ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ที่กราบไหว้ขอพรพระบนหิ้งในบ้านบ่อยๆ บนบานศาลเกล่าแทบทุกเรื่องเท่าที่ใจปรารถนา ตระเวนทำบุญ 9 วัดตามทัวร์ต่างๆ ทำบุญตักบาตรบ้างเท่าที่ร่างกายสามารถตื่นไหว คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า จริงๆ แล้วแก่นของศาสนาพุทธคืออะไร พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนอะไรเรากันแน่
บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไร กราบพระขอพรเพียงเพราะเคยได้ยินมาว่าไหว้พระแล้วจะดี ทำบุญให้เงินเยอะๆ เพียงเพราะเข้าใจไปเองว่ายิ่งให้เยอะยิ่งได้บุญเยอะ เผลอๆ อาจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรที่เข้าข่ายของ การทำดี เลย บางคนธรรมะธรรมโมในวัดแต่ทำตัวแย่ๆ กับคนรอบตัวในชีวิตประจำวัน บางคนเข้าวัดทำบุญบ่อยๆ แต่กลับปล่อยวางเรื่องง่ายๆ ในชีวิตไม่ได้ อีกทั้งสารพัดที่จะคิดปรุงแต่งให้จิตใจมัวเรา---ที่กล้าพูดแบบนี้ เพราะเราก็เป็นค่ะ เรื่องคิดปรุงแต่งและเรื่องวางไม่ลงนี่แหละ ชัดที่สุด
เมื่อวันเสาร์เรามีโอกาสไปดูหนังเรื่อง นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ เป็นการดูหนังไทยในโรงในรอบหลายปี บอกตรงๆ แบบไม่กลัวทีมงานอยากดักตบหน้าเซเว่นฯ เลยว่าก่อนดูเราไม่คาดหวังอะไรเลยค่ะ เพราะหน้าหนังก็ไม่ได้ชวนดูเลย นักแสดงก็ไม่คุ้นตา พระเอกก็หน้าแหยๆ เห่ยๆ ไม่ดึงดูด ท่าทางขี้แพ้มากกว่าจะเป็นเด็กเกรียนที่หนังตั้งใจขายตามชื่อเรื่อง ที่ไปดูเพราะอยากไปให้กำลังใจเพื่อนก็เท่านั้น
แต่พอดูหนังเรื่องนี้จบเราเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง โดนใจมาก เพราะจะว่าไปแล้ว เราก็ไม่ต่างจาก เอ็ม เด็กหนุ่มตัวละครหลักในเรื่องเลย ที่สับสนในชีวิต คิดวนไปมาว่าทำไมอะไรๆ มันถึงไม่เป็นอย่างใจ ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อรู้สึกว่าชีวิตมันห่วยถึงขีดสุด เอ็มก็หาหนังสือธรรมะมาอ่าน เมื่ออินหนักเข้าก็ดั้นด้นแบกเป้ไปแสวงบุญที่อินเดียด้วยตัวเอง เพียงเพราะเชื่อ (จากการได้ยินต่อๆ กันมา) ว่านั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เขาพ้นทุกข์ที่กำลังเกาะกินจิตใจอยู่ ทั้งเรื่องตกงาน ถูกสาวทิ้ง และอื่นๆ
ครั้งหนึ่งเราก็เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็น ยัยขี้แพ้ เหมือนเอ็ม ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง เคยอยู่ในสถานะว่างงานร่วมสองเดือน เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพราะไม่มีงานทำ เคยตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ ว่าเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร และเคยอยากหลุดพ้นจากทุกข์ที่มากระทบใจในชีวิตประจำวัน (เอิ่มแต่เราไม่เคยคิดสั้นนะคะ เพราะรู้ว่ามันบาปหนัก - -) ถึงขั้นหาซื้อหนังสือธรรมะประยุกต์มาอ่าน ท่านพุทธทาส, ท่าน ว.วชิรเมธี, พระไพศาล วิสาโล, ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต, คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์, คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง และอื่นๆ เราลองอ่านมาหมดแล้ว แถมยังเคยไปปฏิบัติธรรมสองครั้ง เพราะอยากรู้ว่ามันจะช่วยให้เราหายทุกข์ได้จริงเหรอ
