วิถีทางเข้าถึงพระเจ้า คือการช่วยเหลือผู้อื่น
ไม่ได้อยู่ที่การขอพรให้กับตัวเราเองหรือการแต่งตัวเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ศรัทธาที่สูงส่ง
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งพระเจ้ากล่าวเป็นเชิงตำหนิต่อท่านศาสดาโมเสสว่า
"ข้าได้ให้แสงสว่างแห่ง วิทยปัญญาให้แก่เจ้าอย่างเต็มที่, แต่ยามเมื่อข้าป่วยไข้เจ้าไม่เคยมาเยี่ยมข้าเลย",
ท่านศาสดาโมเสสฟังด้วยความงุนงง, และท่านได้กล่าวต่อพระเจ้าว่า
"พระองค์ผู้มีความสมบูรณ์ อย่างครบถ้วน, ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ, ว่าพระองค์ ทรงตรัสถึงเรื่องอะไร?"
พระเจ้าทรงกล่าวแก่ท่านศาสดาโมเสสว่า,
"คนที่เป็นที่รักของข้า เจ็บป่วย, เจ้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง, ข้าคือเขาผู้นั้น, ความป่วยไข้ของเขาก็คือความเจ็บป่วยของข้า"
........................
ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าและยอมจำนนทุกๆสิ่งทุกอย่างต่อพระประสงค์ของพระเจ้า, จะต้องเข้าใจว่าพระเจ้านั้นคือชีวิตจิตใจของเรา,
พระองค์ทรงอยู่ในตัวเราทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแสดงออกจะต้อง แสดงออกมาในแบบฉบับของพระองค์ ในเรื่องความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน,มีความเมตตากรุณาปราณี ต่อบุคคลรอบข้างทุกคน,
ดังนั้นเมื่อเราให้ความช่วยเหลือ ผู้ใดก็ตามเท่ากับเราได้ช่วยเหลือพระเจ้า และเมื่อใดก็ตามที่เราเฉยเมยต่อเพื่อนมนุษย์ก็เท่ากับเรา เฉยเมยต่อพระเจ้า
มุสลิมที่ดีไม่ใช่เพียงแต่ผู้ที่ยึดอยู่กับข้อปฏิบัติต่างๆของศาสนาเท่านั้น, แต่จะต้องให้ความช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นนั้นคือการช่วยเหลือตัวเราเอง, การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นชัยชนะต่อความเห็นแก่ตัวของเราเอง,และเป็นการปลุกจิตวิญญานของเราให้ตระหนักถึงความเมตตากรุณาปราณีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ
มีคำกล่าวว่า
"การไปเยียมเยียนผู้เจ็บป่วยคือการรักษาจิตวิญญาณของเราให้พ้นจากความเห็นแก่ตัว,"
ทำให้เราเกิดมีความสุขในจิตใจของเรา, แต่ว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ควรที่จะทำอย่างไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตัวเราเองนอกจากกระทำด้วยใจรักศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น, อย่าทำเพื่อหวังสินจ้างรางวัลอย่างเช่นคนงาน
อัลกุรอานบัญญัติว่า
และพวกเขาให้อาหาร เนื่องด้วยความรักต่อพระองค์ที่ทรงมี แก่คนยากจน เด็กกําพร้า และเชลยศึก:(76:8)
"แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน ด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า เราไม่ได้หวังการตอบแทนและการขอบพระคุณจากพวกท่านแต่ประการใด":(76:9)
ในสังคมที่วุน่วายในปัจจุบันนี้,เรามักจะแก้ตัวว่าเราช่างมีเวลาน้อยเหลือเกินไม่พอที่จะมีเวลาให้ความช่วยเหลือต่อผู้อื่นได้, แต่นั้นเป็นเพียงข้อแก้ตัวที่เราไม่มีความปราณีแก่ตัวเราเอง
