้งคู่”
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 22 มกราคม 2556 01:00
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
“เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล “ปันใจ” บอก วันใดค่า P/E สองหุ้นความงาม “คาร์มาร์ท” VS “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ลงมาเท่ากัน พร้อมซื้อหุ้น BEAUTY
“หุ้น คาร์มาร์ท (KAMART) ของ “วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล” ผู้ถือหุ้นใหญ่ 138.11 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.02% ณ วันที่ 27 พ.ย.2555 เคยเป็น “หุ้นความงาม” ตัวเดียวที่ “เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน “โครตรัก” เขาถือหุ้น KAMART สูงสุดเป็นอันดับ 2 จำนวน 24.570 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.10% ขณะที่ภรรยา “วารุณี ชลคดีดำรงกุล” ครอบครองหุ้นอยู่ 6.27 ล้านบาท คิดเป็น 1.05% (ตัวเลข ณ วันที่ 27 พ.ย.2555) รองจากหุ้น บ้านร็อคการ์เด้น (BROCK) ที่ถืออยู่ 89.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.93% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555)
เจ้าของห้อง VIP หมายเลข 129 ประจำโบรกเกอร์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ชั้น 20 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เคยถือหุ้น KAMART สูงสุด 5.24% ในปี 2555 ตลอดปีที่ผ่านมามีการซื้อขายทั้งหมด 5 รายการ แบ่งเป็นซื้อ 0.10% วันที่ 25 ก.ค. ก่อนจะขายทำกำไร 0.62% ในวันที่ 30 ก.ค. และกลับมาซื้อ 0.50% ในวันที่ 14 ส.ค.ก่อนจะขาย 0.17% วันที่ 24 ต.ค. และกลับมาช้อนอีกครั้ง 0.25% ในวันที่ 5 พ.ย.2555
แต่เมื่อปลายปี 2555 “เสี่ยปู่” ยืดอกยอมรับว่าได้ “ปันใจ” ไป “หลงรัก” หุ้นความงามตัวใหม่ อย่าง บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ของ “หมอสุวิน ไกรภูเบศ” ผู้มีประวัติชีวิตดั่งเช่นละคร ด้วยเหตุผลที่ว่า “บิวตี้ คอมมูนิตี้ มีกำไรสูง เงินสดเยอะ หนี้น้อย และไม่ใช่สินค้าแฟชั่น”
ก่อนจะปฎิบัติการณ์สลัดหุ้น BEAUTY จำนวน 500,000 หุ้น ราคา 19 บาท ในวันแรก “เสี่ยปู่” เคยบอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ว่า เดี๋ยวจะโทรไปนัดแนะ “หมอสุวิน” ให้ออกมานั่งดินเนอร์แบบ “เอ็กซ์คลูซีฟ” นอกสถานที่ เพื่อสอบถามอนาคตของ “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ประเด็นหนึ่งที่ “เสี่ยปู่” ยอมรับว่าอาจทำให้ราคาหุ้น BEAUTY ไม่ไปต่อ คือ “คุณหมอจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร เมื่อเปิดร้านแบรนด์ บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ และแบรนด์ บิวตี้ คอทเทจ ครบทุกห้างในเมืองไทย” แม้จะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ แต่”เสี่ยปู่” ก็อดใจไม่ไหว จำต้องขายยกแผงวันแรก โกยกำไรเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 5,500,000 บาท !!!!
