:: [ ล้อมวงวิพากย์ ทีมชาติไทย กับ Suzuki Cup 2012 ] ::

กระทู้สนทนา
จบไปแล้วพร้อมกับความผิดหวัง หลังทีมช้างศึกทำได้เพียงแค่รองแชมป์ โดยขาดสกอร์ไปเพียง 1 ลูกก็จะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยแชมป์มากอดได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปีแล้ว

กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าความล้มเหลวครั้งนี้จะสูญปล่าวและไม่ได้อะไรกลับคืนมาเสียเลย เราลองมาคุยกันดีกว่า ว่าใครเห็นอะไร คิดอะไร และมองเห็นอะไรในทีมชาติไทยชุดนี้ พร้อมอนาคตที่คาดหวังจากช้างศึกหลังวันสิ้นโลกนี้...



สิ่งที่มองเห็น

ทีมชาติไทยชุดลุยศึกซูซูกิคัพนี้ได้กำลังหลักมาจากยอดสโมสรไทยลีกที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายไปแบบหมาดๆ

นอกจากมิดฟิล์ดหน้าเดิมๆ ที่เป็นกระดูกสันหลังให้กับทีมชาติมายาวนานอย่าง พิชิตพงศ์ กับ ดัสกร ตัวสอดแทรกอื่นๆ ดูจะยังทำได้แค่ "สอดแทรก" ตามตัว เป็นตัวเปลี่ยนเกม เป็นตัวสำรอง แต่คนที่จะขึ้นมา "แบกทีม" แทนที่ 2 ตัวเลือกข้างต้น ดูยังขมุกขมัวและชี้ชัดลงไปที่ใครคนได้คนหนึ่งได้ยาก

อภิภู, สุมัญญา ฝีเท้าดี แต่หากมองกันตามตรงแล้ว ก็ดูจะยังไม่ถึงขั้นจะ "แทนที่" รุ่นพี่ 2 รายข้างต้น เพียงแต่ทั้งคู่ก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างจากรุ่นพี่ข้างต้น และเสนอตัวเลือกอื่นในแง่แท็คติคได้ดี

เช่น อภิภู ที่ทำประตูจากแถวสองได้ดี และทำให้ตรงกลางครบเครื่องมากขึ้นยามที่คู่แข่งถูกกดให้ลงไปรับต่ำจนเปิดพื้นที่ตรงกลาง

สุมัญญา ยืนสูงเหมือน ดัสกร แต่ต่างกันตรงที่สอดแทรกขึ้นไปสูงได้ดีกว่า เสียดายที่ไม่สม่ำเสมอและหายไปจากเกมบ่อยๆ

ขณะที่ จักรพันธ์ แก้วพรหม ที่เจ็บไปและไม่ได้ติดทีมมาด้วยนั้น ว่ากันว่า วินนี่ เคยวางตัวให้คอยคุมเกมตรงกลางเหมือน ดัสกร - พิชิตพงศ์ เสียดายที่เราอดเห็นเจ้าตัวในทัวร์นาเม้นท์นี้

บทบาทของ ดัสกร - พิชิตพงศ์ ก็เหมือนเดิม คือ ดัสกร จะยืนสูงกว่า และจะออกบอลแบบชี้เป็นชี้ตายมากกว่า พิชิตพงศ์ ที่จะลาดตระเวนต่ำกว่า คอยประคองและเชื่อมจากหลังไปหน้า

ดัสกร ออกบอล พิชิตพงศ์ ประคองเกม ทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้ เป็นชุดที่ครองเกมได้ดีที่สุดในทัวนาเม้นท์นี้ แม้นั่นจะไม่ดีพอทำให้เราได้แชมป์ก็ตามที


แต่กลจักรอีกคนที่สำคัญมากๆ และทำให้ไทยมาได้ไกลถึงเพียงนี้ ก็คือ อดุลย์ หละโสะ กลางตัวรับที่ฟอร์มเด่นแบบเงียบๆ คอยซ้อน แซะ แย่งบอล ชลอเกม ได้เยอะ บ่อย และสม่ำเสมอมาก

