การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนก็พอจะรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากถึงยากที่สุด หลายคนที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าแต่สุดท้ายก็ขอลาพุทธภูมิไป เพราะเส้นทางที่จะเดินทางไปเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องเจออุปสรรคขวากหนามอย่างนับไม่ถ้วน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแบบนับครั้งไม่ได้ ต้องสละทั้งเลือดเนื้อชีวิตและประสบกับความทุกข์ยากลำบากกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายในสังสารวัฏนี้แบบชั่วกัปป์ชั่วกัลป์จนไม่รู้ว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้เมื่อไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่
1.พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
2.พระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 40 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
3.พระวิริยะธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 80 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
ระยะเวลา 1 อสงไขย = 1 แล้วตามด้วย 0 จำนวน 140 ตัว ปี
ระยะเวลา 1 มหากัปป์ = สามร้อยยี่สิบเจ็ดล้านหกแสนแปดหมื่นล้านล้านล้านล้าน ปี
จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาในการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นช่างนานเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เอาเป็นว่าตัวเลขข้างบนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญกว่าคือ ใจที่พร้อมมุ่งสร้างบารมีอย่างไม่ย่อท้อกับเวลามากกว่า ใครที่คิดจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าก็ให้สร้างไปแบบไม่ต้องสนใจระยะเวลาว่าจะนานแค่ไหน นานเท่าไร
รู้แต่เพียงว่า ทำความดีไปเรื่อยๆ นานเท่าไรเท่ากัน สำเร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น เพราะเหมือนจะต้องอยู่ในสังสารวัฏแบบอย่างเป็นอมตะไม่รู้จักจบจักสิ้น
ครูบาอาจารย์กรรมฐานบางท่านได้สอนว่า เวลาเราปลีกวิเวกเข้ากรรมฐาน เราไม่ต้องไปตั้งเป้าเลยว่า เราจะฝึกกรรมฐานซัก 1 เดือนหรือจะฝึกซัก 3 เดือน เพราะจะทำให้จิตเราไปกระวนกระวายกับเรื่องเวลา เพ่งเล็งเรื่องเวลา
ตอนเข้ากรรมฐานนั้นให้เราอยู่กับปัจจุบัน เจริญสติให้อยู่กับปัจจุบันก็พอ ทำความดีให้ได้มากที่สุดในขณะที่เราได้หายใจอยู่เท่านั้นพอ ถ้าสติเราอยู่กับปัจจุบันได้ดีต่อเนื่อง จิตของเราก็จะไม่กระวนกระวายกับอดีตและอนาคต จิตทรงตัวอยู่กับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ไม่เกิดความทุกข์ร้อนกับระยะเวลาในการสร้างบารมี
การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ถ้าคิดจะสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ก็ให้ศึกษาว่าความดีในพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง แล้วก็ทำตามคำสอนอย่างเต็มที่ไปเรื่อยๆแบบไม่ต้องสนใจกับอนาคต รู้ไว้ว่าเราทำความดีในเวลานี้ให้ดีที่สุดก็พอ
การสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าต้องเสียสละทั้งอวัยวะ เลือด เนื้อ และชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน
เปรียบเทียบความทุกข์ยากลำบากดั่ง การเดินจากจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งที่เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว คนที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็คงน้อยลงไปมาก เพราะมันช่างทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน
แต่ถ้าคนที่ได้ศึกษาเรื่องการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็คงพอทราบได้ว่า การสร้างบารมึเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้น เริ่มสร้างจากง่ายไปยาก เป็นลำดับขั้นไป ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับได้แก่
1.บารมีธรรมดา เสียสละเงินทอง,วัตถุสิ่งของ
2.อุปบารมี เสียสละอวัยวะ
3.ปรมัตถบารมี การบริจาคชีวิต
ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นมาก็ให้คุณสร้างปรมัตถบารมีเลย แต่ให้คุณสร้างไปตามลำดับขั้นจากง่ายไปยาก จาก ป.1 ขึ้นไปถึงปริญญาเอก