“ผมโทรไปชวนคุณหมอออกมาคุย ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง (ไม่ยอมบอกชื่อร้าน) แม้จะใช้เวลาสอบถามโน่นนี่เพียง 1 ชั่วโมง แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าบริษัทความงามแห่งนี้ มีการบริหารจัดการที่ดี เขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง นั่นแปลว่า เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เขาจะเป็นคนที่สบายตัวที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง “คาร์มาร์ท” ที่ทุกวันนี้ยังต้องอาศัยพื้นที่คนอื่นขายของ” “เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังชัดๆอีกครั้ง
“เซียนหุ้นรายใหญ่” ยังวิเคราะห์ 2 หุ้นความงามให้ฟังว่า หากมองเนื้อในของหุ้น BEAUTY ถือว่ามี “ข้อดี” มากกว่าหุ้น KAMART ข้อแรก เขาสามารถนำสินค้า 2 แบรนด์หลัก ไปเปิดขายได้ถึง 2 ร้าน เรียกว่าแยกกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ไม่เหมือนเจ้าอื่นที่ต้องนำสินค้ามากองรวมกันแล้วเปิดได้เพียง 1 ร้าน สินค้าติดตลาดแล้วใครก็อ้าแขนรับ เขามีผลิตภัณฑ์หลากหลายราคา ล่าสุดยังมีแผนจะนำสินค้าไปขายในเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เขาคงเห็น “คาร์มาร์ท” ทำแล้วรุ่ง (หัวเราะ)
ข้อสอง เขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง แตกต่างจาก KAMART ที่ต้องจำหน่ายสินค้าผ่านโมเดิร์นเทรดต่างๆ อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้อ และมินิมาร์ท โดยเฉพาะ “เซเว่น อีเลฟเว่น” รวมถึงห้างสรรพสินค้า (Department Store) และซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ แต่ “ข้อดี” ของการฝากสินค้าคนอื่นขาย คือ มีอัตราเติบโตที่รวดเร็ว กำไรขั้นต้นสูง เพราะไม่มีต้นทุนเรื่องเปิดหน้าร้าน
ถ้าให้เลือก “เสี่ยปู่” จะเก็บหุ้นตัวไหน? เขาสวนกลับทันทีว่า สมมติวันหนึ่งค่า P/E ของหุ้น BEAUTY และหุ้น KAMART ลงมาอยู่ระดับเดียวกัน ชายชื่อ “สมพงษ์” ขอเลือก “ช้อนหุ้น BEAUTY” โอกาสทำกำไรสูงกว่า เพราะเชื่อว่ารายได้ปี 2556 จะเติบโต 20% ยอมรับวันนี้ค่า P/E ของหุ้น BEAUTY “สูงเวอร์” เกินไปที่ระดับ 45.25 เท่า (ตัวเลข ณ วันที่ 15 ม.ค.2556) ทำให้ผมจำเป็นต้องเบรกการลงทุนหุ้นตัวนี้ไปก่อน รอจังหวะราคาเหมาะสมแล้วค่อยเข้าไปเก็บ ส่วนตัวมองราคาเหมาะสมของหุ้น BEAUTY เพียงระดับ 10 กว่าบาทเท่านั้น
ตอนนี้ผมมีหุ้น KAMART อยู่ในมือ 5.23% (รวมของภรรยาแล้ว) หากในปี 2556เขาโกยกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท ได้ตามที่ผู้บริหารเคยการันตีไว้กับผมเมื่อปี 2555 โอกาสจะเข้าไปเก็บเพิ่มมีแน่นอน ยิ่งเขาสามารถออกแบบการบริหารจัดการได้ดี มีการโฆษณาสินค้ามากขึ้น แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย เพราะสินค้าที่ออกแนวเกาหลีขายดีอยู่แล้ว
ถามว่าในพอร์ตลงทุนมีหุ้นกี่ตัว "เซียนหุ้น VI” บอกว่า ประมาณ 20 ตัว มูลค่าเท่าเดิม “หลักพันล้านบาท” ยังไม่ถึงหมื่นล้านหรอก (เขาหยอกเล่น) ตลอดทั้งปี 2555 ผมโกยกำไรจากการลงทุน 50% สูงกว่าเป้าหมายที่เคยบอกไปว่าอยากได้สัก 20% ส่วนในปี 2556 ผลตอบแทนน่าจะดีต่อเนื่อง เพราะหุ้นในพอร์ตขึ้นแรงทุกตัว แต่ขอรอดูช่วงกลางปีก่อนว่าตลาดหุ้นจะปรับฐานมากน้อยแค่ไหน และจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