จุดเดียวที่ อดุลย์ จะเสียๆ อยู่บ้างก็คือการออกบอล ที่มีบางเกมในรอบแรกที่เจ้าตัวออกบอลเสียจนส่ายหัวเองเลยก็มี

อีกเรื่องที่จะทำให้ อดุลย์ "ครบเครื่อง" มากกว่านี้ คือการเติมขึ้นไปทำประตูเหมือนในเกมรอบชิงนัดแรกในบ้านทีมเมอร์ไลอ้อน แต่ถึงแม้เจ้าตัวไม่พัฒนาไปกว่านี้ด้วยอายุแตะหลัก 26-27 ปีแล้ว แต่ก็คงไม่ทำให้เ้จ้าตัวด้อยลงไปกว่านี้จากที่เห็น

ถ้าจะบอกว่า มิดฟิล์ดตรงกลาง ของไทยที่เด่นๆ เป็น พิชิตพงศ์ กับ ดัสกร แต่พอจะยังมีรายอื่นๆ ที่ขึ้นมาใกล้เคียงหรือทาบทับให้เห็นบ้าง ก็ต้องบอกว่า อดุลย์ คงจะเป็นมิดฟิล์ดเกมรับที่ยังมองไม่เห็นใครทำได้ดีใกล้เคียงเลย


เกมริมเส้นของไทย

เราเปลี่ยนหน้าตานักทะลวงริมเส้นกันมาพอสมควรในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ สุเชาว์, สุรีย์, สุธี, ธีรเทพ, สมปอง จนมาชุดปัจจุบันที่ได้ "แจ้งเกิด" จักรพันธ์ พรใส ในนามทีมชาติอย่างเป็นทางการ แม้ว่าในนามต้นสังกัดจะเป็นที่พูดถึงมาอยู่แล้วก็ตาม

ถ้าหากวัดจากฟอร์มของ จักรพันธ์ ในทัวนาเม้นท์นี้ คงจะพูดได้ไม่ผิดเพี้ยนนักว่า เจ้าตัว น่าจะได้กลายเป็น "ขาประจำ" ของทีมชาติไทยไปอีกหลายปี ด้วยอายุที่กำลังดี 25 ปีพอดี

อนุชา ไม่ใช่หน้าใหม่ในทีมชาติ แต่ด้วยฟอร์มในรอบแรกที่ทำประตูอย่างสวยงาม รวมไปถึงการประสานงานริมเส้นฝั่งซ้ายกับอีกรายที่แจ้งเกิด (ในด้านดี) เต็มๆ อย่าง ธีรทร บุญมาทัน ทำให้ อนุชา เป็นอีกคนที่สอบผ่านไปได้ไม่ยาก

ส่วน ธีรทร ที่ผ่านๆ มาแฟนๆ ทราบดีถึงคุณภาพของเจ้าตัวอยู่แล้ว แต่ก็ได้แต่มองห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะพฤติกรรมที่เกเรซ้ำซาก ก่อนจะกลัีบตัวและกลายมาเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยได้อย่างเต็มตัวในทัวร์นาเม้นท์นี้

ชลทิศ เป็นอีกรายหน้าเดิมๆ ของทีมชาติ และก็ทำได้ตามาตรฐานเดิม ไม่ได้มีจุดผิดพลาดให้พูดถึงมากนัก เว้นแต่เพียงการควบคุมอารมณ์ที่ต้องทำให้ดีกว่านี้ หากจะขึ้นมาแทนที่รุ่นพี่ๆ อย่าง ณัฐพร และ ภานุพงศ์ ในอนาคต

ณัฐพร และ ภานุพงศ์ อายุ 30 และ 29 กันแล้ว ซึ่งรายแรกก็ดูจะอยู่ในช่วงถดถอยกับชุดทีมชาติแล้ว ส่วน ภานุพงศ์ ที่เป็นกำลังหลักสำคัญในแดนหลังทีมชาติชุดนี้ ก็อายุใกล้เข้าสู่ช่วงท้ายแล้วเล่นกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นิเวศ ที่ล่วงเลยไปถึง 35 ปีเข้าไปแล้ว

