เหนือเมฆ 2 : เพิ่งรู้ว่านักการเมืองไทย “ล่วงละเมิดมิได้”?
E-Mail : siam_shinsengumi@hotmail.com
FaceBook : Siam Shinsengumi
สวัสดีปีใหม่ครับ..ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน วันนี้ผมมาพบท่านบนสถานที่แห่งใหม่ เนื่องจากเว็บบอร์ดสังคมคุณภาพอันดับ 1 เขาเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปเขียนบทความได้อีก เว้นเสียแต่ต้องสมัครสมาชิกเท่านั้น ซึ่งผมไม่ต้องการ เนื่องจากผมคิดว่าเราทุกคนล้วนมีเรื่องที่อยากพูด แต่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเราเป็นผู้พูดทั้งสิ้น ในเมื่อจุดประสงค์ของที่นั่นไม่ต้องการแบบนั้นอีก ผมจึงต้องย้ายบ้านมา ณ ที่นี้แหละครับ
กลับมาจากปีใหม่ แทนที่จะได้เริ่มกับสิ่งดีๆ กลายเป็นว่าเปลวไฟแห่งความขัดแย้งในบ้านเมือง เริ่มจะปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังนโยบาย 300 บาททั่วประเทศบังคับใช้ ผลคือเริ่มมีเจ้าของกิจการที่ไม่อาจแบกรับภาระได้ เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ต้องยอมปิดกิจการ แน่นอนว่าผลคือมีผู้ตกงานแล้วเป็นจำนวนมาก ไหนจะนโยบายรถคันแรก ที่วันนี้คน กทม. บ่นกันว่าขนาดยังออกมาไม่ครบยอดจอง รถยังติดกันขนาดนี้ แล้วถ้าออกมาครบจำนวน ต่อให้แค่ 30% ของทั้งหมด แต่เมื่อมียอดจองถึง 1 ล้านคัน ดังนั้นร้อยละ 30 ที่อยู่ใน กทม. ย่อมเท่ากับ 3 แสนคัน คิดดูละกันครับว่ารถจะติดเพิ่มอีกขนาดไหน ทั้งนี้ยังไม่รวมเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ที่กำลังถูกจับตามองกันอีกว่าจะแก้อย่างไร ทีละมาตรา หรือการทำประชามติจะ “หมูมาก” อย่างที่ใครบางคนเขาว่าไว้หรือไม่?
แต่ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในรอบสัปดาห์นี้ เมื่อละครหลังข่าวช่อง 3 “เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์” อยู่ดีๆ ก็ถูกงดออกอากาศไปดื้อๆ ด้วยเหตุผลเพียงว่า “บางช่วงมีเนื้อหาไม่เหมาะสม” และ ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ ก็ยังไม่มีใครออกมาชี้แจงว่า ละครเรื่องดังกล่าว “ไม่เหมาะสม” อย่างไร?
สารภาพกันตามตรง ผมเป็นแฟนละครเรื่องนี้แหละครับ ทั้งที่ปกติแล้ว ผมแทบไม่ดูละครหลังข่าวด้วยซ้ำไป เพราะเบื่อละครไทยที่วันๆ มีแต่น้ำเน่า ตบตี แย่งผัวแย่งเมีย นานๆ จะมีละครที่หันไปเล่นเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเมืองบ้าง ทำให้ทุกศุกร์-อาทิตย์ ผมต้องอยู่เฝ้าหน้าจอตลอด พร้อมๆ กับนั่งอ่านกระทู้จากห้องบันเทิงในบอร์ดสังคมคุณภาพ ก็ขำๆ ดีครับ หลายความเห็นบอกว่าเอามาจากหนังเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้างในฉากต่างๆ กลายเป็นผมเองก็มานั่งลุ้นว่า “วันนี้จะมีฉากที่เอามาจากหนัง-การ์ตูนเรื่องไหนโผล่มาอีก” ไปซะงั้น - -!