จากการตรวจสอบข้อมูลของ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ผ่านเวปไซด์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ที่ผ่านมาหุ้น เอเซีย พรีซิชั่น (APCS) และหุ้น บ้านร็อคการ์เด้น (BROCK) เป็นตัวที่เสี่ยปู่ "ซื้อเพิ่มขึ้น" มากที่สุด ตัวเลขวันปิดสมุดจดทะเบียน ณ วันที่ 20 มี.ค.2555 เขามีหุ้น เอเซีย พรีซิชั่น เพียง 2.95% ก่อนจะขยับเป็น 6.17% ณ วันที่ 3 พ.ค.2555 ขณะที่หุ้น บ้านร็อคการ์เด้น ณ วันที่ 11 มี.ค.2554 มีหุ้นเพียง 4.48% ผ่านมา 1 ปี สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 8.93%
“เสี่ยปู่” เฉลยว่า ณ เวลานี้ ผมมีหุ้นที่เป็น “พระเอก” 2-3 ตัว ตัวแรก คือ หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ของ “หมอสูตินารีเวช” สมยศ อนันตประยูร มีอยู่ในมือแล้วกว่า 5% ซื้อครั้งแรกตอนไอพีโอ 3.7 ล้านหุ้น ก่อนจะมาช้อนเพิ่มอีก 25-27 ล้านหุ้น ถามว่าจะขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงเมื่อไร ตอนนี้ยังไม่คิด ตรงกันข้ามอยากได้เพิ่มอีกสัก 5-10 ล้านหุ้น
ผมเชื่อว่าราคาจะวิ่งไปถึง 60 บาท ตามที่เหล่านักวิเคราะห์ทำนาย เท่าที่ดูทิศทางการดำเนินงานในปี 2556 เขาน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ตามความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มองว่าเมืองไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองลงมา คือ หุ้น เด็มโก้ (DEMCO) ตัวนี้สร้างผลตอบแทนได้ดี ผมซื้อมาช่วงราคา 5 บาท (ณ วันที่ 15 ม.ค.2556 ราคาหุ้นสูงสุด 8.65 บาท) เขามีเทคโนโลยีพลังงานลมที่ดีมาก ฉะนั้นราคาหุ้นมีโอกาสไปอีกไกล หุ้น ฐิติกร (TK) ตัวนี้ก็ทำกำไรได้ดีเช่นกัน เขามีระบบติดตามหนี้ที่ “แข็งแรง” แถมเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในเมืองไทยที่คิดดอกเบี้ยสูงถึง 2% ต่อเดือน และไม่คิดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกต่างหาก
หุ้น ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ตัวนี้ก็ดี ซื้อมาตอนราคา 1.10 บาท ตอนนี้ซื้อขายเฉลี่ย 4.11 บาทแล้ว ตัวนี้พื้นฐานแข็งแกร่งมาก เขาไม่มีคู่แข่ง แถมเป็นเจ้าตลาดรถบรรทุกเก่า ที่ผ่านมาได้คุยกับ CEO ของบริษัท เขาการันตีต่อหน้าผมว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2556-2558) จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยประมาณ 30% อีกตัว คือ หุ้น สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี่ (SAT) ผมทยอยสะสมมาเรื่อยๆ เพราะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โอกาสเติบโตเฉลี่ย 25-27% มีสูง ถือเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวปีละประมาณ 10% สุดท้าย คือ หุ้น เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK)
“เสี่ยปู่” ทิ้งท้ายว่า พอร์ตลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2555 พอมี “กำไร” เหมือนกัน และเชื่อว่าในปี 2556 จะยังคงกำไรต่อเนื่อง เพราะราคาที่ดินวิ่งเร็วมาก ยิ่งได้ทำเลดีๆ ราคายิ่งทะยาน ผมเพิ่งประมูลที่ดินย่านบางใหญ่ 20 ไร่ อยู่ใกล้ๆ กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า บางใหญ่ ที่มีแผนจะเปิดในปี 2557 ผมกะว่าจะไม่ขาย แต่จะปล่อยเช่าแทน เพราะเชื่อว่าราคาจะพุ่งกว่านี้
“กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นทุกอย่างยังคงเดิม คือ การเน้นดูหุ้นรายตัวมากกว่าดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ผมไม่ค่อยสนใจ SET INDEX เท่าไหร่ สุดท้ายต่อให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลง แต่ถ้าเรามั่นใจว่าหุ้นของเราดีจะไปแคร์ทำไม”
