================
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....
================
ราตรีนี้ มิอาจให้ ข่มใจหลับ
ลุกขยับ ร้อยเรียง เพียงอักษร
ผ่านสายลม ผ่ายสายใจ ให้อาวรณ์
ก่อนจะนอน เพียงเขียน...เจียนขาดใจ
ตอนที่เธอถามผมแบบนั้น..ผมไม่เคยคิดหาคำตอบ สำหรับคำถามเด็กๆ แบบนั้น.
โดยเฉพาะคำถามจากจากเด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงสิบขวบ และมันยากเกินกว่าเด็กชายวัยเดียวกับเธอจะตอบคำถามที่ซับซ้อนลึกซึ้งได้
ผมจึงตอบง่ายๆ ว่า
“เคยบ่อยไป”
ผมหมายถึงการมองท้องฟ้า ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น เพราะส่วนใหญ่เด็กอย่างพวกเรา มองสมุด เพื่อหาคำตอบ จากสิ่งที่เรียกว่า การบ้าน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ
ผมเกือบไม่เชื่อว่าจะเห็นรอยยิ้มที่ดูดีเหลือเกิน จากเด็กวัยเดียวกัน.. และผมเชื่อว่า นั่นคือความรักครั้งแรกในชีวิตของผม
ฟังดูตลกร้ายเหลือเกิน...แต่ผมไม่เคยตลกด้วย...ความรักของผมในตอนนั้น..ไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้คุยกันเล็กๆน้อยๆ ..ไม่มากไปกว่าในวิชาวาดเขียนซึ่งคุณครูสั่งให้ออกแบบตัวอักษร ไม่มีอะไรมากไปกว่าเราจะวางรองเท้าเคียงคู่กันหน้าห้อง...(แค่นี้ก็สุขเกินพอ...)ไม่มากไปกว่าผมเขียนชื่อเธอลงในสมุดวาดเขียนโดยออกแบบอย่างดี..หลังจากนั้น เพื่อนๆ ก็จะล้อเลียนว่าเราเป็นแฟนกัน
ผมไม่รู้หรอกว่าแฟนคืออะไร..เพียงรู้ว่าผมอยู่กับเธอ ผมมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
มันเป็นความรู้สึกที่ใสสะอาด
และวันนี้ก็เช่นทุกวัน หลังเลิกเรียน ผมกับเธอเดินกลับบ้านด้วยกัน...สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี.....สะบัดพัดไหวตามสายลมหวนและแสงแดดยามบ่าย
“เห็นนั่นไหม...”
เธอชี้นิ้วให้ดูบนฟากฟ้าไกล กลุ่มนกบินรายเรียงตัดหมู่เมฆ สวยงามและมีเสน่ห์เหลือเกิน
“เห็น”
ผมตอบสั้นๆ พยายามแอบมองเธอโดยไม่ให้รู้ตัว ทำเป็นเหมือนไม่สนใจซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม
บางทีเป็นเพราะเราอายุน้อยเกินไป เกินกว่าจะบอกว่ารัก..เพราะความจริงเราเองก็ไม่รู้ว่า “รัก” คืออะไรกันแน่ แต่ผมคิดว่าผู้ใหญ่บางคนก็คงไม่รู้ความหมายนี้เช่นกัน..ผมถึงเห็นข่าว หนุ่มสาวทำร้ายกันจนฆ่ากันตาย...เพราะความหึงหวง...แบบนั้นหรือคือความรักของผู้ใหญ่...
ผมไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ
“เห็นเมฆก้อนนั้นไหม”
เธอชี้ชวนให้ผมดูก้อนเมฆ...ตอนแรกผมเองก็ไม่สนใจอะไรมากมาย.เพราะก้อนเมฆก็คือก็คือก้อนเมฆ .ไม่มีทาง เป็นอย่างอื่น จินตนาการของผมไม่ได้สูงส่งขั้นเทพแบบนั้น
“ดูให้ดี...นั่นไงแมวน่ารัก” เธอเหมือนไม่ละความพยายามในการเปิดใจให้ผมรู้ซึ้งถึงจินตภาพงดงามจากจินตนาการ และพอมองไปมองมา.ผมก็เริ่มเห็นแมวบนท้องฟ้า..ท้องฟ้าซึ่งมีหมู่เมฆสะท้อนจินตนาการเป็นเรื่องราวมากมายราวนิยายบนท้องฟ้า
“เห็นนั่นไหม.....”
เธอชี้ชวนให้ดูกลุ่มเมฆอีกก้อน คราวนี้ผมมองเห็นอสุรกายมหึมากลางคลื่นลมบ้าคลั่งในกลุ่มเมฆ
ผมมีความสุดเหลือเกิน.และเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก เป็นเรื่องมหัศจรรย์ลึกล้ำ
“เห็นนั่นไหม....”
