หลายๆ คนคงรู้ดีถ้าหากเอ่ยถึงเอกลักษณ์ของสินค้าทุกชนิดที่ติดแบรนด์ Apple สิ่งที่ว่านั้นคือ ไม่ว่ามันจะเป็นสินค้าชนิดไหน รูปแบบและการใช้งานเป็นอย่างไรแต่ถ้าได้แปะโลโก้ แอปเปิลแหว่ง ลงไปแล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าราคาของมันจะมากกว่าสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว แต่หลังจากการประกาศเปิดตัว i Phone 3G S ในงาน WWDC (World Wide Developer Conference) ที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าแนวโน้มด้านการตลาดและการวาง Positioning สินค้าของ Apple กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป...
ภาพ: 399 -> 199 -> 99 แม่เจ้า !!
ตัวอย่างที่สามารถชี้ชัดแนวคิดของนักวิเคราะห์ก็คือ การที่ Apple ยังคงรักษาสายการผลิต i Phone 3G 8GB ตัวเก่าเอาไว้ และลดราคามันให้เหลือเพียงแค่ 99 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (หรือประมาณ 3,000-4,000 บาท) และหนำซ้ำยังมีการลดราคา MacBook Pro 15 นิ้วและ MacBook Air (ราคาของ Air ลดลงมากว่า 500 ดอลลาร์) อีกด้วย และ Apple ยังตบท้ายด้วยแผนการที่จะให้ User เก่าสามารถอัปเกรดระบบปฎิบัติการตัวใหม่ (Snow Leopard หรือ OS X 10.6) ได้ในราคาแค่เพียง 29 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (ประมาณ 900 บาทเท่านั้น จากเมื่อก่อนที่ต้องซื้อใหม่ยกระบบกว่า 6,000 บาท) เพื่อท้าชนกับ Windows ตัวใหม่ (Windows 7) ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ (เดือนเดียวกันซะด้วย !)
ภาพ : ตารางเปรียบเทียบการใช้งานจริงระหว่าง Snow Leopard (OSX 10.6) และ Windows 7
(เน้นฮานะครับอย่าเอาไปอ้างอิง...)
จากการหั่นราคาครั้งยิ่งใหญ่ของ Apple ในครั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Apple พยายามที่จะผลักดันให้เกิดกระแส “การเปลี่ยนระบบ” ครั้งใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ และมือถือ แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของ Apple ที่เปลี่ยนไปตามกระแสเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการที่ Apple สนใจที่จะมีส่วนแบ่งในตลาด “ระดับกลาง” มากขึ้นอีกด้วย (เป็นส่วนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเยอะที่สุด และมีผู้วิเคราะห์ว่าลูกค้าในตลาดระดับกลางนั้น ”ส่วนใหญ่” จะมีความรู้และความเชี่ยวชาญมากกว่าระดับอื่น) แต่มันก็เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไม Apple ถึงลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้?
Apple กับแนวการตลาดที่เปลี่ยนไป !?
Apple กับแนวการตลาดที่เปลี่ยนไป
หลายๆ คนคงรู้ดีถ้าหากเอ่ยถึงเอกลักษณ์ของสินค้าทุกชนิดที่ติดแบรนด์ Apple สิ่งที่ว่านั้นคือ ไม่ว่ามันจะเป็นสินค้าชนิดไหน รูปแบบและการใช้งานเป็นอย่างไรแต่ถ้าได้แปะโลโก้ แอปเปิลแหว่ง ลงไปแล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าราคาของมันจะมากกว่าสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว แต่หลังจากการประกาศเปิดตัว i Phone 3G S ในงาน WWDC (World Wide Developer Conference) ที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าแนวโน้มด้านการตลาดและการวาง Positioning สินค้าของ Apple กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป...
ภาพ: 399 -> 199 -> 99 แม่เจ้า !!