ที่ผมสงสัยอยู่ว่า การถอดละครเรื่องดังกล่าวด้วยเหตุผลว่า “ไม่เหมาะสม” นั้นไม่เหมาะสมอย่างไร ล่าสุด พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ออกมาให้ความเห็นเบื้องต้น ว่าช่อง 3 เองอาจจะเห็นว่าเนื้อหาของละครขัดต่อ พรบ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่งเมื่อผมนั้นไปพลิก พรบ. ดังกล่าวดู พบว่ามาตราที่เกี่ยวข้อง คือ มาตรา 37 ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง”
ในจุดนี้ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย ว่าละครเรื่องดังกล่าว 1.ต้องการให้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไร? (ใครอ่านเรื่องย่อจนจบ ตอบผมทีสิว่ามีฉากเรียกร้องให้ทำรัฐประหารหรือเปล่า? หรือมีการจาบจ้วงเบื้องสูงหรือเปล่า?) 2.หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อย่างไร?(ความมั่นคงของรัฐ? มีการเรียกร้องให้แบ่งแยกดินแดนหรือเปล่า? , ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน? มีการยุยงให้ยึดสถานที่ราชการ หรือเผาสถานที่ต่างๆ หรือเปล่า?) 3.หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง (เอ? หรือจะเป็นบทติดเรท? ถ้าแบบนั้นทำไม “แรงเงา” หรือ “ดอกส้มสีทอง” ถึงไม่โดนแบน? ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่าเล่นกันเรื่องชู้ เรื่องนอกใจ เรื่องทะเลาะวิวาทในครอบครัว ค่อนข้างรุนแรงมากเสียด้วย)
และที่มีกระแสข่าวบางส่วน มองว่าช่อง 3 เลือกที่จะแบน เพราะฉากๆ หนึ่ง ที่มีเงาดำทะมึนยืนอยู่ด้านหลังของตัวละคร “นายกฯ เมฆา” (แสดงโดยคุณนพพล โกมารชุน) แล้วมีคนไปตีความว่าพาดบิงเบื้องสูง อันอาจเสี่ยงต่อ ป.อาญา มาตรา 112 ประเด็นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะฉากดังกล่าว ผมจำได้ว่า “วิญญู” จอมมารขมังเวทย์ (แสดงโดยคุณฉัตรชัย เปล่งพานิช) ใช้พลังจิตบีบให้รัฐมนตรีทุกคนรวมทั้งนายกฯ เมฆาทำตามคำสั่ง แต่เพราะจิตของนายกฯ มีพลังแห่งความดีแก่กล้า ทำให้จอมมารไม่สามารถใช้พลังด้านมืดบังคับได้ (จะเห็นแสงสีน้ำเงินล้อมรอบตัวของนายกฯ แสงนี้เป็นตัวแทนของพลังด้านสว่าง ซึ่งบางคนเดาว่าคนเขียนบทได้อิทธิพลมาจากดาบเลเซอร์ใน Star Wars ที่พวก Jedi อัศวินที่ใช้พลังด้านสว่าง จะใช้ดาบสีเขียวกับสีน้ำเงิน ขณะที่พวก Sith นักรบที่ใช้พลังด้านมืด จะใช้ดาบสีแดง) และเงาสีดำๆ นั้น เป็นเงาของ “จอมมาร” ครับ ไม่ใช่เงาของผู้มีบารมีอะไรทั้งสิ้น รวมถึงแสงสีน้ำเงินนั่น ก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “สัญลักษณ์” ของพลังด้านสว่าง ที่จะปกป้องผู้ที่ยึดมั่นในความดีงาม เท่านั้นเอง ที่สำคัญ..ฉากดังกล่าวผ่านไปแล้ว ถ้าจะมีเรื่อง หรือถ้ากลัวกันจริงๆ ทำไมไม่ห้ามแต่แรก หรือสั่งให้ทีมผู้จัดไปแก้ไขแต่แรก (อย่าลืมว่าช่อง 3 ใช้ระบบถ่ายจบแล้ว On Air ไม่ใช่ถ่ายไปฉายไปแบบอีกช่องหนึ่ง)
หรือต่อให้ผม “ดริฟท์ให้สุดๆ จนสีข้างถลอก” ที่จะยกเหตุผลมาแบน ว่าละครเรื่องนี้อาจทำให้คนเกลียดนักการเมือง อันเป็นหัวใจสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วอาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ (ผมเพิ่งรู้นะว่านักการเมืองของเราสำคัญ..ม๊ากมาก จนแตะต้องมิได้) ละครเรื่องนี้ ก็เป็นข้อเปรียบเทียบไม่ใช่หรือ? ว่าอะไรคือสิ่งที่นักการเมืองที่ดีพึงคิดและพึงกระทำ เพราะตัวละครหลักที่เป็นนักการเมือง ก็มี 1 คนที่เป็นคนดี และมีอีก 1 คนที่เป็นตัวร้าย ตัวละครนักการเมืองฝ่ายดี พึงอนุมัติโครงการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาว (การพัฒนาการศึกษาของเยาวชน – ผมเห็นรัฐบาลทุกยุคพูดว่าจะทำ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เห็นมีใครเอาจริงเอาจังซะที ไว้ว่างๆ ผมจะว่าด้วยเรื่องนี้เต็มๆ สักตอน) ที่แทบไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ เป็นการส่วนตัว ขณะที่ตัวละครที่เป็นนักการเมืองฝ่ายผู้ร้าย พึงอนุมัติโครงการต่างๆ ที่ (อาจจะ) ได้ประโยชน์กับประชาชน แต่สิ่งที่แฝงอยู่ด้วย คือผลประโยชน์ทับซ้อนกับตัวเองและพวกพ้องที่มากกว่า (โครงการสัมปทานดาวเทียม?)
จากตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ อ.ธีรยุทธ บุญมี เคยให้ความเห็นไว้ว่า “เราไม่เคยสร้างวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยให้กับประชาชน” (Scoop หน้า 5 นสพ. แนวหน้า ฉบับวันที่ 13/12/2555) เพราะไม่ว่าจะยุคทหารครองเมือง หรือยุคนายทุนยึดสภา ผลก็ไม่ต่างกัน นักการเมือง หรือแม้แต่ข้าราชการประจำในบางสังกัด ก็ไม่ยอมให้มีการสร้างภาพยนตร์หรือละคร ที่ให้ภาพเชิงลบกับบุคคล หรือองค์กรดังกล่าว หากใครจำกันได้ หลายปีก่อนละครช่อง 7 อย่าง “สารวัตรใหญ่” ก็เคยถูกแบนมาแล้ว หรือต่อให้ไม่พูดเรื่องการทุจริต แต่ภาพยนตร์แนวเพศที่ 3 ที่เนื้อหาเข้มข้นอย่าง “เพื่อน..GuรักMuengว่ะ” (ที่บางคนบอกว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของพจน์ อานนท์) ก็ต้องเปลี่ยนบทตัวเอกคนหนึ่ง จากที่เป็นตำรวจ ให้เป็นเพียงนักสืบเอกชน เพราะตำรวจรับไม่ได้ที่มีบุคลากรของตนเป็นเกย์ หรือแม้แต่พอเปลี่ยนขั้วอำนาจ ละครที่กล่าวถึงอดีตนายกฯ ที่วันนี้เร่ร่อนอยู่ต่างแดน ก็ถูกแบนไปด้วย ทั้งที่นอกจากมุมของการเมืองแล้ว ชีวิตในแง่นักธุรกิจของอดีตนายกฯ ผู้นี้ ก็ถือน่าสนใจ และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ไม่น้อย (นักวิทยาศาสตร์ , นักธุรกิจระดับชั้นนำ เขาก็มีหลายมุม ถ้าไม่อยากพูดในมุมด้านมืด ก็ยังสามารถสร้างในมุมดีๆ ของเขาได้เช่นกัน)
อย่าหาว่าผมอวยละครเรื่องนี้เลยนะครับ บอกตามตรง ตอนที่ผมดู ผมไม่เคยนึกถึงการเมืองจริงๆ เลยด้วยซ้ำ (และออกจะเอือมพวกเอาละครไปโยงการเมืองในเว็บบอร์ดต่างๆ อีกต่างหาก) แต่ผมคิดว่าละครเรื่องนี้ ไม่ว่าผู้จัดจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ผลของมันคือ ละครเรื่องนี้กำลังพยายามสร้าง “ค่านิยม” ที่ถูกต้องดีงาม ให้กับผู้ชม ในฐานะประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ว่านักการเมืองแบบไหนที่เราสมควรสนับสนุน หรือแม้แต่การยึดมั่นใน “ความดี” ที่เป็นหลักการ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวบุคคล “คนดีอาจตายได้ แต่ความดีจะไม่มีวันตาย” (จะเห็นได้ว่าตัวละครหลักๆ ฝ่ายดีก็ตายได้ ชนิดช็อคแฟนละครเสียด้วย) พล็อตเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับต่างประเทศ (ล่าสุดผมยังนึกถึงหนังฝรั่งอย่าง Immortal อยู่เลย ผมชอบคำคมในหนังเรื่องนี้มากครับ) แต่อาจจะเป็นของใหม่ของบ้านเรา ที่ถือว่าฉีกแนวเดิมๆ ละครไทยไปมาก ซึ่งถ้ามีคนกล้าสร้างเนื้อหาแบบนี้แล้วได้เผยแพร่จนจบ ก็น่าจะมีคนกล้าเขียนบทในแนวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชิงรักหักสวาท (และไม่ใช่การ Remake ของเก่า) ออกมาอีกเรื่อยๆ