ชลทิศ ที่อายุ 27 จึงจะต้องเป็น "พี่ใหญ่" ให้ได้ดีกว่านี้


กวิน, ธีรทร และ ชนาธิป คืออนาคตของทีมชุดนี้อย่างแท้จริง ด้วยอายุแค่ 22 และ 19

ขณะที่ ธีรศิลป์ ที่เพิ่งพ้นวัยรุ่น ไปแตะหลัก 24 ปี ก็คงจะได้ประคองทีมไปอีกยาวๆ เหมือนกัน ฟอร์มในทัวร์นาเม้นท์นี้ของ ธีรศิลป์ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะไม่ใช่แค่ "สอบผ่าน" แต่ยังถือว่าฮ็อตระเบิดไปเลย

แต่ด้วยฐานะของ "กองหน้าเบอร์ 1 หนึ่งของไทย" รวมถึงไปถึงที่แฟนบอลไทยยกให้เป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน ทำให้ฟอร์มร้อนแรงที่ทั้งยิงทั้งจ่ายในรอบก่อนหน้านี้ ถูกกลบด้วยความผิดหวัง กับความคาดหวังว่าศูนย์หน้าเบอร์ 1 คนนี้จะแบกทีมและพาทีมเอาชนะสิงค์โปร์และกระชากถ้วยแชมป์กลับไทยได้

ทำให้ มุ้ย เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตำหนิไปด้วย แม้หากมองในภาพรวมทั้งทัวร์นาเม้นท์แล้วจะถือว่าเจ้าตัวทำได้ดีแล้วก็ตามที 5 ประตูจาก 6 เกม (ไม่ได้ลงรอบแรกนัดสุดท้าย)


ครั้งสุดท้ายที่เราคว้าแชมป์ระดับภูมิภาคอาเซียนนี้ได้ คือ เมื่อปี 2002 ยุคที่ยังเป็น ไทเกอร์ คัพ โดยยุคนั้นยังเตะรอบชิงนัดเดียว และเราเอาชนะจุดโทษเจ้าบ้านอย่าง อินโดนีเซีย ไปได้

ยุคของ ซิโก้, เทิดศักดิ์, วรวุธ โน่นเลยทีเดียว


สุดท้าย อีกคนที่ควรค่าแก่การถูกพูดถึง คือ ปิยะพล ที่ใครจะเชื่อว่าสามารถกลายเป็นแบ็คขวาตัวแจ่มของทีมชาติไปได้ เจ้าตัวอาจจะไม่ได้จี้ดจ้าดมากหากเทียบกับแบ็คจอมบุกทีนจรวดอย่าง สุรีย์ แต่วินัยในเกมรับและการเปิดบอลริมเส้นที่ดี ผสมกับการเป็นทีมเพลเยอร์ ทำให้เจ้าตัวเป็นหน้าใหม่อีกคนที่สอบผ่านสบายๆ

จังหวะเดียวที่จะอาจจะทำให้เจ้าตัวหมองลงไปเล็กน้อย ก็คือการเสียท่าเสียจุดโทษให้กับ ดูริช นั่นเอง



ด้านบวก

ด้านบวกของทีมชาิติไทยชุดนี้ก็คือมีส่วนผสมของผู้เล่นอายุน้อยไปจนถึงอายุกลางๆ เกินครึ่งทีม

ขณะที่ กวิน, ธีรทร, ชนาธิป อายุ 22-22-19

ธีรศิลป์, ปิยะพล, อดุลย์, จักรพันธ์, อาทิตย์, สุมัญญา, อภิภู, กีรติ, และ สมปอง ก็อายุกำลังดีที่ 24-26 ปี

ชลทิตย์ 27, ดัสกร กำลังจะ 29 สองคนนี้จะรวมกับกลุ่มด้านล่างที่ถ้าฟอร์มไม่ตกก็คงจะได้อยู่ประคองน้องๆ ต่อไปอีกในกรอบเวลาสัก 3-5 ปีข้างหน้า

สินทวีชัย, ภานุพงศ์, ณัฐพร, อนุชา, ประหยัด, พิชิตพงศ์, พิพบ กลุ่มนี้อายุ 29-35 ปี

จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่เคยถูกเรียกมาติดทีมที่อายุไม่มากและเราน่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้ากลุ่่มนี้อีกในรายการต่อๆ ไปในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า


