มีคำถามติดตลก แต่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทยได้เป็น
อย่างดีอยู่ข้อหนึ่ง คำถามที่ว่านั้นคือ “นักการเมืองไทยกินอะไรเป็นเหยื่อ ?
” คำตอบคือ “คนโง่ และคนไร้สติ ยิ่งโง่ และไร้สติมาก ๆ ก็จะกลายเป็น
เหยื่อของนักการเมืองมากขึ้นเท่านั้น”
ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำถามและคำตอบที่ว่านี้
สาเหตุที่หยิบยกเรื่องนี้มาชวนคุณคิดในสัปดาห์นี้ก็เพราะผู้เขียนได้อ่าน
จดหมายของผู้ต้องขังรายหนึ่ง คือคุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล เขียนมาจาก
แดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ลาดยาว ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าคุณธันย์ฐวุฒิ
เขียนหนังสือด้วยลายมือที่ค่อนข้างสวยและมีระเบียบมาก
เนื้อหาของจดหมายก็พูดถึงเรื่องคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองที่ต้องเข้าไปอยู่
ร่วมคุกเดียวกัน แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากัน แต่สุดท้ายก็สามารถทำ
ความเข้าใจกันได้ และพูดถึงการที่มีคนบางกลุ่มไปเยี่ยมเยียนคนเสื้อแดงในคุก
แล้วทำให้คนเสื้อแดงในคุกรู้สึกอบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ รู้สึกเหมือนว่าไม่ถูก
ทอดทิ้งให้เดียวดายจนเกินไป
เนื้อหาในจดหมายสื่อสะท้อนให้เห็นชัด ๆ ว่าคนในคุกเดียวกัน แต่มาจากกลุ่ม
คนที่สวมเสื้อคนละสี มีความคิดและมุมมองทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกัน
ซึ่งก็คือมีความขัดแย้งกันทางการเมืองนั่นเอง
ผู้เขียนอยากให้คุณ ๆ ได้อ่านเนื้อหาบางตอนในจดหมายนี้
..... ผมมีเรื่องที่ค้างอยู่ในปีเก่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากนำมาแชร์ให้คุณอานนท์ที่น่า
จะได้ข่าวตามสื่อบ้าง คือ เรื่องพันธมิตรที่โดนคดีขับรถเหยียบตำรวจเมื่อปี 2551
และโดนตัดสินมา 34 ปี และเขาเข้ามาที่นี่ด้วย ผมได้รู้จักกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากอัตราโทษเกิน 15 ปี เขาคน
นี้ชื่อ ปรีชา ตรีจรูญ
หลังจากมีข่าวนี้มา เราบางส่วนในนี้ต่างซุบซิบกันว่า จะทำอะไรยังไงกับเขามั้ย
เพื่อสั่งสอน แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น พวกเสื้อแดงบางคน (ส่วนน้อย) มีการ
แสดงออกถึงความเจ็บแค้นต้องการข่มขู่ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ สุรชัย
(ด่านวัฒนานุสรณ์) และผมได้ช่วยกันทำความเข้าใจ ถึงความแตกต่างทางความคิด
ต่างสี แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผมกับสุรชัย โดนพวกเราบางคนพูดจาถากถาง
แดกดันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
ความจริงแล้ว ด้วยความยาวนานที่พวกเราอยู่กันมาในนี้ มันสามารถจะทำอะไร
ก็ได้ สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แต่พวกเราเลือกที่จะเห็นใจกัน แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้าม
ผมนึกถึงสภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบในนี้แล้ว ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น
กับใครอีก โดยเฉพาะคนที่ถูกคดีทางการเมืองอย่างพวกเรา
