งาและน้ำมันงา( Vergin Sesame Oil )
ชื่ออื่นๆ
-
ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ
Sesame
ชื่อวิทยาศาสตร์
Sesamum indicum L.
ชื่อวงศ์
Pedaliaceae
งา (Sesame) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Sesamum indicum L. วงศ์ Pedaliaceae งาเป็นไม้ล้มลุกและเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า Sesamum indicum L. แสดงถึงการพบต้นไม้ชนิดว่าอยู่ในแถบดินแดนโอเรียนเต็ลนี้เอง ซึ่งก็หมายถึงประเทศไทยด้วย มีการปลูกงามากที่ประเทศจีน อินเดียไปจนถึงเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา งาเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูง 1-2 เมตร มีใบบอบบาง ดอกสีขาวหรือชมพู เมื่อผลแก่จัด จะได้เมล็ดงาจำนวนมากในฝักนั้น
เมล็ดงามีประโยชน์ ประกอบด้วยน้ำมันระหว่าง 46.4 52.0% มีโปรตีน 19.8 24.2% ซึ่งมีสัดส่วนดี จึงเป็นอาหารที่ดี มีสารมีไธโอนีนและทริพโทแฟ็นสูง มีแคลเซี่ยม โปรแตสเซี่ยมฟอสฟอรัส วิตามินบี และเหล็ก น้ำมันงาที่ดีได้มาจากการหีบโดยไม่ใช้ความร้อน (cold pressed) น้ำมันงาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมัน และไม่มีสารเคมีตกค้าง
น้ำมันงามีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acids) ระหว่าง 40.9 42.0% ชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ระหว่าง 42.5 43.3% ซึ่งชนิดหลังนี้ เชื่อว่าช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจ
สรรพคุณ
คนโบราณนิยมใช้น้ำมันงาในการรักษาตัวเองมานานหลายพันปีมาแล้ว ทั้งในประเทศอินเดียและจีน สรรพคุณต่างๆที่รวบรวมได้มีดังนี้
มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย รา และไวรัส
สามารถลดการอักเสบ
มีรายงานการทดลองว่าสามารถทำให้หลอดเลือดแดงดีขึ้น ลดการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด (Atherosclerosis)
ใช้กับโรคเรื้อรัง เช่น ตับอักเสบ เบาหวาน และปวดศีรษะเรื้อรัง
ในการศึกษาทดสอบในห้องปฏิบัติการ น้ำมันงาสามารถสกัดการเติบโตของเซลล์มะเร็งผิวหนัง (malignant melanoma) และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจเป็นเพราะมีกรด linoleic ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น (EFA)
มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเมื่อซึมซับลงไปใต้ผิวหนังแล้วจะทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น จึงมีสรรพคุณต้านการเกิดมะเร็งด้วย
เมื่อเข้าสู่หลอดเลือดจะช่วยลดจำนวนไลโปโปรตีนชนิดเบา (LDL) ในหลอดเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำมันงาช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นปกติ
ภายในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เซลล์บางชนิดใช้ไขมันแทนน้ำตาล น้ำมันงาจะเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับเซลล์เหล่านี้
เมื่อใช้กลั้วคอและบ้วนปากจะลดเชื้อที่ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เชื้อก่อโรคเจ็บคอ และเชื้อหวัด
ใช้หยอดจมูก (1-2 หยด) เมื่อเป็นไซนัสพบว่าได้ผลดี
ใช้ทาผิวผู้เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis) และผู้มีผิวแห้ง
ใช้ทาผิวและเคลือบเส้นผมเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดและลม
เมื่อทาผิวหนังจะช่วยจับสารพิษชนิดละลายน้ำได้ และเมื่อล้างหรืออาบน้ำ สารพิษที่จับไว้ก็จะหลุดไป น้ำมันงาจะช่วยจับสารพิษในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน แนำไปสู่การขจัดออกจากร่างกายต่อไป
