ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 12 ล้ววันนี้ก็มาถึง

กระทู้สนทนา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทนำ - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=27-12-2012&group=1&gblog=1
ตอนที่ 1   พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้ - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=27-12-2012&group=1&gblog=2
ตอนที่ 2   ค่ำคืนที่แสนยาวนาน - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=28-12-2012&group=1&gblog=3
ตอนที่ 3   ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=29-12-2012&group=1&gblog=4
ตอนที่ 4   สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5   ความเครียดที่มองไม่เห็น - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html
ตอนที่ 6   ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html
ตอนที่ 7   Stand by Me - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W12917721/W12917721.html
ตอนที่ 8   นับหนึ่งกันใหม่ - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W12948984/W12948984.html
ตอนที่ 9   เป้าหมายข้างหน้ายังคงชัดเจน - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13015139/W13015139.html
ตอนที่ 10 ย้ายห้องอีกรอบ - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13055442/W13055442.html
ตอนที่ 11 อีกนิดเดียวเอง - http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13076800/W13076800.html

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 12 แล้ววันนี้ก็มาถึง

อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ...........................

ณ โรงพยาบาลตอนเช้าวันหนึ่งเวลาประมาณหกโมง ผมยังคงหลับอยู่ที่โซฟาในโรงพยาบาล มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผมที่จะมานอนอยู่ที่นี่อยู่เป็นเพื่อนหน่องแบบนี้ตั้งแต่หน่องได้ย้ายมาอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยบนชั้นที่ 14 นี้  และปกติแล้วทุกๆเช้าเวลาประมาณ 7 โมงเช้า จะมีทางคุณหมอและพยาบาลเข้ามาในห้องเพื่อมาตรวจร่างกายหน่อง  ซึ่งผมกับหน่องก็จะถูกปลุกให้ตื่นในเวลานั้นเป็นประจำ  แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกัน เพียงแค่ 6 โมงเช้า  ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงที่ตกใจและดังมากของหน่อง

พี่ตี้ๆๆๆๆ!!!!!!! หน่องตะโกนเรียกผมให้ตื่นขึ้นมา

มีอะไรหน่อง ผมถามหน่องด้วยความตกใจและงัวเงีย

น้ำ มีน้ำเลอะเต็มเตียงไปหมดเลย เปียกไปหมดเลยพี่  หน่องบอกด้วยความตื่นเต้น

ผมเดินเข้าไปดูที่เตียงหน่อง

โห นี่มันอะไรเนี่ย  ผมถามด้วยความงงๆ

ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว หน่องตอบ

น้ำเดินแน่ๆเลย ผมรีบบอกหน่อง แต่ยังงงๆ ทำอะไรไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี

กดเรียกพยาบาลให้หน่องหน่อย  หน่องแนะ

ผมก็รีบกดปุ่มเรียกพยาบาลทันที เสียงจากทางนั้นถามกลับมาว่าคนไข้ต้องการอะไร

น้ำเต็มเตียงคนไข้เลยครับ สงสัยว่าน้ำเดิน  ผมรีบตอบเสียงปลายสาย

ทันใดนั้นก็มีพยาบาลสองสามคนรีบมาที่ห้องทันที

น้ำเดินค่ะ  วันนี้เตรียมตัวไปคลอดนะคะ พยาบาลรีบตอบ

จากนั้นพยาบาลรีบติดต่อกับทางห้องคลอดพิเศษเพื่อส่งคุณแม่ไปคลอดที่นั่นทันที ส่วนผมกับหน่องมองหน้ากัน หน่องยิ้มแฉ่งเลย เพราะตามที่คุณหมอบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าลูกครบกำหนด 37 สัปดาห์เมื่อไร ก็จะถือได้ว่าลูกคลอดแบบปกติ ไม่ถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด และวันนี้พึ่งจะครบ 37 สัปดาห์พอดิบพอดีเลย

พี่ตี้ดูลูกเราสิ  พอครบ 37 สัปดาห์ปุ๊บ ลูกก็จะออกมาเลย หน่องพูดยิ้มๆ

เอาน่า มันอั้นมาตั้งนานแล้ว พอรู้ว่าพร้อมคลอด มันก็จะออกมาเลย ผมตอบแบบกวนๆ

แต่ลูกน่าจะรออีก 5 วันเนอะ  หน่องพูดอย่างมีนัย ซึ่งจริงๆ ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ คือ อีก 5 วันก็จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมพอดี เคยคุยกันไว้ว่า ถ้าเผื่อลูกคลอดวันเดียวกับวันเกิดพ่อก็น่าจะดีเหมือนกัน