สายตาเป็นประกายราวเหล่าดารารายเจิดจรัส นิ้วชี้ให้ดูเหนือขุนเขาและแมกไม้สายธารที่อยู่ในจินตนาการ
เพียงที่นี้คือเมืองของพวกเรา ขุนเขาแมกไม้สายธารเป็นเพียงเงาแห่งจินตนาการ
ตอนนั้นผมเริ่มเรียนรู้ว่า ขอเพียงหัวใจมีสิ่งดีๆ ที่ผู้ใหญ่คิดว่านั่นคือความรัก (ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าพวกผู้ใหญ่เข้าใจคำว่า “รัก” หรือไม่เพียงไร แต่อย่างน้อยหัวใจบริสุทธิ์และสะอาดของผมรู้คำตอบนั้น)
“รู้ไหมเอ่ยว่านั่นอะไร”
เธอชี้นิ้วอีกครั้งไปยังบริเวณกลุ่มเมฆ นัยน์ตาของเธอเป็นประกายไร้เดียงสาหรือการมองโลกในแง่ร้ายใดๆ
“นั่นมันเครื่องบิน”
ถึงเรียนไม่เก่ง ผมก็รู้ว่านั่นคือเครื่องบิน...เครื่องบินที่บินผ่านเราไปไม่บ่อยครั้งนัก เพราะเราอยู่ในเมืองหลวง มันควรปลอดภัยมากกว่าอื่น เพียงเครื่องบินลำนี้มีบางอย่างซึ่งทำให้ขนลุกแบบอธิบายไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้แน่น
ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น...รู้เพียงผมกำลังอยู่กับคนที่มีความหมาย..สุดวิเศษที่สุดในชีวิต
ไม่รู้..ไม่รับรู้..เมื่อเครื่องบินผ่านไป แสงสว่างและกลุ่มควันรูปดอกเห็ดมหึมาก่อตัวขึ้นกลางเมืองของเราหลังจากนั้น ตามด้วยพลานุภาพแห่งการทำลายล้างแบบมหาวินาศ ความร้อน รังสี และความหายนะ พวกผู้ใหญ่ไม่มีหัวใจของความรักเลยหรือย่างไร
ผมรู้ครั้งสุดท้ายว่า
“เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....”
ผมเพียงไม่ได้ร้องให้ เพราะน้ำตาเหือดแห้งไปแล้วกับไฟนรกเผาผลาญ..
แต่มือของเราไม่เคยแยกห่างจากกัน แม้เหลือเพียงเศษเสี้ยวกระดูกนิ้วมือก็ตาม มือซึ่งจับกันแน่น แทนความหมาย
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....นางฟ้าติดปิกโบยบิน
ผมเห็นรอยยิ้มของเธอกลางฟากฟ้าไกล...................เหนือซากและเถ้าถ่านของเมืองร้าง
the end.
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....
================
ราตรีนี้ มิอาจให้ ข่มใจหลับ
ลุกขยับ ร้อยเรียง เพียงอักษร
ผ่านสายลม ผ่ายสายใจ ให้อาวรณ์
ก่อนจะนอน เพียงเขียน...เจียนขาดใจ
ตอนที่เธอถามผมแบบนั้น..ผมไม่เคยคิดหาคำตอบ สำหรับคำถามเด็กๆ แบบนั้น.
โดยเฉพาะคำถามจากจากเด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงสิบขวบ และมันยากเกินกว่าเด็กชายวัยเดียวกับเธอจะตอบคำถามที่ซับซ้อนลึกซึ้งได้
ผมจึงตอบง่ายๆ ว่า
“เคยบ่อยไป”
ผมหมายถึงการมองท้องฟ้า ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น เพราะส่วนใหญ่เด็กอย่างพวกเรา มองสมุด เพื่อหาคำตอบ จากสิ่งที่เรียกว่า การบ้าน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ
ผมเกือบไม่เชื่อว่าจะเห็นรอยยิ้มที่ดูดีเหลือเกิน จากเด็กวัยเดียวกัน.. และผมเชื่อว่า นั่นคือความรักครั้งแรกในชีวิตของผม
ฟังดูตลกร้ายเหลือเกิน...แต่ผมไม่เคยตลกด้วย...ความรักของผมในตอนนั้น..ไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้คุยกันเล็กๆน้อยๆ ..ไม่มากไปกว่าในวิชาวาดเขียนซึ่งคุณครูสั่งให้ออกแบบตัวอักษร ไม่มีอะไรมากไปกว่าเราจะวางรองเท้าเคียงคู่กันหน้าห้อง...(แค่นี้ก็สุขเกินพอ...)ไม่มากไปกว่าผมเขียนชื่อเธอลงในสมุดวาดเขียนโดยออกแบบอย่างดี..หลังจากนั้น เพื่อนๆ ก็จะล้อเลียนว่าเราเป็นแฟนกัน
ผมไม่รู้หรอกว่าแฟนคืออะไร..เพียงรู้ว่าผมอยู่กับเธอ ผมมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
มันเป็นความรู้สึกที่ใสสะอาด
และวันนี้ก็เช่นทุกวัน หลังเลิกเรียน ผมกับเธอเดินกลับบ้านด้วยกัน...สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี.....สะบัดพัดไหวตามสายลมหวนและแสงแดดยามบ่าย
“เห็นนั่นไหม...”
