นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า จากผลการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลโดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ทั้งนี้ตามมติ ครม. วันที่ 18 ก.ย. 2550 ให้เจ้าหน้าที่เลือกเวลาทำงานได้ตามความสมัครใจ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ รอบ 07.30-15.30 น.
รอบ 08.30-16.30 น. และรอบ 09.30-17.30 น. ซึ่งจากการติดตามและประเมินผล จากการศึกษาจากแบบสอบถามหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 268 หน่วยงาน ได้ข้อสรุปว่า เจ้าหน้าที่ส่วนมากเลือกรอบเวลา 08.30-16.30 น. ร้อยละ 71.4 รองลงมา 07.30-15.30 น. ร้อยละ 16.3 และ 09.30-17.30 น. ร้อยละ 12.3 ด้านการแก้ไขปัญหาจราจร ส่วนใหญ่เห็นว่ามาตรการมีประโยชน์ แต่เห็นว่ารอบเวลาที่เลือกไม่มีผลต่อการช่วยลดเวลาในการเดินทางอย่างชัดเจน ส่วนด้านประสิทธิภาพการทำงาน เห็นว่า การให้เลือกรอบเวลาที่สอดคล้องกับลักษณะงาน ทำให้เจ้าหน้าที่บริหารเวลาและปฏิบัติภารกิจได้เหมาะสม แต่มีปัญหาการประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยอื่นที่เลือกรอบเวลาต่างกัน ส่วนการประหยัดพลังงาน เห็นว่าเจ้าหน้าที่เลือกรอบเวลา 07.30-15.30 น. และ 09.30-17.30 น. จำนวนน้อยแต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงเช้าและช่วงเย็นทำให้กระทบค่าใช้จ่ายขององค์กร
นายจุฬา กล่าวว่า นอกจากนี้ในส่วนของโรงเรียนได้มีการเหลื่อมเวลาเข้าเรียนระดับต่าง ๆ แล้ว เช่น บนถนนสามเสน เริ่มตั้งแต่เวลา 07.30, 08.00 และ 08.30 น. และเลิกเวลา 15.00, 15.30 และ 16.00 น. โดยกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ได้รายงานเกี่ยวกับมาตรการเหลื่อมเวลาโรงเรียนในพื้นที่การจราจรติดขัด ให้พิจารณาเข้าเรียนจากเดิมให้เร็วขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้รถยนต์มีการกระจายตัวและบรรเทาปัญหาจราจรได้ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์พบว่า การเหลื่อมเวลาเข้าเรียนให้เร็วหรือช้าลงจากปัจจุบัน จะส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาผลกระทบในภาพรวมร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งต่อไป.
http://www.dailynews.co.th/thailand/173425จะเหลื่อมไม่เหลื่อมรถก็ติดหมด
สรุปเหลื่อมเวลาทำงาน-เรียน กระทบหลายด้าน-แก้รถติดได้น้อย
รอบ 08.30-16.30 น. และรอบ 09.30-17.30 น. ซึ่งจากการติดตามและประเมินผล จากการศึกษาจากแบบสอบถามหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 268 หน่วยงาน ได้ข้อสรุปว่า เจ้าหน้าที่ส่วนมากเลือกรอบเวลา 08.30-16.30 น. ร้อยละ 71.4 รองลงมา 07.30-15.30 น. ร้อยละ 16.3 และ 09.30-17.30 น. ร้อยละ 12.3 ด้านการแก้ไขปัญหาจราจร ส่วนใหญ่เห็นว่ามาตรการมีประโยชน์ แต่เห็นว่ารอบเวลาที่เลือกไม่มีผลต่อการช่วยลดเวลาในการเดินทางอย่างชัดเจน ส่วนด้านประสิทธิภาพการทำงาน เห็นว่า การให้เลือกรอบเวลาที่สอดคล้องกับลักษณะงาน ทำให้เจ้าหน้าที่บริหารเวลาและปฏิบัติภารกิจได้เหมาะสม แต่มีปัญหาการประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยอื่นที่เลือกรอบเวลาต่างกัน ส่วนการประหยัดพลังงาน เห็นว่าเจ้าหน้าที่เลือกรอบเวลา 07.30-15.30 น. และ 09.30-17.30 น. จำนวนน้อยแต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงเช้าและช่วงเย็นทำให้กระทบค่าใช้จ่ายขององค์กร
นายจุฬา กล่าวว่า นอกจากนี้ในส่วนของโรงเรียนได้มีการเหลื่อมเวลาเข้าเรียนระดับต่าง ๆ แล้ว เช่น บนถนนสามเสน เริ่มตั้งแต่เวลา 07.30, 08.00 และ 08.30 น. และเลิกเวลา 15.00, 15.30 และ 16.00 น. โดยกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ได้รายงานเกี่ยวกับมาตรการเหลื่อมเวลาโรงเรียนในพื้นที่การจราจรติดขัด ให้พิจารณาเข้าเรียนจากเดิมให้เร็วขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้รถยนต์มีการกระจายตัวและบรรเทาปัญหาจราจรได้ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์พบว่า การเหลื่อมเวลาเข้าเรียนให้เร็วหรือช้าลงจากปัจจุบัน จะส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาผลกระทบในภาพรวมร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งต่อไป.
http://www.dailynews.co.th/thailand/173425
จะเหลื่อมไม่เหลื่อมรถก็ติดหมด