โธ่ แค่เดือนเดียวกันก็เท่ห์แล้วละหน่อง  ผมยิ้มด้วยความดีใจ

แล้วหน่องเจ็บท้องไหม ผมถาม

อึม......ก็ไม่นะ เฉยๆ หน่องตอบ

การสนทนาของเราก็หยุดเพียงแค่นั้น เพราะทางพยาบาลได้เตรียมรถเข็นเพื่อพาหน่องไปที่ห้องคลอดพิเศษเพื่อคลอดตามวิธีธรรมชาติ ซึ่งหน่องตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่า หน่องต้องการที่จะเบ่งลูกคนนี้ออกมาด้วยตัวหน่องเอง

พยาบาลค่อยๆพยุงหน่องขยับออกจากเตียงปกติไปที่เตียงแบบเข็นได้ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว และค่อยๆเข็นรถออกไปจากห้องโดยมีผมเดินตามไปอย่างติดๆ แต่พอเดินออกมาจากห้องปุ๊บ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมควรเอากล้องติดไปด้วยดีกว่าเพื่อที่จะถ่ายเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ไว้ด้วย

ลืมหยิบกล้อง เดี๋ยวไปหยิบกล้องมาก่อนนะ ผมบอกแล้วก็รีบเดินกลับไปที่ห้อง หยิบกล้องและรีบวิ่งออกมาเพื่อไปหาหน่อง ซึ่งจากที่ผมประเมินแล้วน่าจะอยู่แถวๆลิฟท์  ผมใช้เวลาไม่น่าเกิน 10-15 วินาทีในการไปหยิบกล้องแล้วกลับมาที่หน้าลิฟท์ แต่เมื่อผมกลับมา ผมกลับไม่เจอหน่องแล้ว ซึ่งทำเอาผมงงไปอยู่นิดนึง เพราะมันเร็วมาก ทีแรกยังเข้าใจว่าต้องเดินเรื่องเอกสารอะไรก่อนย้ายหรือเปล่า ผมเลยมองเข้าไปที่บริเวณที่เจ้าหน้าที่พยาบาลทำงานกันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นหน่องหรือพยาบาลที่พาหน่องออกไปเลย

มองไปที่ลิฟท์เห็นมีลิฟท์ตัวนึงทำงานและกำลังลงไปหยุดที่ชั้น 8 ผมเลยพอจะเดาได้ว่า ทางศิริราชคงเปิดลิฟท์รอหน่องไว้อยู่แล้ว พอหน่องมาถึงหน้าลิฟท์ก็คงลงไปได้เลยไม่ต้องรอ ดังนั้นไม่คิดอะไรมากครับ ผมก็กดลิฟท์ตามลงไปทันที พอไปถึงหน้าห้องคลอดพิเศษก็พบว่าหน่องได้เข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้ว ทางพยาบาลที่ห้องคลอดพิเศษเห็นผมก็รีบมาทักทันที

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงนะคะ พยาบาลยิ้มแสดงความยินดีกับผม

ขอบคุณครับ  ผมยิ้มตอบ

ขอถามหน่อยซิครับว่า ผมเข้าไปให้กำลังใจหน่องได้ไหม  ผมถาม

พยาบาลส่ายหน้าและบอกผมว่า คงไม่ได้นะคะ คุณพ่อต้องรออยู่ข้างนอกค่ะ จนกว่าคุณแม่จะคลอดเสร็จ แต่ไม่ต้องห่วงนะ จะรีบบอกทันทีถ้าคุณแม่คลอดแล้ว

ขอบคุณครับ ผมยิ้มตอบ

ผมก็เลยได้แต่ยืนไปยืนมาอยู่ที่หน้าห้องคลอดพิเศษ (อีกแล้ว) แต่คราวนี้มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้องรอด้วยความกระวนกระวายใจอีกต่อไป แต่มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าลูก คนที่เรารอคอย  คนที่เราได้ร่วมกันต่อสู้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ตื่นเต้นที่กำลังจะมีชีวิตใหม่ ที่บ้านจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน   มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

ระหว่างที่รออยู่นั้น ผมก็โทรศัพท์ไปบอกทั้งคุณแม่ผมและครอบครัวหน่องเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่า วันนี้หน่องคลอดแน่นอน เวลาที่รอคอยมาอย่างยาวนานกำลังจะสิ้นสุด  ในความรู้สึกของผมขณะนั้นคิดอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ขอให้ภรรยาและลูกของผมที่จะเกิดขึ้นมาปลอดภัย

