กรณีที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศยกระดับยาอัลปราโซแลม หรือที่รู้จักกันว่า “ยาเสียสาว” เนื่องจากมีการนำยานี้ไปใช้มอมผู้หญิงแล้วนำไปข่มขืนนั้น โดยจะมีการยกระดับให้ยานี้จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 จากเดิมที่ยานี้จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 โดยให้มีผล ในวันที่ 17 มิถุนายน 2556
เมื่อวันที่ 18 มกราคม ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผู้อำนวยการควบคุมวัตถุเสพติด อย. กล่าวว่า สำหรับตัวยาอัลปราโซแลมนั้นมีด้วยกัน 3 ขนาด คือชนิด 0.25 มิลลิกรัม 0.5 มิลลิกรัม และ 1.0 มิลลิกรัม โดยตั้งแต่ปี 2552-2555 มียอดใช้ยานี้ตามร้านขายยาที่มีใบอนุญาตให้ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เฉลี่ยปีละ 2-3 ล้านเม็ด ในยาอัลปราโซแลมทุกขนาด ซึ่งไม่ถือว่ามีการใช้ยานี้สูงผิดปกติ แต่การที่ อย.ต้องดำเนินการยกระดับให้ยานี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เนื่องจากเห็นว่ามีการนำยานี้ไปใช้ในทางที่ผิดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องดำเนินการควบคุมให้มีจำหน่ายเฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนมีใบอนุญาตให้ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 เท่านั้น
ภก.ประพนธ์กล่าวต่อว่า การยกระดับยาดังกล่าวเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 นั้น ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ดังนั้น ในช่วงนี้ยาอัลปราโซแลมจะยังถือว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 อยู่ โดยจะมีเวลาให้ร้านขายยาทยอยคืนยานี้ไปยังบริษัทผู้ผลิต และบริษัทผู้นำเข้า จนถึงวันที่ 17 มิถุนายน หากหลังจากนี้ ยังพบว่าร้านขายยาใดครอบครองยาดังกล่าวจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมาตรการนี้จะเป็นมาตรการเดียวกันกับที่ใช้ควบคุมการใช้ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน คาดว่าจะยังคงมียาอัลปราโซแลมค้างสต๊อกอยู่ตามร้านขายยาต่างๆประมาณ 5-6 แสนเม็ดเท่านั้น เพราะโดยปกติแล้วร้านขายยามักจะไม่ให้ยาค้างสต๊อกนานกว่า 5-6 เดือน
ข่าวจาก : ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9EUTVPVFl3TUE9PQ==&subcatid=
อย.เข้มคุม"ยาเสียสาว" มีผล 17 มิ.ย. สั่งกวาดยาค้างสต๊อก 5-6 แสนเม็ด
เมื่อวันที่ 18 มกราคม ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผู้อำนวยการควบคุมวัตถุเสพติด อย. กล่าวว่า สำหรับตัวยาอัลปราโซแลมนั้นมีด้วยกัน 3 ขนาด คือชนิด 0.25 มิลลิกรัม 0.5 มิลลิกรัม และ 1.0 มิลลิกรัม โดยตั้งแต่ปี 2552-2555 มียอดใช้ยานี้ตามร้านขายยาที่มีใบอนุญาตให้ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เฉลี่ยปีละ 2-3 ล้านเม็ด ในยาอัลปราโซแลมทุกขนาด ซึ่งไม่ถือว่ามีการใช้ยานี้สูงผิดปกติ แต่การที่ อย.ต้องดำเนินการยกระดับให้ยานี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เนื่องจากเห็นว่ามีการนำยานี้ไปใช้ในทางที่ผิดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องดำเนินการควบคุมให้มีจำหน่ายเฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนมีใบอนุญาตให้ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 เท่านั้น
ภก.ประพนธ์กล่าวต่อว่า การยกระดับยาดังกล่าวเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 นั้น ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ดังนั้น ในช่วงนี้ยาอัลปราโซแลมจะยังถือว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 4 อยู่ โดยจะมีเวลาให้ร้านขายยาทยอยคืนยานี้ไปยังบริษัทผู้ผลิต และบริษัทผู้นำเข้า จนถึงวันที่ 17 มิถุนายน หากหลังจากนี้ ยังพบว่าร้านขายยาใดครอบครองยาดังกล่าวจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมาตรการนี้จะเป็นมาตรการเดียวกันกับที่ใช้ควบคุมการใช้ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน คาดว่าจะยังคงมียาอัลปราโซแลมค้างสต๊อกอยู่ตามร้านขายยาต่างๆประมาณ 5-6 แสนเม็ดเท่านั้น เพราะโดยปกติแล้วร้านขายยามักจะไม่ให้ยาค้างสต๊อกนานกว่า 5-6 เดือน
ข่าวจาก : ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU9EUTVPVFl3TUE9PQ==&subcatid=