ระหว่างอยตระเวนกราบไหว้พระแทบทุกวัดที่หาข้อมูลเจอในอินเทอร์เน็ต จดลิสต์ทุกอย่างที่ควรทำหรือไม่ทำในอินเดีย (เอ็มให้คำนิยามตัวเองว่า ตลอดชีวิตเขามีทางให้เลือกสองทางตลอด จึงมีสมุดโน้ต yes/no พกติดตัวเสมอ) ในอินเดียเอ็มได้เจอลุงกมลที่มาแสวงบุญที่อินเดียถึง 8 ครั้ง, เจอพระในวัดไทยในอินเดีย, เจอ ยูอิโกะ สาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาแสวงบุญเช่นเดียวกับเขา, เจอ เจน หนุ่มไทยที่เดินทางรอบโลกเพื่อค้าหาตัวเอง และเจอเรื่องราวสารพันที่ไม่เคยคาดคิด
หนังยั่วล้อจิกกัดชาวพุทธพอแสบๆ คันๆ ทั้งเรื่องการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเพราะมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตระเวนทำบุญเพราะเราดูทักว่าดวงตก ตั้งหน้าตั้งตาขอพรทั้งที่ใจไม่ศรัทธา เข้าใจพระพุทธศาสนาแบบผิวเผินแต่ อวด ว่า รู้มาก เพื่อเอาไปอวดคนอื่น น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แก่น ของพระพุทธศาสนาคืออะไร
"เอ็ม" เป็นตัวแทนพวกเราทุกคนในสมัยนี้ ซึ่งสะท้อนนิสัยพวกเราออกมาได้เป็นอย่างดี ที่โง่แล้วอวดฉลาด รู้น้อยแต่แสดงออกว่ารู้มาก เมื่อชีวิตผิดพลาดก็โทษสิ่งต่างๆ รอบตัวไว้ก่อน ไม่เคยมองย้อนเข้ามาดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน คิดปรุงแต่งสารพัด เป็นบ้าเป็นหลังเวิ่นเว้ออยู่คนเดียว ทั้งที่เรื่องมันยังไม่เกิด เรื่องตลกร้ายคือว่า เอ็มบ่นว่าหนักเป้ที่แบกไปจากเมืองไทย แต่ก็ไม่คิดที่จะวางมันลง หรือขนของออก (แต่เห็นว่าเอาของออกมาวางดูว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น) แต่ยังคงแบกเป้ใบเดิมไปด้วยทุกที่และก็ทำหน้าเหมือนกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ (ฉากนี้เราสะดุ้งเบาๆ ชีวิตคนเราแบกอะไรที่ไม่จำเป็นไว้เยอะแยะมากมายเลยเนอะ หนักก็หนัก แต่ก็ไม่ยอมวาง) และที่น่าเศร้าก็คือว่า ทั้งที่มีโอกาสไปฝึกตัวเองถึงอินเดีย ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาแท้ๆ แต่ดูเหมือนเอ็มจะไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรเลย (เหมือนเราในหลายๆ ครั้ง) ยังยึดมั่นถือมั่นในความ อยาก ของตัวเอง ดึงสิ่งที่ชอบ (yes-ยูอิโกะ) เข้าหาตัวเอง พยายามผลักสิ่งที่ไม่ชอบ (no-เจน) ออกไปไกลๆ ทั้งที่ทั้งสองอย่างมันอยู่กับเราไม่นาน มันมาเดี๋ยวมันก็ไป---ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ทั้งสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบนั่นแหละ
