Upside Down (2013) , นิยามรักปฏิวัติ 2 โลก

ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
(หากเราจะเปิด เราจะเตือนท่านก่อน เค้าล้อเล่น)


คุณต้องฟังเรื่องเล่าของอดัมก่อน

อดัมกล่าวว่า เรื่องเล่าของเขาเกิดจากความซุกซนเล็กๆน้อยจนทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล
ก่อนอื่น โลกที่เขาอาศัยอยู่มีปัจจัยทางธรรมชาติแปลกๆ พวกเขาอาศัยอยู่บนดาวแฝดที่มีค่าแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูดกันอยู่ ชนิดว่าใกล้ชิดกันมากเสียจน อีกแผ่นดิน กลายเป็นท้องฟ้าของอีกแผ่นดิน และดาวดวงนี้มันแปลกอยู่อย่างตรงที่ วัตถุที่เกิดจาก "ดินแดนข้างบน" ไม่สามารถลงมาสัมผัสกับวัตถุบน "ดินแดนข้างล่างได้" หากสัมผัสกันนานเกินไป พวกมันจะไหม้เป็ณจุณ ..

ทั้งสองดินแดนจึงมีกฏ ห้าม คนจากดินแดนทั้งสองลงมาเหยียบแผ่นดินของกันและกัน ใครฝ่าฝืนถือว่ามีความผิด ต้องโทษจำคุก ลงโทษสถานหนัก แต่มันน่าหดหู่ตรงที่ ทั้งสองดินแดนนั้นต่างกันราวสรวงสรรค์กับนรกโลกันต์

"ข้างบน" คือสรวงสวรรค์ ที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจาก "ข้างล่าง" ด้วยการดูดเอาน้ำมันดิบจากข้างล่างไปใช้ "ข้างบน" และ "ข้างบน" ยังใช้ทรัพยากรจากข้างล่างในการผลิตสินค้าราคาแพงหูดับ เพื่อนำมาขายกับชาวเมือง "ข้างล่าง" อีกต่างหาก ..

เริ่มเรื่องมาก็ดราม่าซะขนาดนี้แล้ว..


นั่นเป็นคำอธิบายคร่าวๆต่อหลักการของดาวแฝดในเรื่อง Upside Down ที่หนังเริ่มต้นด้วยการอธิบายของอดัมที่เสียงจิม สเตอเจสพาง่วงอยู่หน่อยๆ เพราะพูดยานคางชวนหลับ ตั้งแต่แรกเลยทีเดียว บวกกันกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ แรงโน้มถ่วง โลก อวกาศ บลา บลา บลา ทำเอาติดสตั๊นท์ไป 2-3 นาที เพราะเกือบฟังและคิดตามไม่ทัน ก่อนหนังจะเข้าเรื่องราว ดราม่า-โรแมนติคสักที

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของ อดัม เคิร์ก (จิม สเตอร์เจส) เด็กกำพร้าที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็ก โดยเขาบังเอิญได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งอย่าง อีเดน มัวร์ (เคิร์ทเทน ดันทส์) และดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะถูกชะตากัน แต่สิ่งหนึ่งที่คั่นกลางระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขาคือ "กฏธรรมชาติที่ไม่อาจฝืน" นั่นคือ "แรงโน้มถ่วง" ของดาวของพวกเขาเอง นำมาซึ่งเรื่องราวการต่อสู้ด้วย "พลังแห่งรัก" ที่ว่ากันว่าบางครั้งมันก็ยิ่งใหญ่เหนือ "กฏธรรมชาติ" ได้เหมือนกัน

Upside Down เป็นฝีมือของผู้กำกับจากเวทีโคตรอินดี้อย่าง Juan Diego Solanas ที่ทำหนังสั้นเข้าวินเวทีโคตรอินดี้มาหลายเวที กับคนเขียนบทดีกรีโคตรอินดี้พอๆกันแบบ Santiago Amigorena ที่เห็นทำหนังฝรั่งเศสมาตลอดจนกระทั่งมาถึง Upside Down กับพลอตเรื่องสุด(ประหลาด)ล้ำ ที่พาดาราคิวเงินมาประกบคู่กัน อย่าง เคิร์ทเตน ดันทส์ที่ดูเหมือนอยากหันไปเอาดีทาง หนังนอกกระแสเสียแล้ว กับพ่อหนุ่มหน้าหวานสุดหล่อ ขวัญใจคนล่าสุดของวงการอย่าง จิม สเตอร์เจส ที่พึ่งชนะใจแม่ยกมาใน Cloud Atlas ที่ความโทรมไม่อาจปิดพรางใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาได้เลย

ได้รับชมในแบบ 3D แล้วพบว่าคุ้มเหลือหลายสำหรับ Upside Down เพราะงานภาพและ CG งดงามอลังการล้านแปดจริงๆ เสมือนเราล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศและหุบเขา เป่าปุยเมฆตลอดเวลา และ จิม สเตอร์เจสก็ช่างหล่อจริงๆ แม้จะเรื่องไหนเรื่องนั้น ไม่เคยได้รับบทหล่อเนี้ยบกับเขาสักที มาในเรื่องนี้ยังคงทรุดโทรมอยู่เหมือนเดิม แต่จิมก็หล่อมากๆจริงๆ

ส่วนดันทส์สำหรับเรานี่น้ำตาแทบหลั่ง ลืมภาพช่วงเวลาอันจืดชืดของเธอแบบสาวจิตตกใน Melancholia ไปได้เลย และก็ไม่ใช่คาแรคเตอร์สาวหัวสูงที่พาเธอพีคสุดๆแบบ Mary Jane Wattson เพราะ นี่คือ Torrance Shipman จาก Bring It On! สาวน้อยสดใสที่ ดูน่าชื่นอกชื่นใจ และ อยากเดินเข้าไปจีบ เพราะเธอดูสวยและมีสเน่ห์จริงๆ เรื่องนี้ดันทส์สวยธรรมชาติมากๆ เมคอัพก็เป๊ะมาก ไม่เวอร์ ไม่โทรม สวยกำลังพอเหมาะพอเจาะ

แต่กระนั้นแล้วความสวยหล่อของนักแสดงบวกกับงานภาพสุดอลังการอาจกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าหาก มันอยู่ในหนังที่พลอตอ่อนยวบยาบ และการเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ

Upside down... ก็เกือบใช่แล้วล่ะ..