พี่ปรีชาเป็นคนตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ รูปร่างเล็กกว่าผมอีก อายุ 50 กว่า ๆ ผมสีเทา
คือขาวเกินครึ่งในสายตาผม เขาดูเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ เราแทบไม่เชื่อเลยว่า
จะเป็นคน ๆ นี้ เช้าวันแรกที่เขาเข้ามา เขาดูกลัวมาก ๆ ต้น วรกฤต เชียงใหม่ 51
เป็นคนแนะนำให้เรารู้จัก ซึ่งผมก็บอกกับเขาตรง ๆ ว่าเราเป็นเสื้อแดง เขาก็ยกมือ
ไหว้เราด้วยความเกรง ๆ ผมพาเขาไปพบกับสุรชัย ซึ่งก็ให้ความอุ่นใจกับเขาได้
เยอะ เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน ความทุกข์กัน ในช่วงเวลา 3-4 วันก่อนที่เขา
จะย้ายไปคลองเปรม จนทำให้รู้ว่าเขากับเราต่างก็เป็นเหยื่อทางการเมืองเหมือนกัน
ผมได้บอกเล่าเรื่องของพี่ปรีชาให้กับคนที่มาเยี่ยมได้ทราบ หลายคนเมื่อทราบแล้ว
ก็มีอาการโกรธแค้นและสมน้ำหน้า แสดงอาการสะใจได้อย่างชัดเจน ผู้ต้องขัง
เสื้อแดงบางคน (ขอย้ำว่าบางคน) ก็พยายามให้คนเสื้อแดงบางคนในพวกเราทำ
การสั่งสอนและข่มขู่เขาอยู่ตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้
มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดยไม่คำนึง
ถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง
อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็น
พี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม
พี่ปรีชาอาจเป็นเพื่อนต่างสีที่วันนี้เขาได้รับกรรมกันไปแล้ว และที่ผ่านมาเขาเอง
ก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข ตลอด 3-4 ปีที่เขาต่อสู้คดีข้างนอก เขาเองก็ต้องอยู่อย่าง
หลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนกัน จะเข้าออกบ้านก็ต้องระมัดระวัง เพราะมีคนที่ไม่ชอบ
อยู่เยอะเหมือนกัน อีกทั้งเขายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียดวงตา
ด้านขวา ที่มีผลต่อการเดิน การหยิบจับสิ่งของ แม้จะผ่านไปหลายปีเขาก็ยังต้อง
ปรับตัวอยู่ จำนวนเงิน 3 ล้านบาทที่เขาได้รับการเยียวยาจากการสูญเสียดวงตา
เขาบอกว่ามันไม่คุ้มเลย เขาขอมีอวัยวะครบจะดีกว่า
เราทั้งสองฝ่ายมาไกลกันเกินไปแล้วจริงๆ หรือ มันกลับไปเหมือนก่อนไม่ได้แล้ว
จริงๆ หรือ เห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่ มีบางตอนที่ว่า “คนเรามีความ
คิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันอย่างฉันมิตร ประเทศชาติก็ไม่เสียหาย”
ซึ่งผมเห็นด้วยมาก ๆ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้พวกเราทุกคนคิดหาทางออก
ให้ประเทศเรา ด้วยการคิดให้โอกาสกันให้อภัยกัน แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนดัดจริต
ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศนี้ คนในประเทศนี้ อยู่กันอย่าง
สงบสุขต่อไปได้
วันที่พี่ปรีชามีคำสั่งย้ายไปคลองเปรม ผมออกไปเยี่ยมญาติ พร้อมสุรชัย พี่ปรีชา
จะเข้ามาลาผมและขอบคุณผมและสุรชัยที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด เขาเดิน
เข้ามาในห้องสมุดที่ปกติผมจะนั่งอยู่ในนี้แล้วถามหาผม ปรากฏว่าเขาถูกพวกเรา
บางคนด่าทอด้วยความโกรธแค้น
ผมได้จับมือร่ำลาเขาก่อนจะย้ายไปคลองเปรมด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยไม่ต้อง
พูดอะไรมาก .....