สักพักพยาบาลก็ออกมาถามข้อมูลเพิ่มเติมกับผม ซึ่งจะเป็นข้อมูลของลูกที่จะเกิดมาโดยเฉพาะเรื่องชื่อลูก ที่ผมต้องตั้งชื่อไว้ให้ทั้งชายและหญิง

ผมเขียนแค่ชื่อลูกชายใช่ไหมครับ เพราะ อัลตร้าซาวด์ไปแล้วว่าเป็นลูกชาย  ผมถาม

เขียนไว้ทั้งชายและหญิงดีกว่าค่ะ.............. แล้วคุณพ่อตั้งชื่อลูกไว้หรือยังคะ  พยาบาลถามกลับ

แค่คุยๆกันไว้กับแฟนครับ แต่ตั้งไว้สำหรับชื่อลูกชาย ไม่มีชื่อลูกผู้หญิง  ผมตอบ

ยังไงก็ตั้งไว้ก่อนดีกว่าค่ะ  พยาบาลแนะนำ เหมือนอย่างกับเป็นไปได้ที่จะผิดพลาดจากอัลตร้าซาวด์อย่างงั้นแหละ

ซึ่งผมก็งงๆกับคำตอบนิดหน่อย เพราะผมรู้สึกว่าก็มันเป็นผู้ชายอยู่แล้ว ทำไมต้องตั้งเผื่อ แถมให้เขียนตอนนี้เลย ........... มันนึกไม่ออกครับ!!!!!!

ผมเลยมานั่งคิดจริงๆว่า ล่าสุดที่คุยเรื่องชื่อกัน ก็เมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง เราทั้งคู่รู้สึกว่า ลูกของเราที่กำลังจะเกิดขึ้นมานี้ มันแน่มาก มันกล้าหาญมากที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคและก็ไม่ยอมออกมาจากท้องคุณยิ้ม่ายๆ ไม่ว่าคุณแม่จะมีอาการมดลูกหดตัวถี่แค่ไหนก็ตาม เราเลยตกลงว่าเราจะตั้งชื่อลูกว่า กัตส์ ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Guts ซึ่งแปลว่าความกล้า่ นะ  อาราเร่แล้วก็ต้องมีกัตส์จัง ด้วยถึงจะครบทีม ด้วยความฮาตอนที่ตั้งในตอนนั้น มันเลยกลายเป็นชื่อเดียวที่มีอยู่ในหัวตอนนี้ ผมจึงเขียนลงไปเลยว่า ชื่อลูกชายชื่อ กัตส์ ส่วนชื่อลูกผู้หญิงผมยังคงนึกไม่ออกครับ แต่เวลานั้นผมไม่เห็นว่ามันเป็นสาระ

ในเมื่อน่าจะเป็นลูกชายแน่ๆ ก็ตั้งไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวยังไงก็ค่อยมาเปลี่ยน  ผมคิดในใจ

เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เขียนลงไปตรงชื่อลูกผู้หญิงว่า กัตส์หญิง ซึ่งพอยื่นไปให้พยาบาล พยาบาลตั้งทวนคำถามผมทันทีว่าจะตั้งชื่อลูกแบบนี้จริงๆหรือ ซึ่งผมก็ตอบด้วยความมั่นใจเลยว่า ครับ ยังไงก็เป็นลูกชายอยู่แล้วนี่ครับ  พยาบาลก็เกาหัวเล็กน้อย งงๆกับความมั่นใจของผมนิดหน่อย แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่ผมตัดสินใจ

ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า ชื่อที่ผมตั้งไปนี่จะเป็นชื่อที่จะไปออกในใบสูติบัตรเลย ...... ครับ! พอลูกคลอดเมื่อไร ทางโรงพยาบาลจะดำเนินเรื่องและออกสูติบัตรให้โดยทันที ไม่ถึงชั่วโมงเด็กคนนั้นจะถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการลงในสูติบัตรเรียบร้อยแล้ว  นั่นหมายความว่า ชื่อนี้จะเป็นชื่อที่ติดตัวเด็กคนนี้ไปตลอดกาล แม้คุณจะมายื่นเรื่องเปลี่ยนทีหลัง ยังไงชื่อในสูติบัตรก็เป็นชื่อเดิมเสมอ อนาคตถ้าลูกจะต้องทำธุรกรรมใดๆ เวลายื่นเอกสารก็ต้องยื่นทั้งชื่อตามสูติบัตรและชื่อที่เปลี่ยนใหม่เสมอ .................. ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าลูกผมเกิดมาเป็นผู้หญิง ชื่อตามสูติบัตรก็จะปรากฏชื่อว่า กัตส์หญิง แม้ว่าเราจะเปลี่ยนชื่อได้ในอนาคตแต่ชื่อ กัตส์หญิง จะติดตัวลูกไปจนวันตาย ดังนั้นคำแนะนำของผมเลยครับว่า เราควรคิดไว้ก่อนว่าลูกควรจะชื่ออะไร อย่ามาคิดอะไรกะทันหันเหมือนผม ในเวลานั้นมันนึกอะไรไม่ค่อยออกหรอกครับ