ใครที่รู้สึกไม่อยากเดินให้ถึงเป้าหมายตามที่เคยปรารถนาไว้ ก็สามารถขอลาพุทธภูมิได้ เมื่อลาแล้วก็สามารถเข้าสู่การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้อยู่ดี
เพราะฉะนั้น การที่ใครปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธะ พระอรหันต์ นั่นเท่ากับว่า ได้ปรารถนาที่จะบรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยกันทั้งหมดในทุกฐานะที่คุณปรารถนา
แต่ในฝ่ายมหายานนั้น ผู้สร้างบารมีส่วนมากจะปรารถนาพุทธภูมิ เพราะมีแนวคิดที่ว่า ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถไปถึงฝั่ง ไม่สามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ตามที่ใจปรารถนา แต่สิ่งที่ได้อย่างหนึ่งคือ ในตอนที่ลาพุทธภูมิแล้วขอปฏิบัติธรรมเข้าสู่พระนิพพานนั้น จะไม่เข้านิพพานแบบเดี่ยวๆไปตัวคนเดียว แต่จะมีบริวารที่ติดตามมาพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่พระนิพพานกับผู้ขอลาพุทธภูมินั้นด้วย คือจะเข้าถึงพระนิพพานพร้อมกันทีเดียวหลายๆคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์กว่าผู้ที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ เพราะถ้าไม่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาเข้าสู่พระนิพพาน ก็จะเข้าเพียงคนเดียวเลย
เรื่องการลาพุทธภูมินี่ ให้ดูตัวอย่าง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ ท่านมีลูกศิษย์ที่เป็นระดับพระเกจิครูบาอาจารย์คอยติดตามเป็นบริวารท่านเยอะแยะเลย แถมยังมีพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาเดินตามรอยท่านอีกมากมาย
นี่แหละ ข้อดีของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถึงแม้จะขอลาพุทธภูมิเพื่อเข้าสู่พระนิพพานชาติภพนั้นแล้ว ก็ยังมีบริวารที่เคยร่วมสร้างบารมีขอติดตามเข้าสู่พระนิพพานด้วย เรียกได้ว่าพร้อมเข้าสู่การหลุดพ้นสังสารวัฏเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ เป็นจำนวนมาก
ถ้าคุณโชคดีในการปรารถนาพุทธภูมิ ก็อาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะที่ใช้เวลาสร้างบารมีน้อยที่สุด 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
มโนปณิธาน(ปรารถนาในใจ) 7 อสงไขย
วจีปณิธาน(กล่าววาจา) 9 อสงไขย
กายปณิธาน(เสียสละร่างกาย ได้รับการพยากรณ์ว่าได้พระพุทธเจ้าแน่นอนแล้ว) 4 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
นี่คือระยะเวลาที่ตามพระไตรปิฎกได้บอกไว้ ซึ่งเป็นระยะที่สั้นที่สุดของการสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
แต่ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกให้ลูกศิษย์คิดพิจารณาใหม่ ระยะเวลาจริงอาจจะนานกว่าที่พระไตรปิฎกบอกไว้ก็ได้
ให้คุณศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระสมณโคดมตั้งแต่ชาติแรกๆที่เป็นเจ้าหญิงสุมิตตาเมื่อ 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์ที่แล้ว เจ้าหญิงสุมิตตาซึ่งเป็นอดีตชาติของพระสมณโคดมนั้นเป็นถึงน้องสาวต่างพระมารดาของพระทีปังกรพุทธเจ้า ถามว่าบุคคลที่จะมาเกิดเป็นถึงระดับน้องสาวของพระพุทธเจ้าได้นี่ ต้องสร้างบารมีมาก่อนหน้านั้นนานซักเท่าไร ถึงจะได้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าได้ เช่นนี้แล้วระยะเวลาในการสร้างบารมีจริงๆก็น่าจะนานกว่าที่พระไตรปิฎกได้บอกไว้อยู่
การสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ถ้าคนที่ศึกษามาแบบผิวเผิน ฟังเขาเล่าต่อกันมา ก็จะทำให้คิดว่าพระโพธิสัตว์ได้สร้างแต่ความดีอย่างเดียวตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติที่มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อาจจะเพราะว่าเคยได้ยินการเล่าต่อกันมา ทั้งเรื่องพระเจ้า 500 ชาติบ้าง พระเจ้า 10 ชาติบ้าง ก็เลยคิดกันว่า จำนวนชาติที่พระโพธิสัตว์ได้สร้างบารมีมีอยู่เท่านั้น
แต่ถ้าใครที่ได้ศึกษากันจริงๆ จะทราบว่า จำนวนภพชาติที่พระโพธิสัตว์สร้างบารมีนั้นมากมายนับไม่ได้ และตลอดระยะเวลาของการสร้างบารมีนั้นก็ได้สร้างทั้งบุญบารมีและบาปกรรมมาด้วย สร้างบาปกรรมมาก็หลายภพหลายชาติเหมือนกัน ตกนรกก็หลายครั้งหลายครา
