สวัสดีครับทุกท่านผมลุงดำเป็นเจ้าของสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ในหมู่บ้านสารขัณธ์ครับ พอดีผมติดตามข่าวบ้านเมืองเกี่ยวกับการขึ้นราคา LPG แล้วรู้สึกมันมีเรื่องราวคล้ายๆกันกับเรื่องมะม่วงน้ำดอกไม้ของผมเลยครับ อาจจะยาวสักหน่อยแต่ถ้าพอมีเวลาอยากให้อ่านกันครับว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง
เรื่องราวมันมีอยู่ว่าในเมืองของผมนั้นผู้คนชอบกินมะม่วงน้ำดอกไม้กันมากๆ เลยครับ แต่ผู้คนในเมืองผมชอบกินแบบเปรี้ยวๆน่ะสิครับ มันต่างกับผู้คนในเมืองอื่นๆที่เขาชอบกินมะม่วงน้ำดอกไม้แบบสุกๆ ทีนี้ปัญหามันก็คือเรื่องของราคาขายที่แตกต่างกันนี่ล่ะครับ คือ มะม่วงน้ำดอกไม้นี่ถ้าขายแบบดิบยังเปรี้ยวอยู่ (ซึ่งนิยมกินกันเฉพาะในเมืองของผม) จะขายได้ที่ 333 บาท/กก. แต่ถ้ารอให้มันสุกโดยการเอามาบ่มมันจะขายได้ถึง 900 บาท/กก. ครั้นผมจะเห็นแก่ตัวเอามะม่วงน้ำดอกไม้ไปบ่มทั้งหมดแล้วขายแบบสุกๆรสชาติหวานฉ่ำให้เมืองอื่น (เพราะได้ราคาดีกว่า) ผมก็คงโดนผู้คนในเมืองผมด่าเปิงเลยเพราะพวกเขากินมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวกันทุกวันจนกลายเป็นวัฒนธรรมเสียแล้ว ผมก็จำใจขายมะม่วงน้ำดอกไม้แบบเปรี้ยวๆที่ราคา 333 บาท/กก. เรื่อยมา (แม้จะรู้ว่าถ้าเอาไปบ่มจะขายได้ตั้ง 900 บาท/กก.) ซึ่งผมก็คิดว่าคงไม่เป็นไร ผมก็เป็นคนพออยู่พอกินอยู่แล้ว
ทีนี้มันดันเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะสิ ไม่รู้เพราะอะไรการกินมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวในเมืองของผมมันเพิ่มขึ้นเยอะมากหลายๆปีหลังมานี่ ทั้งที่คนในเมืองมันก็ไม่ได้เพิ่มมากมายอะไร กลายเป็นว่าผมมีมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวไม่พอให้คนในเมืองกิน พากันมาโวยวายที่สวนผมกันใหญ่เลย ผมก็ต้องหาทางออกโดยการไปขอซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้จากเมืองอื่น แต่มันก็ดันมีปัญหาอีกว่า เมืองอื่นเขาขายให้ผมในราคามะม่วงน้ำดอกไม้สุกคือ 900 บาท/กก. เพราะเขามองว่าการขายให้ผมนั้นไม่จำเป็นต้องขายที่ 333 บาท/กก. (แม้ตอนที่เขาขายให้ผมนั้นมันจะดิบก็ตาม) เพราะถึงไม่ขายผม เขาก็ขายให้คนในเมืองเขา หรือ เมืองอื่นๆ ที่ราคา 900 บาท/กก. ได้อยู่ดี
ผมมันก็คนทำมาค้าขาย ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ไหนจะลูกจ้างในสวนอีก จะให้ผมซื้อมา 900 บาท/กก. แล้วมาขาย 333 บาท/กก. ก็คงไม่สามารถทำได้ ก็เลยไปปรึกษาพ่อเมือง ซึ่งหนึ่งในนโยบายของแกก็คือให้ชาวเมืองได้กินมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ราคา 333 บาท/กก. นี่ล่ะ พ่อเมืองก็เลยให้เอาเงินส่วนกลาง (ที่ควรจะไปพัฒนาเมืองในเรื่องอื่นๆ) มาอุดหนุนราคานำเข้ามะม่วงน้ำดอกไม้ให้กับสวนของผม (รวมทั้งสวนอื่นๆในเมืองผมด้วย)
ทีนี้ปัญหาก็ตามมาจนได้ มันมีคนในเมืองบางคนหัวหมอน่ะสิ ก็คือซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ในเมืองผมที่ราคา 333 บาท/กก. แล้วเอาไปบ่มขายให้เมืองอื่นที่ราคา 900 บาท/กก. สร้างกำไรจากการเอาเงินส่วนกลางไปอุดหนุนราคามะม่วงน้ำดอกไม้กันเป็นล่ำเป็นสัน แถมชาวเมืองเมื่อเห็นมะม่วงน้ำดอกไม้ราคาถูกก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนปริมาณที่นำเข้ามาจากเมืองอื่นมันเพิ่มขึ้นเรื่อย สุดท้ายเงินส่วนกลางที่นำมาใช้ก็หมดลง
กลายเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ เพราะในเมืองผมไม่มีมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวกินกันเสียแล้ว จนได้อัศวินขี่ม้าขาวปลัดหนุ่มมาช่วยเอาไว้ โดยปลัดหนุ่มพยายามพัฒนามะม่วงทดแทนที่ให้รสชาติเปรี้ยวเหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ แรกๆ ผู้คนในเมืองก็ต่อต้านนะ ก็ต้องค่อยๆทำความเข้าใจกันไป จนทุกวันนี้ปัญหาดังกล่าวก็จบลงไปแล้ว กินมะม่วงทดแทน กันได้อย่างสบายใจ
ทุกวันนี้เมืองสารขัญธ์ของผมเหมือนฟ้าหลังฝนทีเดียวล่ะ ทำไมน่ะรึ ก็เพราะชาวบ้านในเมืองหันมาปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้กันเยอะเลย ไม่ใช่เพื่อกินเองแบบเปรี้ยวๆนะ (แต่ก็แน่ละต้องอดใจไม่ไหวกันบ้างล่ะ แม้จะมีมะม่วงเปรี้ยวทดแทนมาให้กินแล้ว) แต่เพื่อเอาไปบ่มให้สุกแล้วขายไปเมืองอื่นๆ สร้างรายได้กันเป็นกอบเป็นกำทีเดียว
สุดท้ายเมื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุด ปัญหาเรื่องมะม่วงน้ำดอกไม้ ในเมืองผมก็จบลงแบบ Happy Ending ผมก็ได้แต่หวังว่าปัญหา LPG ของประเทศเราจะหาทางออกได้ในเร็ววันนะ ผมรู้ว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ กับ LPG มันไม่เหมือนกัน แถมผมเองก็เป็นแค่ชาวสวนคนนึง ความรู้เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจอะไร ก็ไม่มี ผมรู้แค่ว่าอะไรที่ผมต้องไปซื้อหามาจากคนอื่นเขา ผมก็จะใช้สอยอย่างประหยัดเท่านั้นเอง
รักนะประเทศไทย,
ลุงดำ น้ำดอกไม้
ปล. ลุงดำแกฝากมาบอกว่า LPG มันก็เหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ตรงที่ มะม่วงน้ำดอกไม้มันมีดีกว่าเอามากินเปรี้ยวๆ สร้างเงินสร้างรายได้ให้เมืองแกฉันใด LPG ก็สามารถสร้างคุณค่าให้แก่ประเทศได้มากกว่าการเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองฉันนั้น
มาฟังลุงดำอธิบายปัญหา มะม่วงน้ำดอกไม้ เปรียบเทียบกับ LPG กัน
เรื่องราวมันมีอยู่ว่าในเมืองของผมนั้นผู้คนชอบกินมะม่วงน้ำดอกไม้กันมากๆ เลยครับ แต่ผู้คนในเมืองผมชอบกินแบบเปรี้ยวๆน่ะสิครับ มันต่างกับผู้คนในเมืองอื่นๆที่เขาชอบกินมะม่วงน้ำดอกไม้แบบสุกๆ ทีนี้ปัญหามันก็คือเรื่องของราคาขายที่แตกต่างกันนี่ล่ะครับ คือ มะม่วงน้ำดอกไม้นี่ถ้าขายแบบดิบยังเปรี้ยวอยู่ (ซึ่งนิยมกินกันเฉพาะในเมืองของผม) จะขายได้ที่ 333 บาท/กก. แต่ถ้ารอให้มันสุกโดยการเอามาบ่มมันจะขายได้ถึง 900 บาท/กก. ครั้นผมจะเห็นแก่ตัวเอามะม่วงน้ำดอกไม้ไปบ่มทั้งหมดแล้วขายแบบสุกๆรสชาติหวานฉ่ำให้เมืองอื่น (เพราะได้ราคาดีกว่า) ผมก็คงโดนผู้คนในเมืองผมด่าเปิงเลยเพราะพวกเขากินมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวกันทุกวันจนกลายเป็นวัฒนธรรมเสียแล้ว ผมก็จำใจขายมะม่วงน้ำดอกไม้แบบเปรี้ยวๆที่ราคา 333 บาท/กก. เรื่อยมา (แม้จะรู้ว่าถ้าเอาไปบ่มจะขายได้ตั้ง 900 บาท/กก.) ซึ่งผมก็คิดว่าคงไม่เป็นไร ผมก็เป็นคนพออยู่พอกินอยู่แล้ว