เมื่อใช้ทาผมและนวดศีรษะจะช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้ง และช่วยรักษาเหาในกรณีที่เด็กติดเหา
การทาน้ำมันงานอกจากจะทำให้ผิวนุ่มแล้วจะช่วยรักษาแผลเล็กน้อยได้ เมื่อใช้เป็นน้ำมันนวดให้ใช้ทาแขนขาในลักษณะขึ้นลงและใช้วิธีคลึงเป็นวงกลมรอบๆ ข้อต่อ เพื่อกระตุ้นพลังธรรมชาติของข้อ ช่วยลดอาการปวดตามข้อได้ ชาวธิเบตใช้หยดจมูกข้างละ 1 หยดเพื่อช่วยให้นอนหลับ และลดความกระวนกระวาย
ใช้ทาผิวหน้าจะทำให้ผิวตึงขึ้น เมื่อทาบริเวณจมูกจะทำให้รูขุมขนไม่ให้เปิดมากไป ป้องกันการแก่ตัวของผิวหน้า ใช้ได้ดีแม้กับวัยรุ่นซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางอื่นๆ เลย
ใช้ทาให้ทั่วตัวก่อนว่ายน้ำเพื่อป้องกันการเกิดระคายเคือง จากสารคลอรีนที่ผสมไว้ในสระว่ายน้ำ น้ำมันงาดูดซึมเร็วไม่ติดค้างอยู่บนผิว
สำหรับผู้ต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสี น้ำมันงาจะช่วยบรรเทาอันตรายจากออกซิเจนอิสระที่เกิดจากการรักษาชนิดนี้
ผสมน้ำชำระส่วนปกปิดจะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคัน (Vaginal yeast infections) และเนื่องจากน้ำมันงามีสารที่มีผลคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผู้ใช้ทาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดการบางตัวของผิวที่อาจทำให้มีอาการระคายเคืองเมื่อฮอร์โมนหญิงลดลง ชาวอินเดียใช้ทาหน้าท้องเมื่อปวดประจำเดือน
สำหรับทารกน้ำมันงาจะช่วยป้องกันการเกิดการระคาย เกิดผื่นแดงที่ผิวจากปัสสาวะและความอับชื้น (rash) เมื่อใช้ทาผิวบริเวณจมูกและหูจะช่วยป้องกันโรคผิวหนังที่อาจเกิดบริเวณเหล่านี้ สำหรับเด็กที่เป็นหวัดและติดหวัดบ่อย ใช้น้ำมันงาเช็ดภายในผนังจมูกเล็กน้อยจะช่วยลดการติดเชื้อที่มาเข้าสู่ร่างกายได้
มีผลในการระบายท้อง (Laxative) โดยจิบเพียง 1 ช้อนชาก่อนนอน อาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แต่อย่าใช้ขณะท้องร่วง
หมายเหตุ
น้ำมันงาที่หีบโดยวิธีไม่ใช้ความร้อนจะมีสีเหลืองใสออกเขียวเล็กน้อย และมีกลิ่นอ่อน ไม่ควรใช้กินมากกว่า 10% ของจำนวนแคลอรี่ต่อวันหนึ่งๆ หากมีอาการแพ้ควรงดใช้ เช่นเดียวกับอาหารและน้ำมันอื่นๆ
ข้อมูลโดย รศ. ดร.วีณา เชิดบุญชาติ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
OIL PULLING TIPS
Oil Pulling: การใช้น้ำมันช่วยดูดสารพิษในร่างกาย ซึ่งช่วยรักษาโรคหรืออาการบางอย่างได้ เป็นวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน แตได้ผลมากจริงๆ เนื่องจากในปากของคนเรามีแบคทีเรียที่อาศัยเศษอาหารที่เรารับประทานเเข้าไปอยู่ หากในปาก เหงือก หรือเนื้อเยื่อในช่องปากของเรามีแผล จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ
โดยปกติเมื่อเราบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า สิ่งที่ถูกบ้วนออกมาจะเป็นเศษอาหารและสิ่งที่ไม่ใช่น้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรีย เพราะโดยปกติน้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ ซึ่งต่างจากการนำน้ำมันมารวมกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน นั่นคือเมื่อเราทำออยพูลลิ่ง (Oil Pulling) เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงทำให้ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายกลับเป็นปกติ รวมถึงเนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม จนกลับมามีีสุขภาพที่ดีได้
