ผบ.ทบ. ท่านมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากขึ้นแล้ว

กระทู้สนทนา
"ประยุทธ์” ขอโทษ สังคม-ผู้จัดการ รับหงุดหงิด ทนไม่ได้ กองทัพโดนด่า ขอลูกน้องอดทน ยันไม่ได้สั่งทหารตบเท้าบุกผู้จัดการ เผยเรียกมาสอบแล้ว แจง “สนธิ”กล่าวหาไม่ช่วยลูกน้อง-ไม่ป้องสถาบัน ยันไม่เคยคุกคามสื่อ

(14 ม.ค.)ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ถึงกรณีที่เอเอสทีวีผู้จัดการออกแถลงการณ์ให้ตอบคำถามเรื่องการปกป้องสถาบัน การให้ความเป็นธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชาคดีเสื้อแดง การทุจริตจัดจ้างจัดซื้ออุปกรณ์และการรักษาอธิปไตยของชาติว่า ว่า กองทัพยึดมั่นการทำหน้าที่เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ไม่เคยเป็นศัตรูกับใครและไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะทุกคนต่างเป็นคนไทยด้วยกัน กองทัพมีหน้าที่ด้านความมั่นคง บุคลากรกองทัพบกทุ่มเทเสียสละชีวิตปกป้องตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายทุกประการ งานชายแดนเราไม่ได้เพลี่ยงพล้ำให้กับใครตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันยังคงรักษาเขตแดนทั้งหมดที่เรามีอยู่ ตรงไหนที่มีปัญหาก็ยังเป็นขั้นตอนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนพิจารณา ซึ่งทั้งสองประเทศต้องมาพูดคุยกัน โดยขณะนี้ส่วนหนึ่งยังไม่เรียบร้อย การแก้ไขปัญหาจะทำอย่างสันติ แต่หากประเทศใดไม่ปฏิบัติตามก็จะมีการประท้วงกัน ซึ่งต้องแก้ไขด้วยกลไกปกติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของทหารในการแก้ไขสถานการณ์การ ชุมนุมทางการเมืองนั้น อยู่ระหว่างการไต่สวน ทหารจะไปกดดันตามท้องถนนไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย และทหารเป็นเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายได้ ส่วนการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น กองทัพทำหน้าที่ปกป้องสถาบันและรักษาความเป็นกองทัพให้เข้มแข็ง โดยมีกระบวนการตรวจสอบการกระทำที่ละเมิดต่อสถาบันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง และรายงานข้อมูลให้กับสำนักราชเลขาฯ ทุกเดือน ซึ่งมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงอยู่ เพราะเห็นว่าไม่ต้องการเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายมากนัก เพราะจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และพระองค์อยู่เหนือความขัดแย้งใดๆทั้งปวงและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใด ส่วนการแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ยืนยันว่าอยู่ในกระบวนการแก้ปัญหาขั้นที่ 2 หลังจากขั้นแรก เป็นการส่งกำลังพลลงพื้นที่ ซึ่งได้มีการปรับลดกำลังพลตามสถานการณ์ และเป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลา รวมทั้ง ความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ และหากดูจากสถิติพบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงไม่ต้องการให้ใช้คำว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหา และขอร้องทุกฝ่ายไม่ควรวิจารณ์ที่จะเป็นการบั่นทอนกำลังใจเจ้าหน้าที่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนตัวต้องขอโทษสังคม หากการแสดงออกและใช้คำพูดมีท่าทีรุนแรง หรือหงุดหงิดไปบ้าง ซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวและบุคลิกความเป็นทหารเท่านั้น โดยยืนยันว่าตนไม่ได้สั่งการให้กำลังพลเดินทางไปบ้านพระอาทิตย์เพื่อเรียกร้องให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการหยุดพาดพิง และได้มีการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว โดยได้รับรายงานจากหน่วยต้นสังกัดว่า กำลังพลได้ขออนุญาตเดินทางไปเอง ซึ่งก็เป็นเวลานอกราชการ เนื่องจากรู้สึกกระทบจิตใจจากการเสนอข่าวที่พาดพิงถึงกองทัพ โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ดูแลสถานการณ์ชายแดน และได้สั่งห้ามกำลังพลเดินทางไปเคลื่อนไหวดังกล่าวแล้ว  ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้สั่งห้ามทหารร่วมชุมนุมต่างๆ แต่ยอมรับว่า ห้ามจิตใจคนไม่ได้ และยืนยันว่าไม่เคยคุกคามสื่อ และละเมิดการทำงานสื่อ รวมทั้งไม่ได้สั่งห้ามผู้สื่อข่าวเอเอสทีวี เข้ามาทำข่าวในกองทัพบก