ครูบาอาจารย์บางท่านก็สอนก็เตือนว่า พระโพธิสัตว์กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้นี่ ผ่านกรรมหนักๆมากันหมดแล้วทั้งนั้น ที่พระองค์ท่านสามารถเป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้งได้ ก็เพราะพระองค์ได้ผ่านการเรียนรู้สภาวะความดีและความชั่วทุกอย่างมาด้วยตัวเองจริงๆ พระองค์ท่านเรียนจบครบทุกกระบวนการด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เป็นพระสัพพัญญูเพราะไปเรียนรู้สภาวะจากคนอื่นเขา อย่างงั้นคงเรียกว่ารู้ไม่จริง
เพราะฉะนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีช่องบุญมาก ช่องบาปก็มาก
ความเป็นพระอรหันต์มีช่องบุญน้อย ช่องบาปก็น้อย
ถ้าใครปรารถนาจะสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าก็สร้างไป เจริญสติอยู่กับปัจจุบันให้ได้อย่างที่บอกมาแล้ว จิตจะไม่กระวนวายถึงอดีตและอนาคตเอง ทำให้สร้างความดีไปเรื่อยๆได้อย่างเป็นปกติสุข
ส่วนบทสวดมนต์ที่เกี่ยวข้องการกับสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้ามากที่สุด ที่ได้ศึกษามาก็คือ บทอาการะวัตตาสูตร ใครที่สร้างความดีอะไรมาก็ให้มาสวดบทนี้ จะพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าไว้มากมายและกล่าวถึงสภาวะญาณต่างๆที่พระโพธิสัตว์จะต้องสร้าง เช่น ยมกปาฏิหาริย์ อนาวรณญาณ สัพพัญญุตญาณ อะไรอย่างนี้ และผู้ที่สวดจะสามารถปิดอบายภูมิได้ยาวนานมาก แถมยังมีอานิสงส์อื่นๆอีกมากมาย คนที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิก็สวดได้ ดีเหมือนกัน
สรุปว่า ใครจะปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็ปรารถนาได้เป็นสิ่งดี เพราะผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้ไม่สำเร็จอย่างที่หวัง แต่ยังไงก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อยู่ดี หลุดพ้นการการเวียนว่ายได้เกิดอยู่ดี
แต่ถ้าสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้นำผู้คนจำนวนมากเข้าสู่พระนิพพานด้วย
ยังไงโลกก็ต้องมีบุคคลลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไปเป็นแต่ละยุคแต่ละสมัยอยู่แล้ว ใครที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าก็สร้างไป สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องธรรมดา สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่การสร้างสำเร็จถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากนั่นเอง
การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านี่ยากหรือง่ายขนาดไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่
1.พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
2.พระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 40 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
3.พระวิริยะธิกะพุทธเจ้า ใช้เวลาสร้างบารมี 80 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
ระยะเวลา 1 อสงไขย = 1 แล้วตามด้วย 0 จำนวน 140 ตัว ปี
ระยะเวลา 1 มหากัปป์ = สามร้อยยี่สิบเจ็ดล้านหกแสนแปดหมื่นล้านล้านล้านล้าน ปี
จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาในการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นช่างนานเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เอาเป็นว่าตัวเลขข้างบนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญกว่าคือ ใจที่พร้อมมุ่งสร้างบารมีอย่างไม่ย่อท้อกับเวลามากกว่า ใครที่คิดจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าก็ให้สร้างไปแบบไม่ต้องสนใจระยะเวลาว่าจะนานแค่ไหน นานเท่าไร
รู้แต่เพียงว่า ทำความดีไปเรื่อยๆ นานเท่าไรเท่ากัน สำเร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น เพราะเหมือนจะต้องอยู่ในสังสารวัฏแบบอย่างเป็นอมตะไม่รู้จักจบจักสิ้น
ครูบาอาจารย์กรรมฐานบางท่านได้สอนว่า เวลาเราปลีกวิเวกเข้ากรรมฐาน เราไม่ต้องไปตั้งเป้าเลยว่า เราจะฝึกกรรมฐานซัก 1 เดือนหรือจะฝึกซัก 3 เดือน เพราะจะทำให้จิตเราไปกระวนกระวายกับเรื่องเวลา เพ่งเล็งเรื่องเวลา