ชอบประเด็น ตัวกู-ของกู และ การปล่อยวาง ที่หนังนำเสนอแบบไม่ยัดเยียด ใส่เข้ามาได้พอดีและกลมกล่อม และย่อยให้เข้าใจง่ายสำหรับวัยรุ่น นิทานธรรมะเรื่องพ่อแม่กินเนื้อลูกตัวเองในทะเลทรายเพื่อประทังชีวิตก็น่าสนใจ ตอน end credit นั่งดูรายชื่อทีมงาน ถึงได้รู้ว่าที่ปรึกษาบทหนังคือพระไพศาล วิสาโล เราถึงได้ร้องอ๋อ /กราบนมัสการท่าน ณ ที่นี้ค่ะ
เข้าใจว่าหนังทำให้วัยรุ่นดูเป็นหลัก จึงมีการนำกราฟิกแบบการ์ตูนเข้ามาแทรกเป็นระยะ ซึ่งก็น่ารักดีนะคะ แต่เยอะไปเราว่าก็เฝือจนติดจะน่าเบื่อ บางช่วงบางตอนก็ดูก๊องแก๊งไปบ้าง แต่เห็นความตั้งใจของทีมงาอหยวนได้ค่ะ ที่อยากชมอีกอย่างคือภาพสวยมาก แค่ได้เห็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เราว่าก็คุ้มแล้ว ทีมงานเก่งมากที่พาเราเที่ยว 4 ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล เวียดนาม และไทย ได้แบบไม่รู้สึกสะดุด นักแสดงก็เล่นเก่งและเป็นธรรมชาติ นี่คือข้อดีที่ใช้นักแสดงหน้าใหม่ เพราะทำให้เราเชื่อว่าพวกเขาคือตัวละครตัวนั้นจริงๆ
นอกจากบทหนังที่ให้แง่คิดแบบเนียนๆ ไม่ยัดเยียดแล้ว (ความคิดเห็นส่วนตัว) หนังยังมีฉากให้อมยิ้มและหัวเราะบ้างประปราย ตอนเอ็มนั่งสมาธิ เราฮาก๊ากแทบตกเก้าอี้ เหมือนนั่งดูภาพตัวเองตอนไปปฏิบัติธรรมวันแรกๆ ที่คิดว่านั่งสมาธิจิ๊บๆ นั่งเป็นชั่วโมงก็ไหว แต่ผ่านไปแค่ 5 นาทีชีวิตก็เจอวิกฤติ ตัวอยู่นี่แต่ใจนั่งคิดฟุ้งซ่านไปรอบโลก คิดปรุงแต่งนั่นนี่สารพัน ทั้งปวดตูดปวดขา ทั้งสารพัด สุดท้ายความตั้งใจก็กลายเป็นศูนย์---นั่งไม่ได้ - -"
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังดีจนหาที่ติไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกระทุ้งทำให้เราได้ฉุกคิดว่า ในฐานะที่สมอ้างตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่จำความได้ เราก็ไม่ต่างจากเอ็มหรอก ที่หลงทางและเข้าใจพระพุทธศาสนาแบบผิดๆ และผิวเผิน แต่หลอกตัวเองว่าเข้าใจเยอะ อวดรู้เมื่อมีโอกาส หารู้ไม่ว่ากำลังแสดงความโง่อยู่
พระพุทธศาสนามีไว้ให้ ลงมือปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้ให้ "ท่องจำ" ไปอวดใครเก๋ๆ ว่าฉันก็รู้จักหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าอยากพ้นทุกข์แค่นั่งสังเกตและรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองอยู่ที่บ้าน โกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ สุข ทุกข์ ก็ให้รู้ทัน ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็ให้ปรับปรุงข้อเสียของตัวเอง แค่นี้ก็ถือว่าได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้แล้วละค่ะ ไม่จำเป็นต้องท่องโลกแสวงบุญให้เปลืองตั้งค์หรอก แต่ถ้าอยากหาประสบการณ์ชีวิตและเปิดโลกทัศน์นั่นก็อีกเรื่อง
อ้อ...ทำดีกับคนรอบตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ด้วยการคิดดี ทำดี พูดดี แค่นี้ก็ได้บุญเยอะกว่าตระเวนทำบุญร้อยวัด แต่ไม่ซึมซับคำสอนของพระองค์เข้าก้านสมองอีกค่ะ :)