วิธีการของ Oil Pulling:
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้า ให้เทน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ แล้วอมไว้ ระหว่างที่อมน้ำมันงา ก็ให้กลั้วไปมาให้ทั่วปาก โดยทำประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็บ้วนทิ้งลงถุงพลาสติกหรือกระดาษทิชชู่ น้ำที่ออกมาจะเป็นสีขาวเพราะน้ำมันจะดูดสารพิษที่อยู่ในร่างกายเราออกมา อย่าบ้วนลงอ่างล้างหน้า เพราะสารพิษที่ถูกดึงออกมาจะติดอยู่ที่อ่างล้างหน้า จากนั้นให้บ้วนปากและล้างฟันให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า การอมน้ำมันงาต้องทำอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือนจะเห็นผล
หมายเหตุ:
1. ต้องเป็นน้ำมันงาสกัดเย็นเท่านั้น (Cold Pressed)
2. ควรทำขณะท้องว่าง ก่อนมื้ออาหาร อาจทำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
3. ห้ามกลืนน้ำมันที่อมไว้ลงไป เพราะน้ำมันที่เราได้อมไว้นั้นจะมีสารพิษปนอยู่
4. ถ้าแพ้น้ำมันตัวใดตัวหนึ่งก็ควรเปลี่ยนไปใช้น้ำมันชนิดอื่นแทน เช่น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
ผลลัพธ์ของการทำ Oil Pulling:
- หินปูนจะค่อยๆ หายไป
- อาการเลือดออกตามไรฟันที่เคยเป็น จะหายไป
- อาการเสียวฟันหายไป
- ฟันและเหงือกแน่นขึ้น
- ฟันขาว
- อาการไมเกรนหายไป
- อาการเจ็บคอ
- ลดรอยคล้ำใต้ตา
- รากผมแน่นขึ้น ผมร่วงน้อยลง
ฯลฯ
Note: No Liability will be assumed for the use of oil pulling. The information contained is not intended for medical advice. You should always discuss any medical treatment with your Health Care Provider.
Ref: oilpulling.com
น้ำมันงาดีแบบนี้นี่เอง
งาและน้ำมันงา( Vergin Sesame Oil )
ชื่ออื่นๆ
-
ชื่อสามัญภาษาอังกฤษ
Sesame
ชื่อวิทยาศาสตร์
Sesamum indicum L.
ชื่อวงศ์
Pedaliaceae
งา (Sesame) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Sesamum indicum L. วงศ์ Pedaliaceae งาเป็นไม้ล้มลุกและเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า Sesamum indicum L. แสดงถึงการพบต้นไม้ชนิดว่าอยู่ในแถบดินแดนโอเรียนเต็ลนี้เอง ซึ่งก็หมายถึงประเทศไทยด้วย มีการปลูกงามากที่ประเทศจีน อินเดียไปจนถึงเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา งาเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูง 1-2 เมตร มีใบบอบบาง ดอกสีขาวหรือชมพู เมื่อผลแก่จัด จะได้เมล็ดงาจำนวนมากในฝักนั้น
เมล็ดงามีประโยชน์ ประกอบด้วยน้ำมันระหว่าง 46.4 52.0% มีโปรตีน 19.8 24.2% ซึ่งมีสัดส่วนดี จึงเป็นอาหารที่ดี มีสารมีไธโอนีนและทริพโทแฟ็นสูง มีแคลเซี่ยม โปรแตสเซี่ยมฟอสฟอรัส วิตามินบี และเหล็ก น้ำมันงาที่ดีได้มาจากการหีบโดยไม่ใช้ความร้อน (cold pressed) น้ำมันงาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมัน และไม่มีสารเคมีตกค้าง
น้ำมันงามีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acids) ระหว่าง 40.9 42.0% ชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ระหว่าง 42.5 43.3% ซึ่งชนิดหลังนี้ เชื่อว่าช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจ
สรรพคุณ
คนโบราณนิยมใช้น้ำมันงาในการรักษาตัวเองมานานหลายพันปีมาแล้ว ทั้งในประเทศอินเดียและจีน สรรพคุณต่างๆที่รวบรวมได้มีดังนี้
มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย รา และไวรัส