รายได้ปีมะเส็ง “สปริง” 20% คำมั่น “หมอสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “เสี่ยปู่” สายตรงมานัดทานข้าวกับผม เขาสนใจวิวัฒนาการของธุรกิจ และแนวความคิดในการบริหาร เราคุยกันยาวนานมาก (ยิ้ม) มีการซักถามแนวโน้มธุรกิจ คู่แข่ง อัตราการเติบโต ซึ่ง “เสี่ยปู่” เขาก็มองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกับเรา
ภายในไตรมาส 2/2556 เราเตรียมจะเปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่ ซึ่งมีขนาดสินค้าเล็กลงและ ราคาถูกลง เพื่อนำไปวางขายในเซเว่น อีเลฟเว่น และยังเตรียมเปิดร้านใหม่ที่มีรูปแบบใหญ่กว่า 2 แบรนด์เดิม เน้นขายสินค้าใหม่ๆ รองรับลูกค้าได้หลากหลายประเภท งบลงทุนราวๆ 250 ล้านบาท ปัจจุบันเรามีหน้าร้าน 2 แบรนด์ คือ แบรนด์ BEAUTY BUFFET เจาะตลาดวัยรุ่น และ BEAUTY COTTAGE เน้นวัยทำงาน
ส่วนแบรนด์เดิมปีนี้เราตั้งใจจะขยายสาขาในแบรนด์ BEAUTY BUFFET เป็น 180 แห่ง จากสิ้นปี 55 ที่อยู่ 146 สาขา และร้านแบรนด์ BEAUTY COTTAGE จะขยายเป็น 50 สาขา จาก 31 สาขา ณ สิ้นปี 55 ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เรายังจะรุกตลาด convenience เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นและผู้ที่เริ่มทำงาน ราคาสินค้าไม่สูง สำหรับเรื่องโกอินเตอร์ เราก็ดูๆจะเข้าไปทำในประเทศลาว และเวียดนาม
“พี่หมอ” ทิ้งท้ายว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ในปี 2556 มีโอกาสเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ฉะนั้นเป้าหมายรายได้ในปี 2556 ที่ต้องการเติบโตกว่า 20% และต้องการมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 70-71% เราทำได้แน่นอน!!
รวมกระทู้ " กระต่ายป่า" ( 22 มกราคม 2556 )
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 22 มกราคม 2556 01:00
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
“เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล “ปันใจ” บอก วันใดค่า P/E สองหุ้นความงาม “คาร์มาร์ท” VS “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ลงมาเท่ากัน พร้อมซื้อหุ้น BEAUTY
“หุ้น คาร์มาร์ท (KAMART) ของ “วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล” ผู้ถือหุ้นใหญ่ 138.11 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.02% ณ วันที่ 27 พ.ย.2555 เคยเป็น “หุ้นความงาม” ตัวเดียวที่ “เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน “โครตรัก” เขาถือหุ้น KAMART สูงสุดเป็นอันดับ 2 จำนวน 24.570 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.10% ขณะที่ภรรยา “วารุณี ชลคดีดำรงกุล” ครอบครองหุ้นอยู่ 6.27 ล้านบาท คิดเป็น 1.05% (ตัวเลข ณ วันที่ 27 พ.ย.2555) รองจากหุ้น บ้านร็อคการ์เด้น (BROCK) ที่ถืออยู่ 89.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.93% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555)
เจ้าของห้อง VIP หมายเลข 129 ประจำโบรกเกอร์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ชั้น 20 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เคยถือหุ้น KAMART สูงสุด 5.24% ในปี 2555 ตลอดปีที่ผ่านมามีการซื้อขายทั้งหมด 5 รายการ แบ่งเป็นซื้อ 0.10% วันที่ 25 ก.ค. ก่อนจะขายทำกำไร 0.62% ในวันที่ 30 ก.ค. และกลับมาซื้อ 0.50% ในวันที่ 14 ส.ค.ก่อนจะขาย 0.17% วันที่ 24 ต.ค. และกลับมาช้อนอีกครั้ง 0.25% ในวันที่ 5 พ.ย.2555