เมื่ออ่านจดหมายตอนนี้แล้ว ผู้เขียนรู้สึกสงสารเจ้าของจดหมาย และคนที่ถูกกล่าว
ถึงในจดหมายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารประเทศไทย และสงสาร
คนไทย และยอมรับโดยดุษณีว่า คนไทยกลายเป็นเหยื่อการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว
..... มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดย
ไม่คำนึงถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธ
แค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน
เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม .....
http://www.naewna.com/politic/columnist/5014
อ่านจบ ก็ต้องถามผู้เขียนว่า ได้คิดถึงทุกๆข้อเขียนของตัวเองบ้าง
หรือเปล่า และรวมถึงทุกคอลัมน์ของ "แนวหน้า" ที่เขียนไปนั้นได้
บ่มเพาะความเกลียดชัง เข้าไปในหัวใจของผู้คนมากน้อยเพียงใด
รู้ว่าว่าเขารัก "คุณทักษิณ" ก็เรียกขานว่า "นช.แม้ว" ซะทุกครั้ง
ที่จะเอ่ยชื่อ ไม่ชอบใจ ก็หาว่า "เขาขายชาติ" "โกงชาติ"
ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ...มีสักวันไหม ที่ไม่ "ด่าแม้ว แซวปู"
คำไหน ที่คิดว่า หยาบคาย ก็หยิบยกมาให้สมญานาม คนที่เขา
เลือก..รัก พี่ว่า สื่อนี่แหละ ...ตัวดี...เพราะไม่ใช่แค่วิจารณ์ แต่มัน
เข้าขั้น ปลุกระดม ให้เกิดความเกลียดชังกัน ทีเดียว
ถามคนข้างตัวเล่น ๆ ขายก็ไม่ออก แล้วมันอยู่ได้ยังไง ?
อ๋อ ...เขามีงบประมาณ ...เพราะสื่อแบบนี้ ...มีหน้าที่ ....
หน้าที่อะไร ? เพื่อนๆ น่าจะตอบได้นะคะ .....
คุณร้อนหนาว อยู่ไหน ...แนวหน้า...มาแล้ว...ค่ะ .....
เมื่อคนไทยไร้สติย่อมกลายเป็นเหยื่อนักการเมือง ...เขียนให้คิด..เฉลิมชัย ยอดมาลัย...แนวหน้าออนไลน์
อย่างดีอยู่ข้อหนึ่ง คำถามที่ว่านั้นคือ “นักการเมืองไทยกินอะไรเป็นเหยื่อ ?
” คำตอบคือ “คนโง่ และคนไร้สติ ยิ่งโง่ และไร้สติมาก ๆ ก็จะกลายเป็น
เหยื่อของนักการเมืองมากขึ้นเท่านั้น”
ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำถามและคำตอบที่ว่านี้
สาเหตุที่หยิบยกเรื่องนี้มาชวนคุณคิดในสัปดาห์นี้ก็เพราะผู้เขียนได้อ่าน
จดหมายของผู้ต้องขังรายหนึ่ง คือคุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล เขียนมาจาก
แดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ลาดยาว ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าคุณธันย์ฐวุฒิ
เขียนหนังสือด้วยลายมือที่ค่อนข้างสวยและมีระเบียบมาก
เนื้อหาของจดหมายก็พูดถึงเรื่องคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองที่ต้องเข้าไปอยู่
ร่วมคุกเดียวกัน แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากัน แต่สุดท้ายก็สามารถทำ
ความเข้าใจกันได้ และพูดถึงการที่มีคนบางกลุ่มไปเยี่ยมเยียนคนเสื้อแดงในคุก
แล้วทำให้คนเสื้อแดงในคุกรู้สึกอบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ รู้สึกเหมือนว่าไม่ถูก
ทอดทิ้งให้เดียวดายจนเกินไป
เนื้อหาในจดหมายสื่อสะท้อนให้เห็นชัด ๆ ว่าคนในคุกเดียวกัน แต่มาจากกลุ่ม
คนที่สวมเสื้อคนละสี มีความคิดและมุมมองทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกัน
ซึ่งก็คือมีความขัดแย้งกันทางการเมืองนั่นเอง