ป.ล. หนังฉายในโรงเมเจอร์ในราคาร้อยเดียว ใครอยากดูก็รีบๆ หน่อยนะคะ เพราะแว่วว่ารอบฉายเหลือน้อยแล้ว ลองเข้าไปสำรวจ ข้างใน ของตัวเองสักครั้งก่อนสิ้นปี เผื่อจะได้อะไรดีๆ กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ปีหน้าเราจะใช้ชีวิตไปในทิศทางไหน :)
เอ็ม ใน "นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ" : สะท้อนภาพเราในอดีตและปัจจุบัน
บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไร กราบพระขอพรเพียงเพราะเคยได้ยินมาว่าไหว้พระแล้วจะดี ทำบุญให้เงินเยอะๆ เพียงเพราะเข้าใจไปเองว่ายิ่งให้เยอะยิ่งได้บุญเยอะ เผลอๆ อาจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรที่เข้าข่ายของ การทำดี เลย บางคนธรรมะธรรมโมในวัดแต่ทำตัวแย่ๆ กับคนรอบตัวในชีวิตประจำวัน บางคนเข้าวัดทำบุญบ่อยๆ แต่กลับปล่อยวางเรื่องง่ายๆ ในชีวิตไม่ได้ อีกทั้งสารพัดที่จะคิดปรุงแต่งให้จิตใจมัวเรา---ที่กล้าพูดแบบนี้ เพราะเราก็เป็นค่ะ เรื่องคิดปรุงแต่งและเรื่องวางไม่ลงนี่แหละ ชัดที่สุด
เมื่อวันเสาร์เรามีโอกาสไปดูหนังเรื่อง นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ เป็นการดูหนังไทยในโรงในรอบหลายปี บอกตรงๆ แบบไม่กลัวทีมงานอยากดักตบหน้าเซเว่นฯ เลยว่าก่อนดูเราไม่คาดหวังอะไรเลยค่ะ เพราะหน้าหนังก็ไม่ได้ชวนดูเลย นักแสดงก็ไม่คุ้นตา พระเอกก็หน้าแหยๆ เห่ยๆ ไม่ดึงดูด ท่าทางขี้แพ้มากกว่าจะเป็นเด็กเกรียนที่หนังตั้งใจขายตามชื่อเรื่อง ที่ไปดูเพราะอยากไปให้กำลังใจเพื่อนก็เท่านั้น
แต่พอดูหนังเรื่องนี้จบเราเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง โดนใจมาก เพราะจะว่าไปแล้ว เราก็ไม่ต่างจาก เอ็ม เด็กหนุ่มตัวละครหลักในเรื่องเลย ที่สับสนในชีวิต คิดวนไปมาว่าทำไมอะไรๆ มันถึงไม่เป็นอย่างใจ ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อรู้สึกว่าชีวิตมันห่วยถึงขีดสุด เอ็มก็หาหนังสือธรรมะมาอ่าน เมื่ออินหนักเข้าก็ดั้นด้นแบกเป้ไปแสวงบุญที่อินเดียด้วยตัวเอง เพียงเพราะเชื่อ (จากการได้ยินต่อๆ กันมา) ว่านั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เขาพ้นทุกข์ที่กำลังเกาะกินจิตใจอยู่ ทั้งเรื่องตกงาน ถูกสาวทิ้ง และอื่นๆ
ครั้งหนึ่งเราก็เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็น ยัยขี้แพ้ เหมือนเอ็ม ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง เคยอยู่ในสถานะว่างงานร่วมสองเดือน เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเพราะไม่มีงานทำ เคยตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ ว่าเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร และเคยอยากหลุดพ้นจากทุกข์ที่มากระทบใจในชีวิตประจำวัน (เอิ่มแต่เราไม่เคยคิดสั้นนะคะ เพราะรู้ว่ามันบาปหนัก - -) ถึงขั้นหาซื้อหนังสือธรรมะประยุกต์มาอ่าน ท่านพุทธทาส, ท่าน ว.วชิรเมธี, พระไพศาล วิสาโล, ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต, คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์, คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง และอื่นๆ เราลองอ่านมาหมดแล้ว แถมยังเคยไปปฏิบัติธรรมสองครั้ง เพราะอยากรู้ว่ามันจะช่วยให้เราหายทุกข์ได้จริงเหรอ