Suzuki Cup 2012 ที่จบไป เราได้เห็นการแจ้งเกิดของ จักรพันธ์, ชนาธิป รวมถึงหน้าไม่ใหม่ันักแต่โชว์ฟอร์มได้น่าชมอย่าง ธีรทร, อนุชา

อดุลย์ ถ้าเล่นได้อย่างนี้ ก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่ติดทีมต่อไปในอนาคต

ธีรศิลป์ เป็นครั้งที่ 2 ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวรายการนี้มาได้ โดยก่อนหน้านี้เคยได้ดาวซัลร่วม น่าจะราวๆ ปี 2007-2008

ส่วน กวิน ทำได้ดดีเช่นกัน



ด้านลบ

ทั้งที่ทีมชาติชุดนี้มีแกนหลักเป็นนักเตะมากประสบการณ์อย่าง ดัสกร, พิชิตพงศ์, ภานุพงศ์ แต่น่าเสียดายที่รอบชิงนัดแรก ฟอร์มการเล่นกลับออกมาแบบ "วัยรุ่น" มากกว่าที่ควรจะเป็น

เกมน็อคเอาท์แบบเหย้าเยือน จะเน้นไม่แพ้เกมนอกบ้าน และหวังเอาชนะในบ้าน เราคุ้นเคยกันดีกับ UCL ที่ดูกันทุกปี

แต่ทีมชาติไทยที่ฟอร์มดีที่สุดในบรรดาทุกทีมก่อนรอบชิง ก็ไปเปิดหน้าบุกใส่เจ้าบ้านสิงค์โปร์ และถูกลงโทษด้วยการเสียประตู พาทีมไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากและบีบให้ทีมยิ่งต้องยอมเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม และนำไปสู่การเสียประตูที่ 3 ซึ่งร้ายแรงถึงขั้นดับฝันคว้าแชมป์ของเราในที่สุด

ใช่ครับ การเสียประตูถึง 3 ประตูในเกมรอบชิง เป็นอะไรที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทีมที่จะเป็นแชมป์ไม่ควรเสียประตูมากขนาดนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด


การออกไปพ่ายมาถึง 3-1 จึงถือว่า "เสียหาย" และน่าผิดหวัง และคิดว่าเราน่าจะเล่นได้รัดกุมกว่านั้นมากในเกมแรก

ยังดีที่เกมแก้ตัวในบ้าน เราแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและพยายามในการแก้ตัว แต่โลกแห่งเป็นจริงมันก็สอนว่า อะไรก็ตามที่เสียไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะทวงคืนกันได้ง่ายๆ


ทีมชุดปัจจุบัน ขาดประสบการณ์ ขาดความเขี้ยว ขาดกระดูก ซึ่งตรงนี้ืคือสิ่งที่ทำให้ชวดแชมป์ Suzuki Cup หาใช่การตัดสินแบบแปลกๆ ของกรรมการแดนปลาดิบในนัดแรก หรือสนามหญ้าเทียม

เพราะหากเราโทษแต่กรรมการกับหญ้าเทียม เราก็จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของเรา และจึงไม่แก้ไขตัวเอง


และเราจะล้มเหลวอีกครั้ง อย่างไม่ต้องสงสัย...


อีกข้อเล็กๆ คือ แม้เราจะมีฟุตบอลลีกมาหลายปีแล้ว นักฟุตบอลทีมชาติเราก็เล่นฟุตบอลแทบทุกสัปดาห์มาตลอดหลายปี แต่กลับแสดงถึงการขาดการควบคุมอารมณ์ให้เห็นได้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุง




ทีมชุดนี้แม้จะไม่ถือว่าเป็นทีมพลังหนุ่มเน้นๆ แต่ก็ถือว่าเล่นได้สนุกและดุดัน อาจจะตามใจตัวเองไปบ้าง ไหลไปตามสถานการณ์ไปบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าเล่นได้เร้าใจและน่าเชียร์

มีอนาคต และควรค่าแก่การทำ "สนามแตก" อย่างที่พวกเขาเรียงร้องในอนาคต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่