ผู้เขียนอยากให้คุณ ๆ ได้อ่านเนื้อหาบางตอนในจดหมายนี้
..... ผมมีเรื่องที่ค้างอยู่ในปีเก่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากนำมาแชร์ให้คุณอานนท์ที่น่า
จะได้ข่าวตามสื่อบ้าง คือ เรื่องพันธมิตรที่โดนคดีขับรถเหยียบตำรวจเมื่อปี 2551
และโดนตัดสินมา 34 ปี และเขาเข้ามาที่นี่ด้วย ผมได้รู้จักกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากอัตราโทษเกิน 15 ปี เขาคน
นี้ชื่อ ปรีชา ตรีจรูญ
หลังจากมีข่าวนี้มา เราบางส่วนในนี้ต่างซุบซิบกันว่า จะทำอะไรยังไงกับเขามั้ย
เพื่อสั่งสอน แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น พวกเสื้อแดงบางคน (ส่วนน้อย) มีการ
แสดงออกถึงความเจ็บแค้นต้องการข่มขู่ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ สุรชัย
(ด่านวัฒนานุสรณ์) และผมได้ช่วยกันทำความเข้าใจ ถึงความแตกต่างทางความคิด
ต่างสี แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผมกับสุรชัย โดนพวกเราบางคนพูดจาถากถาง
แดกดันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ
ความจริงแล้ว ด้วยความยาวนานที่พวกเราอยู่กันมาในนี้ มันสามารถจะทำอะไร
ก็ได้ สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แต่พวกเราเลือกที่จะเห็นใจกัน แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้าม
ผมนึกถึงสภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบในนี้แล้ว ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น
กับใครอีก โดยเฉพาะคนที่ถูกคดีทางการเมืองอย่างพวกเรา
พี่ปรีชาเป็นคนตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ รูปร่างเล็กกว่าผมอีก อายุ 50 กว่า ๆ ผมสีเทา
คือขาวเกินครึ่งในสายตาผม เขาดูเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ เราแทบไม่เชื่อเลยว่า
จะเป็นคน ๆ นี้ เช้าวันแรกที่เขาเข้ามา เขาดูกลัวมาก ๆ ต้น วรกฤต เชียงใหม่ 51
เป็นคนแนะนำให้เรารู้จัก ซึ่งผมก็บอกกับเขาตรง ๆ ว่าเราเป็นเสื้อแดง เขาก็ยกมือ
ไหว้เราด้วยความเกรง ๆ ผมพาเขาไปพบกับสุรชัย ซึ่งก็ให้ความอุ่นใจกับเขาได้
เยอะ เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน ความทุกข์กัน ในช่วงเวลา 3-4 วันก่อนที่เขา
จะย้ายไปคลองเปรม จนทำให้รู้ว่าเขากับเราต่างก็เป็นเหยื่อทางการเมืองเหมือนกัน
ผมได้บอกเล่าเรื่องของพี่ปรีชาให้กับคนที่มาเยี่ยมได้ทราบ หลายคนเมื่อทราบแล้ว
ก็มีอาการโกรธแค้นและสมน้ำหน้า แสดงอาการสะใจได้อย่างชัดเจน ผู้ต้องขัง
เสื้อแดงบางคน (ขอย้ำว่าบางคน) ก็พยายามให้คนเสื้อแดงบางคนในพวกเราทำ
การสั่งสอนและข่มขู่เขาอยู่ตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้
มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดยไม่คำนึง
ถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง
อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็น
พี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม
พี่ปรีชาอาจเป็นเพื่อนต่างสีที่วันนี้เขาได้รับกรรมกันไปแล้ว และที่ผ่านมาเขาเอง
ก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข ตลอด 3-4 ปีที่เขาต่อสู้คดีข้างนอก เขาเองก็ต้องอยู่อย่าง
หลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนกัน จะเข้าออกบ้านก็ต้องระมัดระวัง เพราะมีคนที่ไม่ชอบ
อยู่เยอะเหมือนกัน อีกทั้งเขายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียดวงตา
ด้านขวา ที่มีผลต่อการเดิน การหยิบจับสิ่งของ แม้จะผ่านไปหลายปีเขาก็ยังต้อง
ปรับตัวอยู่ จำนวนเงิน 3 ล้านบาทที่เขาได้รับการเยียวยาจากการสูญเสียดวงตา
เขาบอกว่ามันไม่คุ้มเลย เขาขอมีอวัยวะครบจะดีกว่า
เราทั้งสองฝ่ายมาไกลกันเกินไปแล้วจริงๆ หรือ มันกลับไปเหมือนก่อนไม่ได้แล้ว
จริงๆ หรือ เห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่ มีบางตอนที่ว่า “คนเรามีความ
คิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันอย่างฉันมิตร ประเทศชาติก็ไม่เสียหาย”
ซึ่งผมเห็นด้วยมาก ๆ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้พวกเราทุกคนคิดหาทางออก
ให้ประเทศเรา ด้วยการคิดให้โอกาสกันให้อภัยกัน แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนดัดจริต
ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศนี้ คนในประเทศนี้ อยู่กันอย่าง
สงบสุขต่อไปได้
วันที่พี่ปรีชามีคำสั่งย้ายไปคลองเปรม ผมออกไปเยี่ยมญาติ พร้อมสุรชัย พี่ปรีชา
จะเข้ามาลาผมและขอบคุณผมและสุรชัยที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด เขาเดิน
เข้ามาในห้องสมุดที่ปกติผมจะนั่งอยู่ในนี้แล้วถามหาผม ปรากฏว่าเขาถูกพวกเรา
บางคนด่าทอด้วยความโกรธแค้น
ผมได้จับมือร่ำลาเขาก่อนจะย้ายไปคลองเปรมด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยไม่ต้อง
พูดอะไรมาก .....
เมื่ออ่านจดหมายตอนนี้แล้ว ผู้เขียนรู้สึกสงสารเจ้าของจดหมาย และคนที่ถูกกล่าว
ถึงในจดหมายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารประเทศไทย และสงสาร
คนไทย และยอมรับโดยดุษณีว่า คนไทยกลายเป็นเหยื่อการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว
..... มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดย
ไม่คำนึงถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธ
แค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน
เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม .....
http://www.naewna.com/politic/columnist/5014
อ่านจบ ก็ต้องถามผู้เขียนว่า ได้คิดถึงทุกๆข้อเขียนของตัวเองบ้าง
หรือเปล่า และรวมถึงทุกคอลัมน์ของ "แนวหน้า" ที่เขียนไปนั้นได้
บ่มเพาะความเกลียดชัง เข้าไปในหัวใจของผู้คนมากน้อยเพียงใด
รู้ว่าว่าเขารัก "คุณทักษิณ" ก็เรียกขานว่า "นช.แม้ว" ซะทุกครั้ง
ที่จะเอ่ยชื่อ ไม่ชอบใจ ก็หาว่า "เขาขายชาติ" "โกงชาติ"
ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ...มีสักวันไหม ที่ไม่ "ด่าแม้ว แซวปู"
คำไหน ที่คิดว่า หยาบคาย ก็หยิบยกมาให้สมญานาม คนที่เขา
เลือก..รัก พี่ว่า สื่อนี่แหละ ...ตัวดี...เพราะไม่ใช่แค่วิจารณ์ แต่มัน
เข้าขั้น ปลุกระดม ให้เกิดความเกลียดชังกัน ทีเดียว
ถามคนข้างตัวเล่น ๆ ขายก็ไม่ออก แล้วมันอยู่ได้ยังไง ?
อ๋อ ...เขามีงบประมาณ ...เพราะสื่อแบบนี้ ...มีหน้าที่ ....
หน้าที่อะไร ? เพื่อนๆ น่าจะตอบได้นะคะ .....
คุณร้อนหนาว อยู่ไหน ...แนวหน้า...มาแล้ว...ค่ะ .....