สามารถลดการอักเสบ
มีรายงานการทดลองว่าสามารถทำให้หลอดเลือดแดงดีขึ้น ลดการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด (Atherosclerosis)
ใช้กับโรคเรื้อรัง เช่น ตับอักเสบ เบาหวาน และปวดศีรษะเรื้อรัง
ในการศึกษาทดสอบในห้องปฏิบัติการ น้ำมันงาสามารถสกัดการเติบโตของเซลล์มะเร็งผิวหนัง (malignant melanoma) และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจเป็นเพราะมีกรด linoleic ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น (EFA)
มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเมื่อซึมซับลงไปใต้ผิวหนังแล้วจะทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น จึงมีสรรพคุณต้านการเกิดมะเร็งด้วย
เมื่อเข้าสู่หลอดเลือดจะช่วยลดจำนวนไลโปโปรตีนชนิดเบา (LDL) ในหลอดเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำมันงาช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นปกติ
ภายในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เซลล์บางชนิดใช้ไขมันแทนน้ำตาล น้ำมันงาจะเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับเซลล์เหล่านี้
เมื่อใช้กลั้วคอและบ้วนปากจะลดเชื้อที่ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เชื้อก่อโรคเจ็บคอ และเชื้อหวัด
ใช้หยอดจมูก (1-2 หยด) เมื่อเป็นไซนัสพบว่าได้ผลดี
ใช้ทาผิวผู้เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis) และผู้มีผิวแห้ง
ใช้ทาผิวและเคลือบเส้นผมเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดและลม
เมื่อทาผิวหนังจะช่วยจับสารพิษชนิดละลายน้ำได้ และเมื่อล้างหรืออาบน้ำ สารพิษที่จับไว้ก็จะหลุดไป น้ำมันงาจะช่วยจับสารพิษในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน แนำไปสู่การขจัดออกจากร่างกายต่อไป
เมื่อใช้ทาผมและนวดศีรษะจะช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้ง และช่วยรักษาเหาในกรณีที่เด็กติดเหา
การทาน้ำมันงานอกจากจะทำให้ผิวนุ่มแล้วจะช่วยรักษาแผลเล็กน้อยได้ เมื่อใช้เป็นน้ำมันนวดให้ใช้ทาแขนขาในลักษณะขึ้นลงและใช้วิธีคลึงเป็นวงกลมรอบๆ ข้อต่อ เพื่อกระตุ้นพลังธรรมชาติของข้อ ช่วยลดอาการปวดตามข้อได้ ชาวธิเบตใช้หยดจมูกข้างละ 1 หยดเพื่อช่วยให้นอนหลับ และลดความกระวนกระวาย
ใช้ทาผิวหน้าจะทำให้ผิวตึงขึ้น เมื่อทาบริเวณจมูกจะทำให้รูขุมขนไม่ให้เปิดมากไป ป้องกันการแก่ตัวของผิวหน้า ใช้ได้ดีแม้กับวัยรุ่นซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางอื่นๆ เลย
ใช้ทาให้ทั่วตัวก่อนว่ายน้ำเพื่อป้องกันการเกิดระคายเคือง จากสารคลอรีนที่ผสมไว้ในสระว่ายน้ำ น้ำมันงาดูดซึมเร็วไม่ติดค้างอยู่บนผิว
สำหรับผู้ต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสี น้ำมันงาจะช่วยบรรเทาอันตรายจากออกซิเจนอิสระที่เกิดจากการรักษาชนิดนี้
ผสมน้ำชำระส่วนปกปิดจะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคัน (Vaginal yeast infections) และเนื่องจากน้ำมันงามีสารที่มีผลคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผู้ใช้ทาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดการบางตัวของผิวที่อาจทำให้มีอาการระคายเคืองเมื่อฮอร์โมนหญิงลดลง ชาวอินเดียใช้ทาหน้าท้องเมื่อปวดประจำเดือน
สำหรับทารกน้ำมันงาจะช่วยป้องกันการเกิดการระคาย เกิดผื่นแดงที่ผิวจากปัสสาวะและความอับชื้น (rash) เมื่อใช้ทาผิวบริเวณจมูกและหูจะช่วยป้องกันโรคผิวหนังที่อาจเกิดบริเวณเหล่านี้ สำหรับเด็กที่เป็นหวัดและติดหวัดบ่อย ใช้น้ำมันงาเช็ดภายในผนังจมูกเล็กน้อยจะช่วยลดการติดเชื้อที่มาเข้าสู่ร่างกายได้