นั้นคือเมื่อเราไม่เจียดเวลาของเราให้ความสนใจต่อความทุกข์ของผู้อื่น, ด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก,ให้ความช่วยเหลือและกล่าวปลอบด้วยคำพูดที่ ไพเราะ,อ่อนหวานและจริงใจแล้ว
มันเท่ากับการที่เราตัดตัวเราเองจากความสัมพันธ์ของผู้อื่น,
"นั้นก็คือตัดความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้านั้นเอง"
เราลองทดลองด้วยการตั้งใจว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นที่แร้นแค้นเป็นสิ่งสำคัญประการแรกของชีวิตเรา แทนที่จะเป็นการลุ่มหลงอยู่ในความฟุ่มเฟือย, และลองมองดูความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกทางจิตวิญญาณของเรา,
เราควรมองหาวิธีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยการเป็นผู้อาสาสมัค กับองค์กรการกุศลต่างๆ, มีความห่วงใยบุคคลในครอบครัวและเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ, เยี่ยมเยียนผู้ชราและมีความกรุณาต่อผู้เดืนทางและผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ในชุมชน
เราจะต้องเป็นผู้ที่มีใจกว้างขวางในการใช้ ทุนของเราที่มีค่า
นั้นคือ "เวลาและการเอาใจใส่"
จงปฏิบัติต่อทุกๆคนเช่นเดียวคุณลักษณะของพระเจ้า, จงระรึกอยู่เสมอว่า มนุษย์ในโลกนี้เปรียบเสมือนคนๆเดียวกัน, การช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเราเองที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตามธรรมชาติ
จงจำไว้ว่า, ผู้ที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความรักต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกันคือผู้ที่พร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือต่อผู้อื่นในยามที่เขาผู้นั้นต้องการ
ตามความสามารถของเราเท่าที่เราจะทำได้เพื่อแสดงความรักและศรัทธาที่แท้จริงต่อพระเจ้า
............................
จาก: THE HEART OF ISLAM
วิถีทางของพระเจ้าคือความรักต่อ "เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน"
วิถีทางเข้าถึงพระเจ้า คือการช่วยเหลือผู้อื่น
ไม่ได้อยู่ที่การขอพรให้กับตัวเราเองหรือการแต่งตัวเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ศรัทธาที่สูงส่ง
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งพระเจ้ากล่าวเป็นเชิงตำหนิต่อท่านศาสดาโมเสสว่า
"ข้าได้ให้แสงสว่างแห่ง วิทยปัญญาให้แก่เจ้าอย่างเต็มที่, แต่ยามเมื่อข้าป่วยไข้เจ้าไม่เคยมาเยี่ยมข้าเลย",
ท่านศาสดาโมเสสฟังด้วยความงุนงง, และท่านได้กล่าวต่อพระเจ้าว่า
"พระองค์ผู้มีความสมบูรณ์ อย่างครบถ้วน, ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ, ว่าพระองค์ ทรงตรัสถึงเรื่องอะไร?"
พระเจ้าทรงกล่าวแก่ท่านศาสดาโมเสสว่า,
"คนที่เป็นที่รักของข้า เจ็บป่วย, เจ้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง, ข้าคือเขาผู้นั้น, ความป่วยไข้ของเขาก็คือความเจ็บป่วยของข้า"
........................
ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าและยอมจำนนทุกๆสิ่งทุกอย่างต่อพระประสงค์ของพระเจ้า, จะต้องเข้าใจว่าพระเจ้านั้นคือชีวิตจิตใจของเรา,
พระองค์ทรงอยู่ในตัวเราทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแสดงออกจะต้อง แสดงออกมาในแบบฉบับของพระองค์ ในเรื่องความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน,มีความเมตตากรุณาปราณี ต่อบุคคลรอบข้างทุกคน,
ดังนั้นเมื่อเราให้ความช่วยเหลือ ผู้ใดก็ตามเท่ากับเราได้ช่วยเหลือพระเจ้า และเมื่อใดก็ตามที่เราเฉยเมยต่อเพื่อนมนุษย์ก็เท่ากับเรา เฉยเมยต่อพระเจ้า
มุสลิมที่ดีไม่ใช่เพียงแต่ผู้ที่ยึดอยู่กับข้อปฏิบัติต่างๆของศาสนาเท่านั้น, แต่จะต้องให้ความช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นนั้นคือการช่วยเหลือตัวเราเอง, การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นชัยชนะต่อความเห็นแก่ตัวของเราเอง,และเป็นการปลุกจิตวิญญานของเราให้ตระหนักถึงความเมตตากรุณาปราณีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ
มีคำกล่าวว่า
"การไปเยียมเยียนผู้เจ็บป่วยคือการรักษาจิตวิญญาณของเราให้พ้นจากความเห็นแก่ตัว,"
ทำให้เราเกิดมีความสุขในจิตใจของเรา, แต่ว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ควรที่จะทำอย่างไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตัวเราเองนอกจากกระทำด้วยใจรักศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น, อย่าทำเพื่อหวังสินจ้างรางวัลอย่างเช่นคนงาน
อัลกุรอานบัญญัติว่า
และพวกเขาให้อาหาร เนื่องด้วยความรักต่อพระองค์ที่ทรงมี แก่คนยากจน เด็กกําพร้า และเชลยศึก:(76:8)
"แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน ด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า เราไม่ได้หวังการตอบแทนและการขอบพระคุณจากพวกท่านแต่ประการใด":(76:9)
ในสังคมที่วุน่วายในปัจจุบันนี้,เรามักจะแก้ตัวว่าเราช่างมีเวลาน้อยเหลือเกินไม่พอที่จะมีเวลาให้ความช่วยเหลือต่อผู้อื่นได้, แต่นั้นเป็นเพียงข้อแก้ตัวที่เราไม่มีความปราณีแก่ตัวเราเอง
นั้นคือเมื่อเราไม่เจียดเวลาของเราให้ความสนใจต่อความทุกข์ของผู้อื่น, ด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก,ให้ความช่วยเหลือและกล่าวปลอบด้วยคำพูดที่ ไพเราะ,อ่อนหวานและจริงใจแล้ว
มันเท่ากับการที่เราตัดตัวเราเองจากความสัมพันธ์ของผู้อื่น,
"นั้นก็คือตัดความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้านั้นเอง"
เราลองทดลองด้วยการตั้งใจว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นที่แร้นแค้นเป็นสิ่งสำคัญประการแรกของชีวิตเรา แทนที่จะเป็นการลุ่มหลงอยู่ในความฟุ่มเฟือย, และลองมองดูความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกทางจิตวิญญาณของเรา,
เราควรมองหาวิธีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยการเป็นผู้อาสาสมัค กับองค์กรการกุศลต่างๆ, มีความห่วงใยบุคคลในครอบครัวและเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ, เยี่ยมเยียนผู้ชราและมีความกรุณาต่อผู้เดืนทางและผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่ในชุมชน
เราจะต้องเป็นผู้ที่มีใจกว้างขวางในการใช้ ทุนของเราที่มีค่า
นั้นคือ "เวลาและการเอาใจใส่"
จงปฏิบัติต่อทุกๆคนเช่นเดียวคุณลักษณะของพระเจ้า, จงระรึกอยู่เสมอว่า มนุษย์ในโลกนี้เปรียบเสมือนคนๆเดียวกัน, การช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเราเองที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตามธรรมชาติ
จงจำไว้ว่า, ผู้ที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความรักต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกันคือผู้ที่พร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือต่อผู้อื่นในยามที่เขาผู้นั้นต้องการ
ตามความสามารถของเราเท่าที่เราจะทำได้เพื่อแสดงความรักและศรัทธาที่แท้จริงต่อพระเจ้า
............................
จาก: THE HEART OF ISLAM