พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
" ทุกข์ทั้งกายใจ ต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วยเพียงลำพัง ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ กลับสบาย "
ปุจฉา - ขอถามพระอาจารย์ค่ะ หนูสงสัยว่าทำไมแต่ละบ้านจึงมีลูกเพียงคนเดียวที่คอยดูแลพ่อแม่ ซึ่งบางทีพ่อแม่ป่วยก็ทำให้ลูกที่เป็นคนดูแลเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยกายไม่พอยังเหนื่อยใจสารพัดเรื่องอีก สุขภาพก็ทรุดโทรมเพราะต้องอดหลับอดนอน งานการก็เสียหายไม่ก้าวหน้า หัวหน้าก็เพ่งเล็ง เพราะต้องลางานบ่อย พาคนแก่ไปหาหมอบ้าง ต้องหยุดงานเพราะไม่มีคนดูแลบ้าง ครอบครัวหรือแฟนก็ไม่มี เพราะไม่มีเวลาออกไปเจอใคร ไม่มีเวลาสานสัมพันธ์ด้วย เวลาที่มีอยู่ก็ทุ่มเทให้พ่อแม่หมดแล้ว การพักผ่อนหย่อนใจอย่าไปพูดถึง ไม่มีเวลาแม้แต่ดูแลตัวเอง
คำพูดที่ว่าคนกตัญญูย่อมเจริญรุ่งเรือง แต่ที่หนูเคยพบมาคนที่ดูแลพ่อแม่มักเป็นอย่างที่พูดไปแล้ว
หนูอยากทราบว่าการที่เราต้องเป็นคนดูแลพ่อแม่นั้น เป็นกรรมที่ต้องชดใช้หรือเปล่าคะ ทำไมลูกคนอื่น ๆ ถึงสบาย ไม่ต้องลำบากดูแลอะไรเลย เหมือนเขามีบุญ ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ มีความสุขกับครอบครัวตัวเอง งานการก็ก้าวหน้า มันตรงข้ามกับหนูที่เป็นคนดูแลมากเลยที่ทุกข์ทั้งกายทั้งใจ
แล้วอีกอย่างคือการที่ดูแลพ่อแม่นั้นบางทีก็มีอารมณ์เสียบ้าง พูดจาไม่ดีใส่บ้างเพราะความเครียด อย่างนี้หนูจะได้บุญที่ดูแลพ่อแม่ไหมคะ หรือได้แต่บาปที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่ ส่วนลูกที่อยู่ไกลๆนานๆมาทีนั้นก็พูดจาจ๊ะจ๋า ไม่ได้ทำให้พ่อแม่เสียใจเท่าหนูที่เป็นคนที่อยู่ใกล้เลย บางครั้งหนูก็นึกปลงว่าคงมีกรรมร่วมกันมา เลยต้องมาชดใช้ในชาตินี้ พ่อแม่ก็รักน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยดูแลอีก น้อยใจจริงๆค่ะ
ขอบคุณพระอาจารย์มากนะคะ
พระไพศาล วิสาโล - การดูแลพ่อแม่ที่ป่วยเฒ่านั้น คุณเป็นคนเลือกเอง ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกได้ว่า คุณกำลังใช้กรรม เพราะคำว่า “ใช้กรรม”นั้น ใช้ในกรณีที่จำยอมต้องรับสภาพ โดยไม่สามารถเลือกได้ (เช่น เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ ธุรกิจล้มละลาย - แต่ก็อย่าเพิ่งสรุปว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติอย่างที่มักเข้าใจกัน)
กรณีของคุณนั้น คุณตัดสินใจดูแลท่านเอง จึงเรียกว่าเป็น การ “สร้างกรรม” และเป็นกรรมดี ที่ได้บุญมากด้วย
สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นเป็นความเสียสละอย่างมาก พูดได้ว่าเป็นโชคของพ่อแม่ที่มีลูกอย่างคุณ เพราะพ่อแม่หลายคน ไม่สามารถพึ่งพาลูกได้เลยสักคน ทั้ง ๆ ที่มีลูกหลายคนและต่างก็มีฐานะพอจะดูแลพ่อแม่ได้ พร้อมกันนั้น อาตมาก็อยากพูดว่าเป็นบุญของคุณที่ได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านลำบาก
เพื่อนของอาตมาบางคนประสบปัญหาอย่างเดียวกับคุณ คือต้องดูแลแม่คนเดียวซึ่งเป็นอัลไซเมอร์ ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ทีแรกเธอก็มีความทุกข์มาก เพราะชีวิตผันเปลี่ยนไปเนื่องจากต้องทิ้งงานและวิถีชีวิตที่เคยมี แต่ภายหลังก็ตั้งสติได้ และเห็นว่าที่แม่เป็นเช่นนี้เปิดโอกาสให้เธอได้ทำบุญตอบแทนแม่ ยิ่งคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เล็ก ก็เห็นได้ว่าแม่เป็นฝ่ายให้เธอมาตลอด ตอนนี้เป็นโอกาสที่เธอจะได้ให้แม่บ้าง เมื่อคิดเช่นนี้เธอก็มีความสุขและขอบคุณแม่ที่ทำให้เธอได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ แม้ตัวเองจะเหนื่อยมากก็ตาม