ตอนเข้ากรรมฐานนั้นให้เราอยู่กับปัจจุบัน เจริญสติให้อยู่กับปัจจุบันก็พอ ทำความดีให้ได้มากที่สุดในขณะที่เราได้หายใจอยู่เท่านั้นพอ ถ้าสติเราอยู่กับปัจจุบันได้ดีต่อเนื่อง จิตของเราก็จะไม่กระวนกระวายกับอดีตและอนาคต จิตทรงตัวอยู่กับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ไม่เกิดความทุกข์ร้อนกับระยะเวลาในการสร้างบารมี
การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ถ้าคิดจะสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ก็ให้ศึกษาว่าความดีในพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง แล้วก็ทำตามคำสอนอย่างเต็มที่ไปเรื่อยๆแบบไม่ต้องสนใจกับอนาคต รู้ไว้ว่าเราทำความดีในเวลานี้ให้ดีที่สุดก็พอ
การสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าต้องเสียสละทั้งอวัยวะ เลือด เนื้อ และชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน
เปรียบเทียบความทุกข์ยากลำบากดั่ง การเดินจากจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งที่เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว คนที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็คงน้อยลงไปมาก เพราะมันช่างทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน
แต่ถ้าคนที่ได้ศึกษาเรื่องการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็คงพอทราบได้ว่า การสร้างบารมึเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้น เริ่มสร้างจากง่ายไปยาก เป็นลำดับขั้นไป ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับได้แก่
1.บารมีธรรมดา เสียสละเงินทอง,วัตถุสิ่งของ
2.อุปบารมี เสียสละอวัยวะ
3.ปรมัตถบารมี การบริจาคชีวิต
ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นมาก็ให้คุณสร้างปรมัตถบารมีเลย แต่ให้คุณสร้างไปตามลำดับขั้นจากง่ายไปยาก จาก ป.1 ขึ้นไปถึงปริญญาเอก
ใครที่รู้สึกไม่อยากเดินให้ถึงเป้าหมายตามที่เคยปรารถนาไว้ ก็สามารถขอลาพุทธภูมิได้ เมื่อลาแล้วก็สามารถเข้าสู่การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้อยู่ดี
เพราะฉะนั้น การที่ใครปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธะ พระอรหันต์ นั่นเท่ากับว่า ได้ปรารถนาที่จะบรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยกันทั้งหมดในทุกฐานะที่คุณปรารถนา
แต่ในฝ่ายมหายานนั้น ผู้สร้างบารมีส่วนมากจะปรารถนาพุทธภูมิ เพราะมีแนวคิดที่ว่า ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถไปถึงฝั่ง ไม่สามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ตามที่ใจปรารถนา แต่สิ่งที่ได้อย่างหนึ่งคือ ในตอนที่ลาพุทธภูมิแล้วขอปฏิบัติธรรมเข้าสู่พระนิพพานนั้น จะไม่เข้านิพพานแบบเดี่ยวๆไปตัวคนเดียว แต่จะมีบริวารที่ติดตามมาพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่พระนิพพานกับผู้ขอลาพุทธภูมินั้นด้วย คือจะเข้าถึงพระนิพพานพร้อมกันทีเดียวหลายๆคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์กว่าผู้ที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ เพราะถ้าไม่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาเข้าสู่พระนิพพาน ก็จะเข้าเพียงคนเดียวเลย
เรื่องการลาพุทธภูมินี่ ให้ดูตัวอย่าง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ ท่านมีลูกศิษย์ที่เป็นระดับพระเกจิครูบาอาจารย์คอยติดตามเป็นบริวารท่านเยอะแยะเลย แถมยังมีพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาเดินตามรอยท่านอีกมากมาย
นี่แหละ ข้อดีของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถึงแม้จะขอลาพุทธภูมิเพื่อเข้าสู่พระนิพพานชาติภพนั้นแล้ว ก็ยังมีบริวารที่เคยร่วมสร้างบารมีขอติดตามเข้าสู่พระนิพพานด้วย เรียกได้ว่าพร้อมเข้าสู่การหลุดพ้นสังสารวัฏเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ เป็นจำนวนมาก
ถ้าคุณโชคดีในการปรารถนาพุทธภูมิ ก็อาจจะได้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะที่ใช้เวลาสร้างบารมีน้อยที่สุด 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
มโนปณิธาน(ปรารถนาในใจ) 7 อสงไขย
วจีปณิธาน(กล่าววาจา) 9 อสงไขย
กายปณิธาน(เสียสละร่างกาย ได้รับการพยากรณ์ว่าได้พระพุทธเจ้าแน่นอนแล้ว) 4 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