“ผมไม่ได้เป็นคนสั่งเขาออกไป ผมห้ามและให้เขากลับมาอยู่ในระเบียบวินัย ประวัติศาสตร์จะสอนเราจนถึงทุกวันนี้ ต้องเอาบทเรียนต่างๆมาแก้ให้ได้ อย่าบอกว่าผมไปห้ามเรื่องการออกมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ  เพราะต้องกำหนดบทบาทของทหารให้ชัดเจน คือทหารเป็นเจ้าหน้าที่และประชาชน ตราบใดที่แต่งเครื่องแบบอยู่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ก็ทำงานไม่ได้ ผมต้องรักษากองทัพไว้ตรงกลาง ให้เป็นกองทัพที่ดูแลบ้านเมืองได้ แต่ผมห้ามใจคนไม่ได้ สิ่งใดก็ตามที่บางคนบอกว่าผมทำให้กองทัพอ่อนแอนั้น ยังยืนยันได้ว่าทหารทุกคนพร้อมทำงานและทำหน้าที่ กองทัพคือกองทัพ เป็นของคนไทยทุกคนในชาตินี้และไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ผมโกรธเคืองใครไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้ใหญ่  อาจพูดจาไม่เพราะบ้าง แต่เป็นนิสัย เพราะอยู่กับทหารมาทั้งชีวิต 36 ปี เอะอะโวยวายตลอด แต่ไม่เคยด่าใครเสียหาย ไม่เคยเอ่ยชื่อด่าใครโดยตรง การที่ทหารออกไปเพื่อปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรี ไม่ได้เป็นการคุกคามสื่อ ถ้าผมคุกคามสื่อคงไม่มายืนพูดมากขนาดนี้ เพราะผมรักท่าน เชื่อมั่นว่าท่านเป็นสื่อที่ดี เราเป็นทหารของประชาชน แต่บางเรื่องอยากให้สื่อช่วยรักษาสิทธิให้ผมหน่อย ผมบอกผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่าอย่าทำอีก” ผบ.ทบ.กล่าว

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นายสนธิ  ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลย ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตนก็เป็นใหญ่ ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ เรารู้ว่า อะไรควร หรือไม่ควร ทั้งนี้ตนไม่ได้ห้ามนักข่าวเอเอสทีวีไม่ให้มาทำข่าว ที่ตนเอ่ยชื่อหนังสือพิมพ์แต่ตนไม่ได้ด่าใคร ตนพูดแบบทหาร เป็นธรรมดา ขอโทษด้วยถ้ารู้สึกว่าดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ตนควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่า แม้ตนเสียงดัง แต่ตนไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี

เมื่อถามว่า การที่กล่าวขอโทษแสดงว่ายอมถอยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เดินไปข้างหน้าและถอยหลัง ตนขอโทษแทนลูกน้องตน ไม่ได้ขอโทษคนอื่น เพราะไม่ได้ทำความผิดกับใคร ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เมื่อถามต่อว่าถูกกล่าวหาเช่นนี้รู้สึกน้อยใจหรือไม่  พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นปุถุชนก็มีโกรธบ้าง น้อยใจบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมานับหนึ่งถึงสิบ บอกลูกน้องให้อดทนแล้วก็ยิ้มเข้าไว้  เมื่อถามต่อไปว่ามีหลักคิดอย่างไรที่คิดเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลักคิดคือจะทำอย่างไรให้กองทัพอยู่ได้เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ บ้านเมือง ทำอย่างไรที่กองทัพจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในทุกโอกาส  ดูแลปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นั่นคือสิ่งที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้ เราเอนไปข้างไหนไม่ได้  เรารู้ว่าเราเป็นเป้าในการติดตาม เอาใจช่วย  และมีคนไม่เข้าใจบ้าง แต่เชื่อว่าเวลาจะทำให้ทุกคนเข้าใจได้  ขอร้องว่าอะไรที่ไม่ดีก็บอกพร้อมรับฟัง และพยายามจะไม่หงุดหงิด

เมื่อถามว่ามีคนสงสัยเกี่ยวกับการวางตัวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนต้องยึดภารกิจและหน้าที่เป็นหลัก ซึ่งภารกิจของตนคือการป้องกันประเทศ เมื่อกฎหมายว่าอย่างไรก็เดินไปตามนั้น บางเรื่องที่ลูกน้องอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดี  ตนก็ต้องเคารพในศาล  ทำนอกกฎหมายไม่ได้  แต่เรื่องที่เกิดขึ้น 1-2 วันนี้ เป็นเรื่องศักดิ์ศรีทหารของเขาเอง จะมาบอกว่าตนไปตอบโต้ทางคดี  ซึ่งยังไม่ใช่คดี เพราะยังไม่มีใครฟ้องใคร เพียงแต่ตนพูดแรงไปนิดนึง แต่ใครก็ไม่รู้ด่าตนกลับมาเป็นร้อยเท่าพันทวี ซึ่งมันไม่ใช่  และไม่ใช่ด่าตนคนเดียวเท่านั้น  ซึ่งด่าตนก็ทนได้  แต่จะมาด่ากองทัพบกไม่ได้  ตนขอแค่นั้น คนไทยมีศักดิ์ศรีเท่ากันทุกคน ไม่ใช่มียศพล.อ.แล้วจะมีศักดิ์ศรีเหนือคนอื่น

เมื่อถามว่า ต่อไปนี้จะใจเย็นและพูดเพราะขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า “ผมพูดเพราะแล้วใช่ไหมครับ มันก็ไม่ใช่ผม แต่ขอให้เป็นมิตรกับเรา เพราะผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครเลย  และใครหวังไม่ดีกับเรา  เราก็ไม่คิดเป็นศัตรู เพราะทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกัน  วันนี้ที่วุ่นวายกันอยู่เพราะคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ที่ชายแดนภาคใต้ก็คนไทยด้วยกันทั้งหมด หนีกันไปไม่ได้ รอบบ้านก็ย้ายประเทศหนีไปไม่ได้"

**************************************

แม้ พล.อ ประยุทธ์ จะพูดไม่เข้าหูในหลายๆครั้ง แต่เขาก็รู้ตัวเวลาทำผิด นับว่าเขาเป็นคนที่กล้าหาญมากยึกอกรับในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างกล้าหาญ และยอมรับผลกระทบที่จะตามมา อยากให้นักการเมืองบางคนดูเป็นตัวอย่างบ้าง

ที่มา : เดลินิวส์

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่