ทีนี้มันดันเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะสิ ไม่รู้เพราะอะไรการกินมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวในเมืองของผมมันเพิ่มขึ้นเยอะมากหลายๆปีหลังมานี่ ทั้งที่คนในเมืองมันก็ไม่ได้เพิ่มมากมายอะไร กลายเป็นว่าผมมีมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวไม่พอให้คนในเมืองกิน พากันมาโวยวายที่สวนผมกันใหญ่เลย ผมก็ต้องหาทางออกโดยการไปขอซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้จากเมืองอื่น แต่มันก็ดันมีปัญหาอีกว่า เมืองอื่นเขาขายให้ผมในราคามะม่วงน้ำดอกไม้สุกคือ 900 บาท/กก. เพราะเขามองว่าการขายให้ผมนั้นไม่จำเป็นต้องขายที่ 333 บาท/กก. (แม้ตอนที่เขาขายให้ผมนั้นมันจะดิบก็ตาม) เพราะถึงไม่ขายผม เขาก็ขายให้คนในเมืองเขา หรือ เมืองอื่นๆ ที่ราคา 900 บาท/กก. ได้อยู่ดี
ผมมันก็คนทำมาค้าขาย ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ไหนจะลูกจ้างในสวนอีก จะให้ผมซื้อมา 900 บาท/กก. แล้วมาขาย 333 บาท/กก. ก็คงไม่สามารถทำได้ ก็เลยไปปรึกษาพ่อเมือง ซึ่งหนึ่งในนโยบายของแกก็คือให้ชาวเมืองได้กินมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ราคา 333 บาท/กก. นี่ล่ะ พ่อเมืองก็เลยให้เอาเงินส่วนกลาง (ที่ควรจะไปพัฒนาเมืองในเรื่องอื่นๆ) มาอุดหนุนราคานำเข้ามะม่วงน้ำดอกไม้ให้กับสวนของผม (รวมทั้งสวนอื่นๆในเมืองผมด้วย)
ทีนี้ปัญหาก็ตามมาจนได้ มันมีคนในเมืองบางคนหัวหมอน่ะสิ ก็คือซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ในเมืองผมที่ราคา 333 บาท/กก. แล้วเอาไปบ่มขายให้เมืองอื่นที่ราคา 900 บาท/กก. สร้างกำไรจากการเอาเงินส่วนกลางไปอุดหนุนราคามะม่วงน้ำดอกไม้กันเป็นล่ำเป็นสัน แถมชาวเมืองเมื่อเห็นมะม่วงน้ำดอกไม้ราคาถูกก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนปริมาณที่นำเข้ามาจากเมืองอื่นมันเพิ่มขึ้นเรื่อย สุดท้ายเงินส่วนกลางที่นำมาใช้ก็หมดลง
กลายเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ เพราะในเมืองผมไม่มีมะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยวกินกันเสียแล้ว จนได้อัศวินขี่ม้าขาวปลัดหนุ่มมาช่วยเอาไว้ โดยปลัดหนุ่มพยายามพัฒนามะม่วงทดแทนที่ให้รสชาติเปรี้ยวเหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ แรกๆ ผู้คนในเมืองก็ต่อต้านนะ ก็ต้องค่อยๆทำความเข้าใจกันไป จนทุกวันนี้ปัญหาดังกล่าวก็จบลงไปแล้ว กินมะม่วงทดแทน กันได้อย่างสบายใจ
ทุกวันนี้เมืองสารขัญธ์ของผมเหมือนฟ้าหลังฝนทีเดียวล่ะ ทำไมน่ะรึ ก็เพราะชาวบ้านในเมืองหันมาปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้กันเยอะเลย ไม่ใช่เพื่อกินเองแบบเปรี้ยวๆนะ (แต่ก็แน่ละต้องอดใจไม่ไหวกันบ้างล่ะ แม้จะมีมะม่วงเปรี้ยวทดแทนมาให้กินแล้ว) แต่เพื่อเอาไปบ่มให้สุกแล้วขายไปเมืองอื่นๆ สร้างรายได้กันเป็นกอบเป็นกำทีเดียว
สุดท้ายเมื่อแก้ปัญหาได้ตรงจุด ปัญหาเรื่องมะม่วงน้ำดอกไม้ ในเมืองผมก็จบลงแบบ Happy Ending ผมก็ได้แต่หวังว่าปัญหา LPG ของประเทศเราจะหาทางออกได้ในเร็ววันนะ ผมรู้ว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ กับ LPG มันไม่เหมือนกัน แถมผมเองก็เป็นแค่ชาวสวนคนนึง ความรู้เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจอะไร ก็ไม่มี ผมรู้แค่ว่าอะไรที่ผมต้องไปซื้อหามาจากคนอื่นเขา ผมก็จะใช้สอยอย่างประหยัดเท่านั้นเอง
รักนะประเทศไทย,
ลุงดำ น้ำดอกไม้
ปล. ลุงดำแกฝากมาบอกว่า LPG มันก็เหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ตรงที่ มะม่วงน้ำดอกไม้มันมีดีกว่าเอามากินเปรี้ยวๆ สร้างเงินสร้างรายได้ให้เมืองแกฉันใด LPG ก็สามารถสร้างคุณค่าให้แก่ประเทศได้มากกว่าการเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองฉันนั้น