ต่อเนื่องจากกระทู้
http://ppantip.com/topic/30048904
พระเวสสันดร
เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด
เพราะ
1) ในชาติแรกที่เป็นนิตยโพธิสัตว์
(สัตว์ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนแล้วในอนาคต)
เป็นสุเมธดาบส
มีความพร้อมจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้แล้ว(เอาตัวเองรอดได้แล้ว)
แต่เลือกที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งต้องบำเบ็ญบารมีขั้นอุกฤษ์ ทุกข์ทรมานในสังสารวัฏฏ์
อีก 4อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ ( อสงไขยเท่ากับประมาณ10 ยกกำลัง140)
ซึ่งมหากัปป์หนึ่งๆเท่ากับจักรวาลเกิดดับหนึ่งรอบ
การบำเพ็ญบารมีนั้นเป็นการพัฒนาตนเองทุกๆด้าน
เพื่อลดความเห็นแก่ตัวจนไปสู่ความไม่มีอะไร
การเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราว
ที่เกิดมาแล้วจะมีศักยภาพสูงสุดในจักรวาล
ที่จะช่วยเหลือสัตว์ได้มากที่สุดอย่างไม่มีอะไรยิ่งกว่า
ช่วยให้สัตว์กลุ่มหนึ่งพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง(พระอรหันต์)
อีกกลุ่มใหญ่จะพ้นทุกข์แน่ๆในอนาคต(พระอริยะทั้งหลาย)
สัตว์จำนวนมากคือเทวดาและมนุษย์
จะเกิดปัญญาสะสมพัฒนาตนเพื่อจะบรรลุต่อไปในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป
โลกมนุษย์ยุคนั้นๆ มีคุณธรรมมาก มีความสุขกว่าสมัยใดๆ
เพราะผลกระทบที่เป็นลูกโซ่จากการเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา
เพียงพระองค์เดียว ในจักรวาลนั้นๆมีเป็นอนันต์
2) การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าทำกันเป็นทีม(มหาสาวก)
ต้้ังใจทำกันข้ามภพชาติ ต่างอธิฐานร่วมกันมา
ลูกเมียของนิตยโพธิสัตว์ก็รู้ว่าตนจะเจออะไรในอนาคต
จะต้องตกนรก กี่ขุมก็ต้องจูงกันไป
ต้องเข้าใจว่า คนกลุ่มนี้มีความต้ังใจทำงานระดับใหญ่
การระลึกชาติได้ของคนกลุ่มนี้เกิดขึ้นตลอดเส้นทาง
พระโพธิสัตว์และลูกเมีย ในชาติพระเวสสันดร
ทราบว่าตนกำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณ
บททดสอบนี้อย่างไรก็ต้องผ่าน
ชาตินี้ไม่ผ่านก็ต้องกลับมาทำอีก
คู่บารมีก็ทราบเรื่องนี้ดี
3). การกระทำทั้งหมดนี้นั้น
ก็เพื่อผู้อื่นทั้งสิ้น
สุดท้ายตนเองไม่ต้องการอะไร(สิ้นตัญหา)
และก็ไม่ได้อะไร(ปรินิพพาน)
ทำเพื่อหมู่สัตว์ที่ตนไม่รู้จัก ไม่เลือกหน้า
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ขุมนรกอยู่ข้างหน้า ก็จะเดินเข้าไป
เนื้อตัวเองก็พร้อมจะเชือนให้คนอื่นกินได้
ศีรษะตนเองหากจะช่วยใครได้อย่างคุ้มค่าก็จะตัดให้
บุคคลเช่นนี้หากอยู่ตรงหน้าเรา
เราจะต้องทรุดลงกราบ
เอาผมของเราเช็ดเท้าให้ท่านครับ
พระเวสสันดร ผู้ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด
พระเวสสันดร
เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด
เพราะ
1) ในชาติแรกที่เป็นนิตยโพธิสัตว์
(สัตว์ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนแล้วในอนาคต)
เป็นสุเมธดาบส
มีความพร้อมจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้แล้ว(เอาตัวเองรอดได้แล้ว)
แต่เลือกที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งต้องบำเบ็ญบารมีขั้นอุกฤษ์ ทุกข์ทรมานในสังสารวัฏฏ์
อีก 4อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ ( อสงไขยเท่ากับประมาณ10 ยกกำลัง140)
ซึ่งมหากัปป์หนึ่งๆเท่ากับจักรวาลเกิดดับหนึ่งรอบ
การบำเพ็ญบารมีนั้นเป็นการพัฒนาตนเองทุกๆด้าน
เพื่อลดความเห็นแก่ตัวจนไปสู่ความไม่มีอะไร
การเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงสภาวะชั่วคราว
ที่เกิดมาแล้วจะมีศักยภาพสูงสุดในจักรวาล
ที่จะช่วยเหลือสัตว์ได้มากที่สุดอย่างไม่มีอะไรยิ่งกว่า
ช่วยให้สัตว์กลุ่มหนึ่งพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง(พระอรหันต์)
อีกกลุ่มใหญ่จะพ้นทุกข์แน่ๆในอนาคต(พระอริยะทั้งหลาย)
สัตว์จำนวนมากคือเทวดาและมนุษย์
จะเกิดปัญญาสะสมพัฒนาตนเพื่อจะบรรลุต่อไปในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป
โลกมนุษย์ยุคนั้นๆ มีคุณธรรมมาก มีความสุขกว่าสมัยใดๆ
เพราะผลกระทบที่เป็นลูกโซ่จากการเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา
เพียงพระองค์เดียว ในจักรวาลนั้นๆมีเป็นอนันต์
2) การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าทำกันเป็นทีม(มหาสาวก)
ต้้ังใจทำกันข้ามภพชาติ ต่างอธิฐานร่วมกันมา
ลูกเมียของนิตยโพธิสัตว์ก็รู้ว่าตนจะเจออะไรในอนาคต
จะต้องตกนรก กี่ขุมก็ต้องจูงกันไป
ต้องเข้าใจว่า คนกลุ่มนี้มีความต้ังใจทำงานระดับใหญ่
การระลึกชาติได้ของคนกลุ่มนี้เกิดขึ้นตลอดเส้นทาง
พระโพธิสัตว์และลูกเมีย ในชาติพระเวสสันดร
ทราบว่าตนกำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณ
บททดสอบนี้อย่างไรก็ต้องผ่าน
ชาตินี้ไม่ผ่านก็ต้องกลับมาทำอีก
คู่บารมีก็ทราบเรื่องนี้ดี
3). การกระทำทั้งหมดนี้นั้น
ก็เพื่อผู้อื่นทั้งสิ้น
สุดท้ายตนเองไม่ต้องการอะไร(สิ้นตัญหา)
และก็ไม่ได้อะไร(ปรินิพพาน)
ทำเพื่อหมู่สัตว์ที่ตนไม่รู้จัก ไม่เลือกหน้า
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ขุมนรกอยู่ข้างหน้า ก็จะเดินเข้าไป
เนื้อตัวเองก็พร้อมจะเชือนให้คนอื่นกินได้
ศีรษะตนเองหากจะช่วยใครได้อย่างคุ้มค่าก็จะตัดให้
บุคคลเช่นนี้หากอยู่ตรงหน้าเรา
เราจะต้องทรุดลงกราบ
เอาผมของเราเช็ดเท้าให้ท่านครับ