ระหว่างอยตระเวนกราบไหว้พระแทบทุกวัดที่หาข้อมูลเจอในอินเทอร์เน็ต จดลิสต์ทุกอย่างที่ควรทำหรือไม่ทำในอินเดีย (เอ็มให้คำนิยามตัวเองว่า ตลอดชีวิตเขามีทางให้เลือกสองทางตลอด จึงมีสมุดโน้ต yes/no พกติดตัวเสมอ) ในอินเดียเอ็มได้เจอลุงกมลที่มาแสวงบุญที่อินเดียถึง 8 ครั้ง, เจอพระในวัดไทยในอินเดีย, เจอ ยูอิโกะ สาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาแสวงบุญเช่นเดียวกับเขา, เจอ เจน หนุ่มไทยที่เดินทางรอบโลกเพื่อค้าหาตัวเอง และเจอเรื่องราวสารพันที่ไม่เคยคาดคิด
หนังยั่วล้อจิกกัดชาวพุทธพอแสบๆ คันๆ ทั้งเรื่องการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเพราะมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตระเวนทำบุญเพราะเราดูทักว่าดวงตก ตั้งหน้าตั้งตาขอพรทั้งที่ใจไม่ศรัทธา เข้าใจพระพุทธศาสนาแบบผิวเผินแต่ อวด ว่า รู้มาก เพื่อเอาไปอวดคนอื่น น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แก่น ของพระพุทธศาสนาคืออะไร
"เอ็ม" เป็นตัวแทนพวกเราทุกคนในสมัยนี้ ซึ่งสะท้อนนิสัยพวกเราออกมาได้เป็นอย่างดี ที่โง่แล้วอวดฉลาด รู้น้อยแต่แสดงออกว่ารู้มาก เมื่อชีวิตผิดพลาดก็โทษสิ่งต่างๆ รอบตัวไว้ก่อน ไม่เคยมองย้อนเข้ามาดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน คิดปรุงแต่งสารพัด เป็นบ้าเป็นหลังเวิ่นเว้ออยู่คนเดียว ทั้งที่เรื่องมันยังไม่เกิด เรื่องตลกร้ายคือว่า เอ็มบ่นว่าหนักเป้ที่แบกไปจากเมืองไทย แต่ก็ไม่คิดที่จะวางมันลง หรือขนของออก (แต่เห็นว่าเอาของออกมาวางดูว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็น) แต่ยังคงแบกเป้ใบเดิมไปด้วยทุกที่และก็ทำหน้าเหมือนกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ (ฉากนี้เราสะดุ้งเบาๆ ชีวิตคนเราแบกอะไรที่ไม่จำเป็นไว้เยอะแยะมากมายเลยเนอะ หนักก็หนัก แต่ก็ไม่ยอมวาง) และที่น่าเศร้าก็คือว่า ทั้งที่มีโอกาสไปฝึกตัวเองถึงอินเดีย ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาแท้ๆ แต่ดูเหมือนเอ็มจะไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรเลย (เหมือนเราในหลายๆ ครั้ง) ยังยึดมั่นถือมั่นในความ อยาก ของตัวเอง ดึงสิ่งที่ชอบ (yes-ยูอิโกะ) เข้าหาตัวเอง พยายามผลักสิ่งที่ไม่ชอบ (no-เจน) ออกไปไกลๆ ทั้งที่ทั้งสองอย่างมันอยู่กับเราไม่นาน มันมาเดี๋ยวมันก็ไป---ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ทั้งสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบนั่นแหละ
ชอบประเด็น ตัวกู-ของกู และ การปล่อยวาง ที่หนังนำเสนอแบบไม่ยัดเยียด ใส่เข้ามาได้พอดีและกลมกล่อม และย่อยให้เข้าใจง่ายสำหรับวัยรุ่น นิทานธรรมะเรื่องพ่อแม่กินเนื้อลูกตัวเองในทะเลทรายเพื่อประทังชีวิตก็น่าสนใจ ตอน end credit นั่งดูรายชื่อทีมงาน ถึงได้รู้ว่าที่ปรึกษาบทหนังคือพระไพศาล วิสาโล เราถึงได้ร้องอ๋อ /กราบนมัสการท่าน ณ ที่นี้ค่ะ