การที่พี่น้องของคุณมีชีวิตที่สุขสบายตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าเขาจะสุขสบายไปตลอด หากไม่ทำบุญสร้างกุศล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้คน หรือแม้แต่ตอบแทนผู้มีพระคุณเมื่อมีโอกาส จะมีความเจริญไปได้นานสักเพียงใด คนเราในที่สุดก็ต้องแก่และเจ็บป่วย ถึงตอนนั้นก็อาจต้องประสบชะตากรรมเหมือนคนแก่อีกหลายคนเวลานี้ คือ ไม่มีใครดูแล แม้แต่ลูกหลานของตัวก็ไม่สนใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนเป็นหนุ่มสาวตนเองไม่เคยดูแลพ่อแม่เลย บางครั้งบาปกรรมก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะส่งผล ในทำนองเดียวกันบุญกุศลที่คุณทำในขณะนี้ แม้ยังไม่ส่งผลในวันนี้ แต่ก็จะปรากฏผลในวันหน้าอย่างแน่นอน
ระหว่างนี้คุณควรดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี ๆ เพราะการดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยตามลำพังนั้น ต้องอาศัยการทุ่มเทมาก คุณควรมีเวลาออกกำลังกายและพักผ่อนจิตใจบ้าง เช่น ทำสมาธิสัก ๕-๑๐ นาทีเป็นอย่างน้อยทุกวัน ทั้งก่อนนอนและเมื่อตื่นเช้า ขณะที่ทำงาน ก็มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปกังวลกับงานที่ยังมาไม่ถึง อย่าหวนอาลัยในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่เปรียบเทียบตนเองกับใครรวมทั้งพี่น้อง พยายามมีความสุขหรือพอใจกับงานที่ทำ
การวางใจเช่นนี้จะช่วยให้คุณได้พักใจในระหว่างทำงานไปด้วย ความเครียดจะลดลง และทำให้คุณอดทนต่อพ่อแม่ได้มากขึ้น ไม่หงุดหงิดใส่ท่าน แต่หากเผลอทำไป ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาดที่ได้ทำไป ให้อภัยตัวเองอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณมีพลัง ทำงานที่สำคัญนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม
ขอแชร์มาจาก facebook พระไพศาลค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=580530111974310&set=a.162484743778851.40257.162450523782273&type=1&theater
" ทุกข์ทั้งกายใจ ต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วยเพียงลำพัง ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ กลับสบาย "
" ทุกข์ทั้งกายใจ ต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วยเพียงลำพัง ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ กลับสบาย "
ปุจฉา - ขอถามพระอาจารย์ค่ะ หนูสงสัยว่าทำไมแต่ละบ้านจึงมีลูกเพียงคนเดียวที่คอยดูแลพ่อแม่ ซึ่งบางทีพ่อแม่ป่วยก็ทำให้ลูกที่เป็นคนดูแลเหนื่อยมาก ๆ เหนื่อยกายไม่พอยังเหนื่อยใจสารพัดเรื่องอีก สุขภาพก็ทรุดโทรมเพราะต้องอดหลับอดนอน งานการก็เสียหายไม่ก้าวหน้า หัวหน้าก็เพ่งเล็ง เพราะต้องลางานบ่อย พาคนแก่ไปหาหมอบ้าง ต้องหยุดงานเพราะไม่มีคนดูแลบ้าง ครอบครัวหรือแฟนก็ไม่มี เพราะไม่มีเวลาออกไปเจอใคร ไม่มีเวลาสานสัมพันธ์ด้วย เวลาที่มีอยู่ก็ทุ่มเทให้พ่อแม่หมดแล้ว การพักผ่อนหย่อนใจอย่าไปพูดถึง ไม่มีเวลาแม้แต่ดูแลตัวเอง
คำพูดที่ว่าคนกตัญญูย่อมเจริญรุ่งเรือง แต่ที่หนูเคยพบมาคนที่ดูแลพ่อแม่มักเป็นอย่างที่พูดไปแล้ว
หนูอยากทราบว่าการที่เราต้องเป็นคนดูแลพ่อแม่นั้น เป็นกรรมที่ต้องชดใช้หรือเปล่าคะ ทำไมลูกคนอื่น ๆ ถึงสบาย ไม่ต้องลำบากดูแลอะไรเลย เหมือนเขามีบุญ ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ มีความสุขกับครอบครัวตัวเอง งานการก็ก้าวหน้า มันตรงข้ามกับหนูที่เป็นคนดูแลมากเลยที่ทุกข์ทั้งกายทั้งใจ
แล้วอีกอย่างคือการที่ดูแลพ่อแม่นั้นบางทีก็มีอารมณ์เสียบ้าง พูดจาไม่ดีใส่บ้างเพราะความเครียด อย่างนี้หนูจะได้บุญที่ดูแลพ่อแม่ไหมคะ หรือได้แต่บาปที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่ ส่วนลูกที่อยู่ไกลๆนานๆมาทีนั้นก็พูดจาจ๊ะจ๋า ไม่ได้ทำให้พ่อแม่เสียใจเท่าหนูที่เป็นคนที่อยู่ใกล้เลย บางครั้งหนูก็นึกปลงว่าคงมีกรรมร่วมกันมา เลยต้องมาชดใช้ในชาตินี้ พ่อแม่ก็รักน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยดูแลอีก น้อยใจจริงๆค่ะ