แต่เมื่อปลายปี 2555 “เสี่ยปู่” ยืดอกยอมรับว่าได้ “ปันใจ” ไป “หลงรัก” หุ้นความงามตัวใหม่ อย่าง บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ของ “หมอสุวิน ไกรภูเบศ” ผู้มีประวัติชีวิตดั่งเช่นละคร ด้วยเหตุผลที่ว่า “บิวตี้ คอมมูนิตี้ มีกำไรสูง เงินสดเยอะ หนี้น้อย และไม่ใช่สินค้าแฟชั่น”
ก่อนจะปฎิบัติการณ์สลัดหุ้น BEAUTY จำนวน 500,000 หุ้น ราคา 19 บาท ในวันแรก “เสี่ยปู่” เคยบอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ว่า เดี๋ยวจะโทรไปนัดแนะ “หมอสุวิน” ให้ออกมานั่งดินเนอร์แบบ “เอ็กซ์คลูซีฟ” นอกสถานที่ เพื่อสอบถามอนาคตของ “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ประเด็นหนึ่งที่ “เสี่ยปู่” ยอมรับว่าอาจทำให้ราคาหุ้น BEAUTY ไม่ไปต่อ คือ “คุณหมอจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร เมื่อเปิดร้านแบรนด์ บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ และแบรนด์ บิวตี้ คอทเทจ ครบทุกห้างในเมืองไทย” แม้จะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ แต่”เสี่ยปู่” ก็อดใจไม่ไหว จำต้องขายยกแผงวันแรก โกยกำไรเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 5,500,000 บาท !!!!
“ผมโทรไปชวนคุณหมอออกมาคุย ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง (ไม่ยอมบอกชื่อร้าน) แม้จะใช้เวลาสอบถามโน่นนี่เพียง 1 ชั่วโมง แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าบริษัทความงามแห่งนี้ มีการบริหารจัดการที่ดี เขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง นั่นแปลว่า เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เขาจะเป็นคนที่สบายตัวที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง “คาร์มาร์ท” ที่ทุกวันนี้ยังต้องอาศัยพื้นที่คนอื่นขายของ” “เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังชัดๆอีกครั้ง
“เซียนหุ้นรายใหญ่” ยังวิเคราะห์ 2 หุ้นความงามให้ฟังว่า หากมองเนื้อในของหุ้น BEAUTY ถือว่ามี “ข้อดี” มากกว่าหุ้น KAMART ข้อแรก เขาสามารถนำสินค้า 2 แบรนด์หลัก ไปเปิดขายได้ถึง 2 ร้าน เรียกว่าแยกกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ไม่เหมือนเจ้าอื่นที่ต้องนำสินค้ามากองรวมกันแล้วเปิดได้เพียง 1 ร้าน สินค้าติดตลาดแล้วใครก็อ้าแขนรับ เขามีผลิตภัณฑ์หลากหลายราคา ล่าสุดยังมีแผนจะนำสินค้าไปขายในเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เขาคงเห็น “คาร์มาร์ท” ทำแล้วรุ่ง (หัวเราะ)
ข้อสอง เขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง แตกต่างจาก KAMART ที่ต้องจำหน่ายสินค้าผ่านโมเดิร์นเทรดต่างๆ อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้อ และมินิมาร์ท โดยเฉพาะ “เซเว่น อีเลฟเว่น” รวมถึงห้างสรรพสินค้า (Department Store) และซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ แต่ “ข้อดี” ของการฝากสินค้าคนอื่นขาย คือ มีอัตราเติบโตที่รวดเร็ว กำไรขั้นต้นสูง เพราะไม่มีต้นทุนเรื่องเปิดหน้าร้าน