กลับเข้ามาเรื่องเดิมดีกว่า ......... ขณะที่ผมได้แต่รออยู่ด้านนอก หน่องเองก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องเพื่อรอเวลาที่ปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ โดยปกติจะรอให้ปากมดลูกเปิดประมาณ 10 เซนติเมตร ถึงจะเริ่มต้นการคลอดได้ คุณหมอผู้ทำคลอดมาแล้วและโดยปกติจะมีการให้ยาเพื่อช่วยเร่งให้ปากมดลูกเปิดเร็วขึ้น แต่ในกรณีของหน่องคุณหมอบอกเลยว่า คนๆนี้ร่างกาย Sensitive มากให้ยาเร่งคลอดแบบอ่อนๆก็พอ

จากที่ผมทราบมาแม้ว่าจะมีการให้ยาเร่งคลอดก็ตาม กว่าปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ คุณแม่หลายๆคนก็ต้องนอนรอแบบนั้นอยู่หลายๆชั่วโมง ผมเองก็โทรไปหาน้องสาวผมซึ่งมีประสบการณ์การคลอดลูกมาแล้วถึง 3 คน น้องสาวผมบอกว่าในกรณีของเค้า

ตอนชั้นคลอดก็น้ำเดินเวลานี้เหมือนกัน กว่าหน่องจะคลอดก็คงเย็นๆ  น้องสาวผมยืนยัน

โห นานขนาดนั้นเลยเหรอ  ผมถาม

บางคนข้ามวันข้ามคืนก็มี ท้องแรกก็ยากหน่อยแต่อันนี้ก็แล้วแต่คนนะ บางคนสามชั่วโมงก็คลอดแล้ว ก็มี  น้องสาวผมบอก

อึม ...................  ผมรับฟังอย่างตั้งใจ

ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ในมือหมอแล้ว ยังไงคลอดแล้วโทรมาบอกด้วยนะ  น้องสาวผมบอก

ถึงตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการรออย่างเดียวจริงๆ ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่นานมากนะ อาจจะเป็นเพราะว่าผมคุ้นเคยมานานแล้วในช่วงหลังๆกับการรอคอยอยู่หน้าห้องคลอดพิเศษแบบนี้ วันนี้ไม่มีใครมารออยู่หน้าห้องเหมือนผมเลย ผมเลยสันนิฐานเอาเองว่าน่าจะมีหน่องคนเดียวที่มาคลอดเวลานี้  เวลาผ่านไปประมาณ 5 ชั่วโมงได้ที่ผมมารออยู่หน้าห้องแบบนี้  จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเด็กร้อง เสียงมันดังมากเป็นพิเศษ หรือหูผมตั้งใจฟังเป็นพิเศษก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมได้ยินเสียงเด็กร้องจริงๆ ผมรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปเดินมา ลุกลี้ลุกลนอยู่หน้าห้องคลอดพิเศษ พยายามมองหาเหลี่ยมมุมที่จะมองเข้าไปข้างใน ผมอยากเห็นสักนิดก็ยังดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของลูกผมหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ผมเห็นพยาบาลรีบวิ่งออกมาหาผมด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาผมยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว

คลอดแล้วนะคะ เป็นเด็กผู้ชาย  พยาบาลบอก

ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ  ผมรีบถาม

ครบ 32 ค่ะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเลย  พยาบาลบอก

ขอบคุณครับ  ผมขอบคุณพยาบาลด้วยความดีใจและความโล่งใจเป็นที่สุด

ลูกน่ารักมากเลย ยังไงคุณพ่อรออยู่ข้างนอกนี้ก่อนนะคะ  พยาบาลบอกก่อนจะกลับเข้าไป

(มีต่อ ความคิดเห็นที่ 3)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่