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ..ที่วันนี้คนศรัทธาในความดีงาม คุณธรรมจริยธรรมน้อยลง ขนาด Poll หลายสำนัก ยังชี้ตรงกันว่าคนทั่วไป “รับได้..ถ้ามีการคอรัปชั่นแล้วตัวเองได้ประโยชน์” หรือที่แย่กว่านั้นอีก หมู่นี้ผมเจอพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน ไม่อยากสอนลูกให้เป็นคนดีแล้ว แต่สอนให้เรียนเก่งๆ หาเงินมากๆ โดยไม่ต้องเลือกวิถีทาง และเน้นการหา Connection กับคนใหญ่คนโต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและครอบครัวดีกว่า เพราะบ้านนี้เมืองนี้ คนมีเงิน มีอำนาจ ทำอะไรก็ไม่ผิด..มีแต่รอด มีแต่ถูกต้องไปเสียหมด (ว่ากันหยาบๆ ความดีมันไม่อิ่มท้องครับ สู้เงินไม่ได้ ต่างชาติมันยังรู้เลยว่าเมืองไทยมีเงินก็เป็นเทวดาได้แล้ว)
ขนาดละคร..โลกแห่งความฝัน ยังโดนคุกคามแบบนี้ โลกแห่งความจริงจะเหลืออะไรละครับ?
เหนื่อยใจแทนคนที่อยากเป็น “คนดี” ทุกคนจริงๆ
Siam Shinsengumi
……………………………………
เหนือเมฆ 2 : เพิ่งรู้ว่านักการเมืองไทย “ล่วงละเมิดมิได้”?
E-Mail : siam_shinsengumi@hotmail.com
FaceBook : Siam Shinsengumi
สวัสดีปีใหม่ครับ..ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน วันนี้ผมมาพบท่านบนสถานที่แห่งใหม่ เนื่องจากเว็บบอร์ดสังคมคุณภาพอันดับ 1 เขาเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปเขียนบทความได้อีก เว้นเสียแต่ต้องสมัครสมาชิกเท่านั้น ซึ่งผมไม่ต้องการ เนื่องจากผมคิดว่าเราทุกคนล้วนมีเรื่องที่อยากพูด แต่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเราเป็นผู้พูดทั้งสิ้น ในเมื่อจุดประสงค์ของที่นั่นไม่ต้องการแบบนั้นอีก ผมจึงต้องย้ายบ้านมา ณ ที่นี้แหละครับ
กลับมาจากปีใหม่ แทนที่จะได้เริ่มกับสิ่งดีๆ กลายเป็นว่าเปลวไฟแห่งความขัดแย้งในบ้านเมือง เริ่มจะปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังนโยบาย 300 บาททั่วประเทศบังคับใช้ ผลคือเริ่มมีเจ้าของกิจการที่ไม่อาจแบกรับภาระได้ เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ต้องยอมปิดกิจการ แน่นอนว่าผลคือมีผู้ตกงานแล้วเป็นจำนวนมาก ไหนจะนโยบายรถคันแรก ที่วันนี้คน กทม. บ่นกันว่าขนาดยังออกมาไม่ครบยอดจอง รถยังติดกันขนาดนี้ แล้วถ้าออกมาครบจำนวน ต่อให้แค่ 30% ของทั้งหมด แต่เมื่อมียอดจองถึง 1 ล้านคัน ดังนั้นร้อยละ 30 ที่อยู่ใน กทม. ย่อมเท่ากับ 3 แสนคัน คิดดูละกันครับว่ารถจะติดเพิ่มอีกขนาดไหน ทั้งนี้ยังไม่รวมเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ที่กำลังถูกจับตามองกันอีกว่าจะแก้อย่างไร ทีละมาตรา หรือการทำประชามติจะ “หมูมาก” อย่างที่ใครบางคนเขาว่าไว้หรือไม่?