มีผลในการระบายท้อง (Laxative) โดยจิบเพียง 1 ช้อนชาก่อนนอน อาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แต่อย่าใช้ขณะท้องร่วง
หมายเหตุ
น้ำมันงาที่หีบโดยวิธีไม่ใช้ความร้อนจะมีสีเหลืองใสออกเขียวเล็กน้อย และมีกลิ่นอ่อน ไม่ควรใช้กินมากกว่า 10% ของจำนวนแคลอรี่ต่อวันหนึ่งๆ หากมีอาการแพ้ควรงดใช้ เช่นเดียวกับอาหารและน้ำมันอื่นๆ
ข้อมูลโดย รศ. ดร.วีณา เชิดบุญชาติ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
OIL PULLING TIPS
Oil Pulling: การใช้น้ำมันช่วยดูดสารพิษในร่างกาย ซึ่งช่วยรักษาโรคหรืออาการบางอย่างได้ เป็นวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน แตได้ผลมากจริงๆ เนื่องจากในปากของคนเรามีแบคทีเรียที่อาศัยเศษอาหารที่เรารับประทานเเข้าไปอยู่ หากในปาก เหงือก หรือเนื้อเยื่อในช่องปากของเรามีแผล จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ
โดยปกติเมื่อเราบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า สิ่งที่ถูกบ้วนออกมาจะเป็นเศษอาหารและสิ่งที่ไม่ใช่น้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรีย เพราะโดยปกติน้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ ซึ่งต่างจากการนำน้ำมันมารวมกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน นั่นคือเมื่อเราทำออยพูลลิ่ง (Oil Pulling) เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงทำให้ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายกลับเป็นปกติ รวมถึงเนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม จนกลับมามีีสุขภาพที่ดีได้
วิธีการของ Oil Pulling:
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้า ให้เทน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ แล้วอมไว้ ระหว่างที่อมน้ำมันงา ก็ให้กลั้วไปมาให้ทั่วปาก โดยทำประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็บ้วนทิ้งลงถุงพลาสติกหรือกระดาษทิชชู่ น้ำที่ออกมาจะเป็นสีขาวเพราะน้ำมันจะดูดสารพิษที่อยู่ในร่างกายเราออกมา อย่าบ้วนลงอ่างล้างหน้า เพราะสารพิษที่ถูกดึงออกมาจะติดอยู่ที่อ่างล้างหน้า จากนั้นให้บ้วนปากและล้างฟันให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า การอมน้ำมันงาต้องทำอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือนจะเห็นผล
หมายเหตุ:
1. ต้องเป็นน้ำมันงาสกัดเย็นเท่านั้น (Cold Pressed)
2. ควรทำขณะท้องว่าง ก่อนมื้ออาหาร อาจทำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
3. ห้ามกลืนน้ำมันที่อมไว้ลงไป เพราะน้ำมันที่เราได้อมไว้นั้นจะมีสารพิษปนอยู่
4. ถ้าแพ้น้ำมันตัวใดตัวหนึ่งก็ควรเปลี่ยนไปใช้น้ำมันชนิดอื่นแทน เช่น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
ผลลัพธ์ของการทำ Oil Pulling:
- หินปูนจะค่อยๆ หายไป
- อาการเลือดออกตามไรฟันที่เคยเป็น จะหายไป
- อาการเสียวฟันหายไป
- ฟันและเหงือกแน่นขึ้น
- ฟันขาว
- อาการไมเกรนหายไป
- อาการเจ็บคอ
- ลดรอยคล้ำใต้ตา
- รากผมแน่นขึ้น ผมร่วงน้อยลง
ฯลฯ
Note: No Liability will be assumed for the use of oil pulling. The information contained is not intended for medical advice. You should always discuss any medical treatment with your Health Care Provider.
Ref: oilpulling.com