ขอบคุณพระอาจารย์มากนะคะ
พระไพศาล วิสาโล - การดูแลพ่อแม่ที่ป่วยเฒ่านั้น คุณเป็นคนเลือกเอง ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกได้ว่า คุณกำลังใช้กรรม เพราะคำว่า “ใช้กรรม”นั้น ใช้ในกรณีที่จำยอมต้องรับสภาพ โดยไม่สามารถเลือกได้ (เช่น เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ ธุรกิจล้มละลาย - แต่ก็อย่าเพิ่งสรุปว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติอย่างที่มักเข้าใจกัน)
กรณีของคุณนั้น คุณตัดสินใจดูแลท่านเอง จึงเรียกว่าเป็น การ “สร้างกรรม” และเป็นกรรมดี ที่ได้บุญมากด้วย
สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นเป็นความเสียสละอย่างมาก พูดได้ว่าเป็นโชคของพ่อแม่ที่มีลูกอย่างคุณ เพราะพ่อแม่หลายคน ไม่สามารถพึ่งพาลูกได้เลยสักคน ทั้ง ๆ ที่มีลูกหลายคนและต่างก็มีฐานะพอจะดูแลพ่อแม่ได้ พร้อมกันนั้น อาตมาก็อยากพูดว่าเป็นบุญของคุณที่ได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านลำบาก
เพื่อนของอาตมาบางคนประสบปัญหาอย่างเดียวกับคุณ คือต้องดูแลแม่คนเดียวซึ่งเป็นอัลไซเมอร์ ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ทีแรกเธอก็มีความทุกข์มาก เพราะชีวิตผันเปลี่ยนไปเนื่องจากต้องทิ้งงานและวิถีชีวิตที่เคยมี แต่ภายหลังก็ตั้งสติได้ และเห็นว่าที่แม่เป็นเช่นนี้เปิดโอกาสให้เธอได้ทำบุญตอบแทนแม่ ยิ่งคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เล็ก ก็เห็นได้ว่าแม่เป็นฝ่ายให้เธอมาตลอด ตอนนี้เป็นโอกาสที่เธอจะได้ให้แม่บ้าง เมื่อคิดเช่นนี้เธอก็มีความสุขและขอบคุณแม่ที่ทำให้เธอได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ แม้ตัวเองจะเหนื่อยมากก็ตาม
การที่พี่น้องของคุณมีชีวิตที่สุขสบายตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าเขาจะสุขสบายไปตลอด หากไม่ทำบุญสร้างกุศล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้คน หรือแม้แต่ตอบแทนผู้มีพระคุณเมื่อมีโอกาส จะมีความเจริญไปได้นานสักเพียงใด คนเราในที่สุดก็ต้องแก่และเจ็บป่วย ถึงตอนนั้นก็อาจต้องประสบชะตากรรมเหมือนคนแก่อีกหลายคนเวลานี้ คือ ไม่มีใครดูแล แม้แต่ลูกหลานของตัวก็ไม่สนใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนเป็นหนุ่มสาวตนเองไม่เคยดูแลพ่อแม่เลย บางครั้งบาปกรรมก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะส่งผล ในทำนองเดียวกันบุญกุศลที่คุณทำในขณะนี้ แม้ยังไม่ส่งผลในวันนี้ แต่ก็จะปรากฏผลในวันหน้าอย่างแน่นอน
ระหว่างนี้คุณควรดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี ๆ เพราะการดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยตามลำพังนั้น ต้องอาศัยการทุ่มเทมาก คุณควรมีเวลาออกกำลังกายและพักผ่อนจิตใจบ้าง เช่น ทำสมาธิสัก ๕-๑๐ นาทีเป็นอย่างน้อยทุกวัน ทั้งก่อนนอนและเมื่อตื่นเช้า ขณะที่ทำงาน ก็มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปกังวลกับงานที่ยังมาไม่ถึง อย่าหวนอาลัยในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่เปรียบเทียบตนเองกับใครรวมทั้งพี่น้อง พยายามมีความสุขหรือพอใจกับงานที่ทำ
การวางใจเช่นนี้จะช่วยให้คุณได้พักใจในระหว่างทำงานไปด้วย ความเครียดจะลดลง และทำให้คุณอดทนต่อพ่อแม่ได้มากขึ้น ไม่หงุดหงิดใส่ท่าน แต่หากเผลอทำไป ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาดที่ได้ทำไป ให้อภัยตัวเองอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณมีพลัง ทำงานที่สำคัญนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม
ขอแชร์มาจาก facebook พระไพศาลค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=580530111974310&set=a.162484743778851.40257.162450523782273&type=1&theater