แต่ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในรอบสัปดาห์นี้ เมื่อละครหลังข่าวช่อง 3 “เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์” อยู่ดีๆ ก็ถูกงดออกอากาศไปดื้อๆ ด้วยเหตุผลเพียงว่า “บางช่วงมีเนื้อหาไม่เหมาะสม” และ ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ ก็ยังไม่มีใครออกมาชี้แจงว่า ละครเรื่องดังกล่าว “ไม่เหมาะสม” อย่างไร?
สารภาพกันตามตรง ผมเป็นแฟนละครเรื่องนี้แหละครับ ทั้งที่ปกติแล้ว ผมแทบไม่ดูละครหลังข่าวด้วยซ้ำไป เพราะเบื่อละครไทยที่วันๆ มีแต่น้ำเน่า ตบตี แย่งผัวแย่งเมีย นานๆ จะมีละครที่หันไปเล่นเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเมืองบ้าง ทำให้ทุกศุกร์-อาทิตย์ ผมต้องอยู่เฝ้าหน้าจอตลอด พร้อมๆ กับนั่งอ่านกระทู้จากห้องบันเทิงในบอร์ดสังคมคุณภาพ ก็ขำๆ ดีครับ หลายความเห็นบอกว่าเอามาจากหนังเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้างในฉากต่างๆ กลายเป็นผมเองก็มานั่งลุ้นว่า “วันนี้จะมีฉากที่เอามาจากหนัง-การ์ตูนเรื่องไหนโผล่มาอีก” ไปซะงั้น - -!
ที่ผมสงสัยอยู่ว่า การถอดละครเรื่องดังกล่าวด้วยเหตุผลว่า “ไม่เหมาะสม” นั้นไม่เหมาะสมอย่างไร ล่าสุด พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ ออกมาให้ความเห็นเบื้องต้น ว่าช่อง 3 เองอาจจะเห็นว่าเนื้อหาของละครขัดต่อ พรบ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่งเมื่อผมนั้นไปพลิก พรบ. ดังกล่าวดู พบว่ามาตราที่เกี่ยวข้อง คือ มาตรา 37 ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง”
ในจุดนี้ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย ว่าละครเรื่องดังกล่าว 1.ต้องการให้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไร? (ใครอ่านเรื่องย่อจนจบ ตอบผมทีสิว่ามีฉากเรียกร้องให้ทำรัฐประหารหรือเปล่า? หรือมีการจาบจ้วงเบื้องสูงหรือเปล่า?) 2.หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อย่างไร?(ความมั่นคงของรัฐ? มีการเรียกร้องให้แบ่งแยกดินแดนหรือเปล่า? , ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน? มีการยุยงให้ยึดสถานที่ราชการ หรือเผาสถานที่ต่างๆ หรือเปล่า?) 3.หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง (เอ? หรือจะเป็นบทติดเรท? ถ้าแบบนั้นทำไม “แรงเงา” หรือ “ดอกส้มสีทอง” ถึงไม่โดนแบน? ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่าเล่นกันเรื่องชู้ เรื่องนอกใจ เรื่องทะเลาะวิวาทในครอบครัว ค่อนข้างรุนแรงมากเสียด้วย)