นี่คือระยะเวลาที่ตามพระไตรปิฎกได้บอกไว้ ซึ่งเป็นระยะที่สั้นที่สุดของการสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์
แต่ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกให้ลูกศิษย์คิดพิจารณาใหม่ ระยะเวลาจริงอาจจะนานกว่าที่พระไตรปิฎกบอกไว้ก็ได้
ให้คุณศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระสมณโคดมตั้งแต่ชาติแรกๆที่เป็นเจ้าหญิงสุมิตตาเมื่อ 20 อสงไขย 100,000 มหากัปป์ที่แล้ว เจ้าหญิงสุมิตตาซึ่งเป็นอดีตชาติของพระสมณโคดมนั้นเป็นถึงน้องสาวต่างพระมารดาของพระทีปังกรพุทธเจ้า ถามว่าบุคคลที่จะมาเกิดเป็นถึงระดับน้องสาวของพระพุทธเจ้าได้นี่ ต้องสร้างบารมีมาก่อนหน้านั้นนานซักเท่าไร ถึงจะได้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าได้ เช่นนี้แล้วระยะเวลาในการสร้างบารมีจริงๆก็น่าจะนานกว่าที่พระไตรปิฎกได้บอกไว้อยู่
การสร้างบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ถ้าคนที่ศึกษามาแบบผิวเผิน ฟังเขาเล่าต่อกันมา ก็จะทำให้คิดว่าพระโพธิสัตว์ได้สร้างแต่ความดีอย่างเดียวตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติที่มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อาจจะเพราะว่าเคยได้ยินการเล่าต่อกันมา ทั้งเรื่องพระเจ้า 500 ชาติบ้าง พระเจ้า 10 ชาติบ้าง ก็เลยคิดกันว่า จำนวนชาติที่พระโพธิสัตว์ได้สร้างบารมีมีอยู่เท่านั้น
แต่ถ้าใครที่ได้ศึกษากันจริงๆ จะทราบว่า จำนวนภพชาติที่พระโพธิสัตว์สร้างบารมีนั้นมากมายนับไม่ได้ และตลอดระยะเวลาของการสร้างบารมีนั้นก็ได้สร้างทั้งบุญบารมีและบาปกรรมมาด้วย สร้างบาปกรรมมาก็หลายภพหลายชาติเหมือนกัน ตกนรกก็หลายครั้งหลายครา
ครูบาอาจารย์บางท่านก็สอนก็เตือนว่า พระโพธิสัตว์กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้นี่ ผ่านกรรมหนักๆมากันหมดแล้วทั้งนั้น ที่พระองค์ท่านสามารถเป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้งได้ ก็เพราะพระองค์ได้ผ่านการเรียนรู้สภาวะความดีและความชั่วทุกอย่างมาด้วยตัวเองจริงๆ พระองค์ท่านเรียนจบครบทุกกระบวนการด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เป็นพระสัพพัญญูเพราะไปเรียนรู้สภาวะจากคนอื่นเขา อย่างงั้นคงเรียกว่ารู้ไม่จริง
เพราะฉะนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีช่องบุญมาก ช่องบาปก็มาก
ความเป็นพระอรหันต์มีช่องบุญน้อย ช่องบาปก็น้อย
ถ้าใครปรารถนาจะสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าก็สร้างไป เจริญสติอยู่กับปัจจุบันให้ได้อย่างที่บอกมาแล้ว จิตจะไม่กระวนวายถึงอดีตและอนาคตเอง ทำให้สร้างความดีไปเรื่อยๆได้อย่างเป็นปกติสุข
ส่วนบทสวดมนต์ที่เกี่ยวข้องการกับสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้ามากที่สุด ที่ได้ศึกษามาก็คือ บทอาการะวัตตาสูตร ใครที่สร้างความดีอะไรมาก็ให้มาสวดบทนี้ จะพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าไว้มากมายและกล่าวถึงสภาวะญาณต่างๆที่พระโพธิสัตว์จะต้องสร้าง เช่น ยมกปาฏิหาริย์ อนาวรณญาณ สัพพัญญุตญาณ อะไรอย่างนี้ และผู้ที่สวดจะสามารถปิดอบายภูมิได้ยาวนานมาก แถมยังมีอานิสงส์อื่นๆอีกมากมาย คนที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิก็สวดได้ ดีเหมือนกัน
สรุปว่า ใครจะปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็ปรารถนาได้เป็นสิ่งดี เพราะผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้ไม่สำเร็จอย่างที่หวัง แต่ยังไงก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อยู่ดี หลุดพ้นการการเวียนว่ายได้เกิดอยู่ดี
แต่ถ้าสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้นำผู้คนจำนวนมากเข้าสู่พระนิพพานด้วย
ยังไงโลกก็ต้องมีบุคคลลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไปเป็นแต่ละยุคแต่ละสมัยอยู่แล้ว ใครที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าก็สร้างไป สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องธรรมดา สร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่การสร้างสำเร็จถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากนั่นเอง