ตัวอย่างที่สามารถชี้ชัดแนวคิดของนักวิเคราะห์ก็คือ การที่ Apple ยังคงรักษาสายการผลิต i Phone 3G 8GB ตัวเก่าเอาไว้ และลดราคามันให้เหลือเพียงแค่ 99 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (หรือประมาณ 3,000-4,000 บาท) และหนำซ้ำยังมีการลดราคา MacBook Pro 15 นิ้วและ MacBook Air (ราคาของ Air ลดลงมากว่า 500 ดอลลาร์) อีกด้วย และ Apple ยังตบท้ายด้วยแผนการที่จะให้ User เก่าสามารถอัปเกรดระบบปฎิบัติการตัวใหม่ (Snow Leopard หรือ OS X 10.6) ได้ในราคาแค่เพียง 29 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น (ประมาณ 900 บาทเท่านั้น จากเมื่อก่อนที่ต้องซื้อใหม่ยกระบบกว่า 6,000 บาท) เพื่อท้าชนกับ Windows ตัวใหม่ (Windows 7) ที่กำลังจะออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้ (เดือนเดียวกันซะด้วย !)
ภาพ : ตารางเปรียบเทียบการใช้งานจริงระหว่าง Snow Leopard (OSX 10.6) และ Windows 7
(เน้นฮานะครับอย่าเอาไปอ้างอิง...)
จากการหั่นราคาครั้งยิ่งใหญ่ของ Apple ในครั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Apple พยายามที่จะผลักดันให้เกิดกระแส “การเปลี่ยนระบบ” ครั้งใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ และมือถือ แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของ Apple ที่เปลี่ยนไปตามกระแสเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการที่ Apple สนใจที่จะมีส่วนแบ่งในตลาด “ระดับกลาง” มากขึ้นอีกด้วย (เป็นส่วนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเยอะที่สุด และมีผู้วิเคราะห์ว่าลูกค้าในตลาดระดับกลางนั้น ”ส่วนใหญ่” จะมีความรู้และความเชี่ยวชาญมากกว่าระดับอื่น) แต่มันก็เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไม Apple ถึงลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้?
ปัจจัยหลักที่ทำให้ iPhone ดัมพ์ราคาเหลือแค่ 99 เหรียญก็คือ ความต้องการขยายตลาดของของ Apple ที่ต้องการให้ iPhone เป็นโทรศัพท์มือถือที่ “ใครๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของได้” และปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ มันเป็นวิธีสกัดคู่แข่งที่จะออกมาใหม่ที่ดีที่สุด คู่แข่งที่ว่านั้นก็คือPalm Pre ที่หลายๆ สำนักและเวปไซต์ได้อธิบายศักยภาพของมันไว้ว่า “มันเกิดมาเพื่อฆ่า iPhone” ( iPhone Killer ) แต่ในเมื่อราคาของมันดันแพงกว่า iPhone กว่าเท่าตัว (Palm Pre ราคา $199) ดังนั้นจึงเกิดกระแสขึ้นว่ามันจะตายก่อนที่จะได้เกิดรึเปล่า?
ภาพ : Whoever Win "We" lose
(ไม่ว่าใครชนะเราก็เสียตังอยู่ดี...)
ไม่ใช่แค่เฉพาะ Palm เท่านั้นที่เกิดผลกระทบ แต่มันส่งผลถึงโทรศัพท์ทุกแบรน์ที่มีราคาอยู่ในช่วง 100-200 ดอลลาร์, จากการรายงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมา Apple มีส่วนแบ่งในตลาด Smart Phone กว่า 11 เปอร์เซ็นต์และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีการคาดการว่าหลังจากการกระหน่ำลดราคา iPhone ครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะทำให้ส่วนแบ่งในตลาด Smart Phone ของ Apple เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 15 เปอร์เซ็นต์ภายในปีเดียว และมีรายงานว่าขณะนี้ Apple ได้จำหน่าย iPhone ไปทั่วโลกมากกว่า 20 ล้านเครื่องแล้ว โดยแบ่งเป็น 4.7 ล้านเครื่องที่จำหน่ายด้วยราคาเปิดตัว ( $399 ) และ16 ล้านเครื่องด้วยราคาที่ลดลงมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ( $399 ->$199 ) ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีเจ้าของ iPhone มากขึ้นกว่า 30 ล้านคนทั่วโลกและ iphone จะกลายเป็นมือถือที่มีคนใช้มากที่สุดในเวลาอันใกล้นี้
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