ถ้าให้เลือก “เสี่ยปู่” จะเก็บหุ้นตัวไหน? เขาสวนกลับทันทีว่า สมมติวันหนึ่งค่า P/E ของหุ้น BEAUTY และหุ้น KAMART ลงมาอยู่ระดับเดียวกัน ชายชื่อ “สมพงษ์” ขอเลือก “ช้อนหุ้น BEAUTY” โอกาสทำกำไรสูงกว่า เพราะเชื่อว่ารายได้ปี 2556 จะเติบโต 20% ยอมรับวันนี้ค่า P/E ของหุ้น BEAUTY “สูงเวอร์” เกินไปที่ระดับ 45.25 เท่า (ตัวเลข ณ วันที่ 15 ม.ค.2556) ทำให้ผมจำเป็นต้องเบรกการลงทุนหุ้นตัวนี้ไปก่อน รอจังหวะราคาเหมาะสมแล้วค่อยเข้าไปเก็บ ส่วนตัวมองราคาเหมาะสมของหุ้น BEAUTY เพียงระดับ 10 กว่าบาทเท่านั้น
ตอนนี้ผมมีหุ้น KAMART อยู่ในมือ 5.23% (รวมของภรรยาแล้ว) หากในปี 2556เขาโกยกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท ได้ตามที่ผู้บริหารเคยการันตีไว้กับผมเมื่อปี 2555 โอกาสจะเข้าไปเก็บเพิ่มมีแน่นอน ยิ่งเขาสามารถออกแบบการบริหารจัดการได้ดี มีการโฆษณาสินค้ามากขึ้น แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย เพราะสินค้าที่ออกแนวเกาหลีขายดีอยู่แล้ว
ถามว่าในพอร์ตลงทุนมีหุ้นกี่ตัว "เซียนหุ้น VI” บอกว่า ประมาณ 20 ตัว มูลค่าเท่าเดิม “หลักพันล้านบาท” ยังไม่ถึงหมื่นล้านหรอก (เขาหยอกเล่น) ตลอดทั้งปี 2555 ผมโกยกำไรจากการลงทุน 50% สูงกว่าเป้าหมายที่เคยบอกไปว่าอยากได้สัก 20% ส่วนในปี 2556 ผลตอบแทนน่าจะดีต่อเนื่อง เพราะหุ้นในพอร์ตขึ้นแรงทุกตัว แต่ขอรอดูช่วงกลางปีก่อนว่าตลาดหุ้นจะปรับฐานมากน้อยแค่ไหน และจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
จากการตรวจสอบข้อมูลของ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ผ่านเวปไซด์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ที่ผ่านมาหุ้น เอเซีย พรีซิชั่น (APCS) และหุ้น บ้านร็อคการ์เด้น (BROCK) เป็นตัวที่เสี่ยปู่ "ซื้อเพิ่มขึ้น" มากที่สุด ตัวเลขวันปิดสมุดจดทะเบียน ณ วันที่ 20 มี.ค.2555 เขามีหุ้น เอเซีย พรีซิชั่น เพียง 2.95% ก่อนจะขยับเป็น 6.17% ณ วันที่ 3 พ.ค.2555 ขณะที่หุ้น บ้านร็อคการ์เด้น ณ วันที่ 11 มี.ค.2554 มีหุ้นเพียง 4.48% ผ่านมา 1 ปี สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 8.93%
“เสี่ยปู่” เฉลยว่า ณ เวลานี้ ผมมีหุ้นที่เป็น “พระเอก” 2-3 ตัว ตัวแรก คือ หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ของ “หมอสูตินารีเวช” สมยศ อนันตประยูร มีอยู่ในมือแล้วกว่า 5% ซื้อครั้งแรกตอนไอพีโอ 3.7 ล้านหุ้น ก่อนจะมาช้อนเพิ่มอีก 25-27 ล้านหุ้น ถามว่าจะขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงเมื่อไร ตอนนี้ยังไม่คิด ตรงกันข้ามอยากได้เพิ่มอีกสัก 5-10 ล้านหุ้น
ผมเชื่อว่าราคาจะวิ่งไปถึง 60 บาท ตามที่เหล่านักวิเคราะห์ทำนาย เท่าที่ดูทิศทางการดำเนินงานในปี 2556 เขาน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ตามความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มองว่าเมืองไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองลงมา คือ หุ้น เด็มโก้ (DEMCO) ตัวนี้สร้างผลตอบแทนได้ดี ผมซื้อมาช่วงราคา 5 บาท (ณ วันที่ 15 ม.ค.2556 ราคาหุ้นสูงสุด 8.65 บาท) เขามีเทคโนโลยีพลังงานลมที่ดีมาก ฉะนั้นราคาหุ้นมีโอกาสไปอีกไกล หุ้น ฐิติกร (TK) ตัวนี้ก็ทำกำไรได้ดีเช่นกัน เขามีระบบติดตามหนี้ที่ “แข็งแรง” แถมเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในเมืองไทยที่คิดดอกเบี้ยสูงถึง 2% ต่อเดือน และไม่คิดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกต่างหาก