แม้จะมีวัตถุดิบที่ดีมากๆอย่างงานภาพและแนวคิดใหม่ๆของเนื้อเรื่อง แต่การเล่าเรื่องใน Upside Down ถือว่าค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียว หนังเปิดหน้าเราด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ยาวพรืด ต่อด้วยเรื่องราวดราม่า น่าเศร้า ถรุยชีวิต ต่อด้วยเรื่องรักโรแมนติค ที่ "ปราศจากจุดเชื่อมโยง" กันอย่างสิ้นเชิง

วิทยาศาสตร์ยังไม่ทันได้ซึ้ง ดราม่ายังไม่ทันได้เศร้า ส่วนเรื่องรักนั้นเล่าก็ไม่ได้รู้สึกอินตามเอาเสียเลย

แต่จะว่าไปแล้วก็มีฉากพาลพาน้ำตาไหลอยู่หลายฉากเหมือนกัน ต้องปรบมือเปาะแปะให้กับสเตอร์เจสพอเป็นพิธี เพราะแม้การแสดงจะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก แต่ก็มีโมเมนท์ชวนอึ้งกับความเป็นธรรมชาติจนรู้สึกว่า "ฮ๊า...นี่ล่ะไอ้คุณอดัมจอมประหม่า ริจะมาจีบนางฟ้าเรอะเอง!"

แม้จะพาสชั้นมาทำหนังตลาดแมสๆแล้ว แต่เพราะ Juan กับ Santiago ไม่ยอมทิ้ง "โคตรอินดี้สไตล์" ไปเสียบ้าง หนังมันเลยออกมาครึ่งๆกลางๆ จะตลาดก็ไม่ตลาด จะอินดี้ก็ไม่อินดี้ ก้ำๆกึ่งๆ ลงท้ายด้วยคนดูที่ไม่รู้สึกร่วมกับอะไรไปสักอย่าง (แบบดิฉัน) หากคาดหวังว่าจะมาเจอหนังรักสุดซึ่งตรึงใจ หนังก็ไม่ได้ไปถึงขนาดนั้น ..

แต่ไม่ใช่ว่าหนังเข้าขั้นห่วยแตก หรือ ย่ำแย่อะไรนัก เพราะโดยรวมแล้ว เราก็ยังสนุกกับฉากหลายๆฉาก อาจไม่ถึงขั้น "บันเทิงเริงใจ" แต่ก็เข้าข่าย "ก็ดีนะ"

ไม่อยากให้เชื่อการวิจารณ์ของใครจนพาลไม่ไปดูหนัง ไม่แน่หนังอาจถูกใจคุณกว่าที่คิด..

4/5



บรรทัดต่อไปนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ


จาก
ภารกิจของ อดัม ในการบุกสวน อีเดน หวังจะงาบ แอปเปิ้ล ของพระเจ้าครั้งนี้ เริ่มต้นด้วย ความอยากรู้อยากเห็น อันยิ่งใหญ่ แต่ลงท้ายด้วยความที่พระเจ้าจับไต๋ได้ซะก่อน แอปเปิ้ลเลยติดคอเอาไม่ออกสะงั้น จะคายก็ไม่ได้ จะกลืนก็ไม่ลง ค้างคาอยู่อย่างนั้น สุดท้าย แอปเปิ้ลก็ติดอยู่ในคอของอดัม จนกลายเป็นลูกกระเดือกของเขาตลอดไป...

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องเล่า "กำเนิดมวลมนุษย์"
อาจเป็น บทสรุปที่แท้จริง ของ Upside Down ก็เป็นได้...
อยากรู้ต้องไปดูเอง..




...


รีวิวมาเหมือนไม่ชอบนะคะ แต่จริงๆคือชอบมากค่ะ นี่เราให้คะแนนเกือบเท่า Cloud Atlas เลยนะ รู้สึกคล้ายๆกันด้วย แม้การเล่าเรื่องของผกก.จะน่าเบื่อ อย่างที่บอก แต่ชอบไอเดียและงานภาพรวมถึงองค์ประกอบทั้งหมดของหนังมาก และจิมกับเคิร์ทเตน ก็ชวนกรี๊ดจริงๆ เคิร์ทเตนนี่ไอดอลเราเลย >///< ส่วนจิมนี่ให้พูดตรงๆนะ แม้เราจะชอบที่นายหล่อ แต่นายไม่เหมาะกับบทโรแมนติคนะ ไปเล่นบทถึกๆเซ่อๆคนดีๆ แบบ The Way Back หรือ Cloud Atlas นั่นเหมาะแล้ว


อย่างที่บอกว่า อย่าเชื่อเรานะ ไม่แน่คุณอาจชอบก็ได้
ดูหนังให้สนุกนะจ๊ะทุกคน ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่