และที่มีกระแสข่าวบางส่วน มองว่าช่อง 3 เลือกที่จะแบน เพราะฉากๆ หนึ่ง ที่มีเงาดำทะมึนยืนอยู่ด้านหลังของตัวละคร “นายกฯ เมฆา” (แสดงโดยคุณนพพล โกมารชุน) แล้วมีคนไปตีความว่าพาดบิงเบื้องสูง อันอาจเสี่ยงต่อ ป.อาญา มาตรา 112 ประเด็นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะฉากดังกล่าว ผมจำได้ว่า “วิญญู” จอมมารขมังเวทย์ (แสดงโดยคุณฉัตรชัย เปล่งพานิช) ใช้พลังจิตบีบให้รัฐมนตรีทุกคนรวมทั้งนายกฯ เมฆาทำตามคำสั่ง แต่เพราะจิตของนายกฯ มีพลังแห่งความดีแก่กล้า ทำให้จอมมารไม่สามารถใช้พลังด้านมืดบังคับได้ (จะเห็นแสงสีน้ำเงินล้อมรอบตัวของนายกฯ แสงนี้เป็นตัวแทนของพลังด้านสว่าง ซึ่งบางคนเดาว่าคนเขียนบทได้อิทธิพลมาจากดาบเลเซอร์ใน Star Wars ที่พวก Jedi อัศวินที่ใช้พลังด้านสว่าง จะใช้ดาบสีเขียวกับสีน้ำเงิน ขณะที่พวก Sith นักรบที่ใช้พลังด้านมืด จะใช้ดาบสีแดง) และเงาสีดำๆ นั้น เป็นเงาของ “จอมมาร” ครับ ไม่ใช่เงาของผู้มีบารมีอะไรทั้งสิ้น รวมถึงแสงสีน้ำเงินนั่น ก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “สัญลักษณ์” ของพลังด้านสว่าง ที่จะปกป้องผู้ที่ยึดมั่นในความดีงาม เท่านั้นเอง ที่สำคัญ..ฉากดังกล่าวผ่านไปแล้ว ถ้าจะมีเรื่อง หรือถ้ากลัวกันจริงๆ ทำไมไม่ห้ามแต่แรก หรือสั่งให้ทีมผู้จัดไปแก้ไขแต่แรก (อย่าลืมว่าช่อง 3 ใช้ระบบถ่ายจบแล้ว On Air ไม่ใช่ถ่ายไปฉายไปแบบอีกช่องหนึ่ง)
หรือต่อให้ผม “ดริฟท์ให้สุดๆ จนสีข้างถลอก” ที่จะยกเหตุผลมาแบน ว่าละครเรื่องนี้อาจทำให้คนเกลียดนักการเมือง อันเป็นหัวใจสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วอาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ (ผมเพิ่งรู้นะว่านักการเมืองของเราสำคัญ..ม๊ากมาก จนแตะต้องมิได้) ละครเรื่องนี้ ก็เป็นข้อเปรียบเทียบไม่ใช่หรือ? ว่าอะไรคือสิ่งที่นักการเมืองที่ดีพึงคิดและพึงกระทำ เพราะตัวละครหลักที่เป็นนักการเมือง ก็มี 1 คนที่เป็นคนดี และมีอีก 1 คนที่เป็นตัวร้าย ตัวละครนักการเมืองฝ่ายดี พึงอนุมัติโครงการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาว (การพัฒนาการศึกษาของเยาวชน – ผมเห็นรัฐบาลทุกยุคพูดว่าจะทำ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เห็นมีใครเอาจริงเอาจังซะที ไว้ว่างๆ ผมจะว่าด้วยเรื่องนี้เต็มๆ สักตอน) ที่แทบไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ เป็นการส่วนตัว ขณะที่ตัวละครที่เป็นนักการเมืองฝ่ายผู้ร้าย พึงอนุมัติโครงการต่างๆ ที่ (อาจจะ) ได้ประโยชน์กับประชาชน แต่สิ่งที่แฝงอยู่ด้วย คือผลประโยชน์ทับซ้อนกับตัวเองและพวกพ้องที่มากกว่า (โครงการสัมปทานดาวเทียม?)
จากตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ อ.ธีรยุทธ บุญมี เคยให้ความเห็นไว้ว่า “เราไม่เคยสร้างวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยให้กับประชาชน” (Scoop หน้า 5 นสพ. แนวหน้า ฉบับวันที่ 13/12/2555) เพราะไม่ว่าจะยุคทหารครองเมือง หรือยุคนายทุนยึดสภา ผลก็ไม่ต่างกัน นักการเมือง หรือแม้แต่ข้าราชการประจำในบางสังกัด ก็ไม่ยอมให้มีการสร้างภาพยนตร์หรือละคร ที่ให้ภาพเชิงลบกับบุคคล หรือองค์กรดังกล่าว หากใครจำกันได้ หลายปีก่อนละครช่อง 7 อย่าง “สารวัตรใหญ่” ก็เคยถูกแบนมาแล้ว หรือต่อให้ไม่พูดเรื่องการทุจริต แต่ภาพยนตร์แนวเพศที่ 3 ที่เนื้อหาเข้มข้นอย่าง “เพื่อน..GuรักMuengว่ะ” (ที่บางคนบอกว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของพจน์ อานนท์) ก็ต้องเปลี่ยนบทตัวเอกคนหนึ่ง จากที่เป็นตำรวจ ให้เป็นเพียงนักสืบเอกชน เพราะตำรวจรับไม่ได้ที่มีบุคลากรของตนเป็นเกย์ หรือแม้แต่พอเปลี่ยนขั้วอำนาจ ละครที่กล่าวถึงอดีตนายกฯ ที่วันนี้เร่ร่อนอยู่ต่างแดน ก็ถูกแบนไปด้วย ทั้งที่นอกจากมุมของการเมืองแล้ว ชีวิตในแง่นักธุรกิจของอดีตนายกฯ ผู้นี้ ก็ถือน่าสนใจ และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ไม่น้อย (นักวิทยาศาสตร์ , นักธุรกิจระดับชั้นนำ เขาก็มีหลายมุม ถ้าไม่อยากพูดในมุมด้านมืด ก็ยังสามารถสร้างในมุมดีๆ ของเขาได้เช่นกัน)
อย่าหาว่าผมอวยละครเรื่องนี้เลยนะครับ บอกตามตรง ตอนที่ผมดู ผมไม่เคยนึกถึงการเมืองจริงๆ เลยด้วยซ้ำ (และออกจะเอือมพวกเอาละครไปโยงการเมืองในเว็บบอร์ดต่างๆ อีกต่างหาก) แต่ผมคิดว่าละครเรื่องนี้ ไม่ว่าผู้จัดจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ผลของมันคือ ละครเรื่องนี้กำลังพยายามสร้าง “ค่านิยม” ที่ถูกต้องดีงาม ให้กับผู้ชม ในฐานะประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ว่านักการเมืองแบบไหนที่เราสมควรสนับสนุน หรือแม้แต่การยึดมั่นใน “ความดี” ที่เป็นหลักการ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวบุคคล “คนดีอาจตายได้ แต่ความดีจะไม่มีวันตาย” (จะเห็นได้ว่าตัวละครหลักๆ ฝ่ายดีก็ตายได้ ชนิดช็อคแฟนละครเสียด้วย) พล็อตเหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับต่างประเทศ (ล่าสุดผมยังนึกถึงหนังฝรั่งอย่าง Immortal อยู่เลย ผมชอบคำคมในหนังเรื่องนี้มากครับ) แต่อาจจะเป็นของใหม่ของบ้านเรา ที่ถือว่าฉีกแนวเดิมๆ ละครไทยไปมาก ซึ่งถ้ามีคนกล้าสร้างเนื้อหาแบบนี้แล้วได้เผยแพร่จนจบ ก็น่าจะมีคนกล้าเขียนบทในแนวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชิงรักหักสวาท (และไม่ใช่การ Remake ของเก่า) ออกมาอีกเรื่อยๆ
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ..ที่วันนี้คนศรัทธาในความดีงาม คุณธรรมจริยธรรมน้อยลง ขนาด Poll หลายสำนัก ยังชี้ตรงกันว่าคนทั่วไป “รับได้..ถ้ามีการคอรัปชั่นแล้วตัวเองได้ประโยชน์” หรือที่แย่กว่านั้นอีก หมู่นี้ผมเจอพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน ไม่อยากสอนลูกให้เป็นคนดีแล้ว แต่สอนให้เรียนเก่งๆ หาเงินมากๆ โดยไม่ต้องเลือกวิถีทาง และเน้นการหา Connection กับคนใหญ่คนโต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและครอบครัวดีกว่า เพราะบ้านนี้เมืองนี้ คนมีเงิน มีอำนาจ ทำอะไรก็ไม่ผิด..มีแต่รอด มีแต่ถูกต้องไปเสียหมด (ว่ากันหยาบๆ ความดีมันไม่อิ่มท้องครับ สู้เงินไม่ได้ ต่างชาติมันยังรู้เลยว่าเมืองไทยมีเงินก็เป็นเทวดาได้แล้ว)
ขนาดละคร..โลกแห่งความฝัน ยังโดนคุกคามแบบนี้ โลกแห่งความจริงจะเหลืออะไรละครับ?
เหนื่อยใจแทนคนที่อยากเป็น “คนดี” ทุกคนจริงๆ
Siam Shinsengumi
……………………………………