หุ้น ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ตัวนี้ก็ดี ซื้อมาตอนราคา 1.10 บาท ตอนนี้ซื้อขายเฉลี่ย 4.11 บาทแล้ว ตัวนี้พื้นฐานแข็งแกร่งมาก เขาไม่มีคู่แข่ง แถมเป็นเจ้าตลาดรถบรรทุกเก่า ที่ผ่านมาได้คุยกับ CEO ของบริษัท เขาการันตีต่อหน้าผมว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2556-2558) จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยประมาณ 30% อีกตัว คือ หุ้น สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี่ (SAT) ผมทยอยสะสมมาเรื่อยๆ เพราะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โอกาสเติบโตเฉลี่ย 25-27% มีสูง ถือเป็นอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวปีละประมาณ 10% สุดท้าย คือ หุ้น เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK)
“เสี่ยปู่” ทิ้งท้ายว่า พอร์ตลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2555 พอมี “กำไร” เหมือนกัน และเชื่อว่าในปี 2556 จะยังคงกำไรต่อเนื่อง เพราะราคาที่ดินวิ่งเร็วมาก ยิ่งได้ทำเลดีๆ ราคายิ่งทะยาน ผมเพิ่งประมูลที่ดินย่านบางใหญ่ 20 ไร่ อยู่ใกล้ๆ กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า บางใหญ่ ที่มีแผนจะเปิดในปี 2557 ผมกะว่าจะไม่ขาย แต่จะปล่อยเช่าแทน เพราะเชื่อว่าราคาจะพุ่งกว่านี้
“กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นทุกอย่างยังคงเดิม คือ การเน้นดูหุ้นรายตัวมากกว่าดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ผมไม่ค่อยสนใจ SET INDEX เท่าไหร่ สุดท้ายต่อให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลง แต่ถ้าเรามั่นใจว่าหุ้นของเราดีจะไปแคร์ทำไม”
รายได้ปีมะเส็ง “สปริง” 20% คำมั่น “หมอสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า “เสี่ยปู่” สายตรงมานัดทานข้าวกับผม เขาสนใจวิวัฒนาการของธุรกิจ และแนวความคิดในการบริหาร เราคุยกันยาวนานมาก (ยิ้ม) มีการซักถามแนวโน้มธุรกิจ คู่แข่ง อัตราการเติบโต ซึ่ง “เสี่ยปู่” เขาก็มองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกับเรา
ภายในไตรมาส 2/2556 เราเตรียมจะเปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่ ซึ่งมีขนาดสินค้าเล็กลงและ ราคาถูกลง เพื่อนำไปวางขายในเซเว่น อีเลฟเว่น และยังเตรียมเปิดร้านใหม่ที่มีรูปแบบใหญ่กว่า 2 แบรนด์เดิม เน้นขายสินค้าใหม่ๆ รองรับลูกค้าได้หลากหลายประเภท งบลงทุนราวๆ 250 ล้านบาท ปัจจุบันเรามีหน้าร้าน 2 แบรนด์ คือ แบรนด์ BEAUTY BUFFET เจาะตลาดวัยรุ่น และ BEAUTY COTTAGE เน้นวัยทำงาน
ส่วนแบรนด์เดิมปีนี้เราตั้งใจจะขยายสาขาในแบรนด์ BEAUTY BUFFET เป็น 180 แห่ง จากสิ้นปี 55 ที่อยู่ 146 สาขา และร้านแบรนด์ BEAUTY COTTAGE จะขยายเป็น 50 สาขา จาก 31 สาขา ณ สิ้นปี 55 ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เรายังจะรุกตลาด convenience เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นและผู้ที่เริ่มทำงาน ราคาสินค้าไม่สูง สำหรับเรื่องโกอินเตอร์ เราก็ดูๆจะเข้าไปทำในประเทศลาว และเวียดนาม
“พี่หมอ” ทิ้งท้ายว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ในปี 2556 มีโอกาสเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ฉะนั้นเป้าหมายรายได้ในปี 2556 ที่ต้องการเติบโตกว่า 20% และต้องการมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 70-71% เราทำได้แน่นอน!!