เธอชี้นิ้วให้ดูบนฟากฟ้าไกล กลุ่มนกบินรายเรียงตัดหมู่เมฆ สวยงามและมีเสน่ห์เหลือเกิน
“เห็น”
ผมตอบสั้นๆ พยายามแอบมองเธอโดยไม่ให้รู้ตัว ทำเป็นเหมือนไม่สนใจซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม
บางทีเป็นเพราะเราอายุน้อยเกินไป เกินกว่าจะบอกว่ารัก..เพราะความจริงเราเองก็ไม่รู้ว่า “รัก” คืออะไรกันแน่ แต่ผมคิดว่าผู้ใหญ่บางคนก็คงไม่รู้ความหมายนี้เช่นกัน..ผมถึงเห็นข่าว หนุ่มสาวทำร้ายกันจนฆ่ากันตาย...เพราะความหึงหวง...แบบนั้นหรือคือความรักของผู้ใหญ่...
ผมไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ
“เห็นเมฆก้อนนั้นไหม”
เธอชี้ชวนให้ผมดูก้อนเมฆ...ตอนแรกผมเองก็ไม่สนใจอะไรมากมาย.เพราะก้อนเมฆก็คือก็คือก้อนเมฆ .ไม่มีทาง เป็นอย่างอื่น จินตนาการของผมไม่ได้สูงส่งขั้นเทพแบบนั้น
“ดูให้ดี...นั่นไงแมวน่ารัก” เธอเหมือนไม่ละความพยายามในการเปิดใจให้ผมรู้ซึ้งถึงจินตภาพงดงามจากจินตนาการ และพอมองไปมองมา.ผมก็เริ่มเห็นแมวบนท้องฟ้า..ท้องฟ้าซึ่งมีหมู่เมฆสะท้อนจินตนาการเป็นเรื่องราวมากมายราวนิยายบนท้องฟ้า
“เห็นนั่นไหม.....”
เธอชี้ชวนให้ดูกลุ่มเมฆอีกก้อน คราวนี้ผมมองเห็นอสุรกายมหึมากลางคลื่นลมบ้าคลั่งในกลุ่มเมฆ
ผมมีความสุดเหลือเกิน.และเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก เป็นเรื่องมหัศจรรย์ลึกล้ำ
“เห็นนั่นไหม....”
สายตาเป็นประกายราวเหล่าดารารายเจิดจรัส นิ้วชี้ให้ดูเหนือขุนเขาและแมกไม้สายธารที่อยู่ในจินตนาการ
เพียงที่นี้คือเมืองของพวกเรา ขุนเขาแมกไม้สายธารเป็นเพียงเงาแห่งจินตนาการ
ตอนนั้นผมเริ่มเรียนรู้ว่า ขอเพียงหัวใจมีสิ่งดีๆ ที่ผู้ใหญ่คิดว่านั่นคือความรัก (ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าพวกผู้ใหญ่เข้าใจคำว่า “รัก” หรือไม่เพียงไร แต่อย่างน้อยหัวใจบริสุทธิ์และสะอาดของผมรู้คำตอบนั้น)
“รู้ไหมเอ่ยว่านั่นอะไร”
เธอชี้นิ้วอีกครั้งไปยังบริเวณกลุ่มเมฆ นัยน์ตาของเธอเป็นประกายไร้เดียงสาหรือการมองโลกในแง่ร้ายใดๆ
“นั่นมันเครื่องบิน”
ถึงเรียนไม่เก่ง ผมก็รู้ว่านั่นคือเครื่องบิน...เครื่องบินที่บินผ่านเราไปไม่บ่อยครั้งนัก เพราะเราอยู่ในเมืองหลวง มันควรปลอดภัยมากกว่าอื่น เพียงเครื่องบินลำนี้มีบางอย่างซึ่งทำให้ขนลุกแบบอธิบายไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้แน่น
ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น...รู้เพียงผมกำลังอยู่กับคนที่มีความหมาย..สุดวิเศษที่สุดในชีวิต
ไม่รู้..ไม่รับรู้..เมื่อเครื่องบินผ่านไป แสงสว่างและกลุ่มควันรูปดอกเห็ดมหึมาก่อตัวขึ้นกลางเมืองของเราหลังจากนั้น ตามด้วยพลานุภาพแห่งการทำลายล้างแบบมหาวินาศ ความร้อน รังสี และความหายนะ พวกผู้ใหญ่ไม่มีหัวใจของความรักเลยหรือย่างไร
ผมรู้ครั้งสุดท้ายว่า
“เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....”
ผมเพียงไม่ได้ร้องให้ เพราะน้ำตาเหือดแห้งไปแล้วกับไฟนรกเผาผลาญ..
แต่มือของเราไม่เคยแยกห่างจากกัน แม้เหลือเพียงเศษเสี้ยวกระดูกนิ้วมือก็ตาม มือซึ่งจับกันแน่น แทนความหมาย
เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม....นางฟ้าติดปิกโบยบิน
ผมเห็นรอยยิ้มของเธอกลางฟากฟ้าไกล...................เหนือซากและเถ้าถ่านของเมืองร้าง
the end.