เข้าใจว่าหนังทำให้วัยรุ่นดูเป็นหลัก จึงมีการนำกราฟิกแบบการ์ตูนเข้ามาแทรกเป็นระยะ ซึ่งก็น่ารักดีนะคะ แต่เยอะไปเราว่าก็เฝือจนติดจะน่าเบื่อ บางช่วงบางตอนก็ดูก๊องแก๊งไปบ้าง แต่เห็นความตั้งใจของทีมงาอหยวนได้ค่ะ ที่อยากชมอีกอย่างคือภาพสวยมาก แค่ได้เห็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เราว่าก็คุ้มแล้ว ทีมงานเก่งมากที่พาเราเที่ยว 4 ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล เวียดนาม และไทย ได้แบบไม่รู้สึกสะดุด นักแสดงก็เล่นเก่งและเป็นธรรมชาติ นี่คือข้อดีที่ใช้นักแสดงหน้าใหม่ เพราะทำให้เราเชื่อว่าพวกเขาคือตัวละครตัวนั้นจริงๆ
นอกจากบทหนังที่ให้แง่คิดแบบเนียนๆ ไม่ยัดเยียดแล้ว (ความคิดเห็นส่วนตัว) หนังยังมีฉากให้อมยิ้มและหัวเราะบ้างประปราย ตอนเอ็มนั่งสมาธิ เราฮาก๊ากแทบตกเก้าอี้ เหมือนนั่งดูภาพตัวเองตอนไปปฏิบัติธรรมวันแรกๆ ที่คิดว่านั่งสมาธิจิ๊บๆ นั่งเป็นชั่วโมงก็ไหว แต่ผ่านไปแค่ 5 นาทีชีวิตก็เจอวิกฤติ ตัวอยู่นี่แต่ใจนั่งคิดฟุ้งซ่านไปรอบโลก คิดปรุงแต่งนั่นนี่สารพัน ทั้งปวดตูดปวดขา ทั้งสารพัด สุดท้ายความตั้งใจก็กลายเป็นศูนย์---นั่งไม่ได้ - -"
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังดีจนหาที่ติไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกระทุ้งทำให้เราได้ฉุกคิดว่า ในฐานะที่สมอ้างตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่จำความได้ เราก็ไม่ต่างจากเอ็มหรอก ที่หลงทางและเข้าใจพระพุทธศาสนาแบบผิดๆ และผิวเผิน แต่หลอกตัวเองว่าเข้าใจเยอะ อวดรู้เมื่อมีโอกาส หารู้ไม่ว่ากำลังแสดงความโง่อยู่
พระพุทธศาสนามีไว้ให้ ลงมือปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้ให้ "ท่องจำ" ไปอวดใครเก๋ๆ ว่าฉันก็รู้จักหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าอยากพ้นทุกข์แค่นั่งสังเกตและรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองอยู่ที่บ้าน โกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ สุข ทุกข์ ก็ให้รู้ทัน ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็ให้ปรับปรุงข้อเสียของตัวเอง แค่นี้ก็ถือว่าได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้แล้วละค่ะ ไม่จำเป็นต้องท่องโลกแสวงบุญให้เปลืองตั้งค์หรอก แต่ถ้าอยากหาประสบการณ์ชีวิตและเปิดโลกทัศน์นั่นก็อีกเรื่อง
อ้อ...ทำดีกับคนรอบตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ด้วยการคิดดี ทำดี พูดดี แค่นี้ก็ได้บุญเยอะกว่าตระเวนทำบุญร้อยวัด แต่ไม่ซึมซับคำสอนของพระองค์เข้าก้านสมองอีกค่ะ :)
ป.ล. หนังฉายในโรงเมเจอร์ในราคาร้อยเดียว ใครอยากดูก็รีบๆ หน่อยนะคะ เพราะแว่วว่ารอบฉายเหลือน้อยแล้ว ลองเข้าไปสำรวจ ข้างใน ของตัวเองสักครั้งก่อนสิ้นปี เผื่อจะได้อะไรดีๆ กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ปีหน้าเราจะใช้ชีวิตไปในทิศทางไหน :)