วิทยปัญญาจากคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด "ศาสดาของศาสนาอิสลาม"

กระทู้สนทนา

 

 

         ในประวัติศาสตร์อิสลาม มีชายผู้หนึ่งชื่อว่า อมัร อิบนฺ ฮิซฮัม เป็นหัวหน้าชาวอรับเผ่าคุเรช  ที่บูชาเจว็ด, เป็นที่รู้จักกันดีว่า,นาย อมัร อิบนฺ ฮิซฮัม ผู้นี้ เป็นไม้เบื่อไม้เมา ต่อต้าน ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดศาสดาของศาสนาอิสลาม ในสมัยเริ่มแรกของมุสลิมชาวเมกกะ,

 

นายอมัร อิบนฺ ฮิซฮัม นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อที่เมกกะมุสลิมนิยมเรียก เขาว่า,

อะบู ญาฮัล

 

มีเรื่องเล่าว่า, วันหนึ่ง นาย อะบู ญาฮัลเดินผ่านมา  พบท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, เขาจึงเดินเข้าไปหา ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด และกล่าว

อย่างหยาบคายต่อท่าน

 

ว่า ...ลูกกำพร้าพ่อที่น่าเกลียดอย่างเหลือเกิน

 

ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ตอบ แก่นายอะบู ญาฮัล ว่า

 

ท่านนี้ช่างเป็นผู้หยาบคายอย่างเหลือเกิน, แต่ท่านกล่าวได้อย่างถูกต้องทีเดียว

 

ในขณะนั้นท่าน อะบูบาคร์เห็นและได้ยิน การโต้ตอบของคนทั้งสอง ท่านจึงกล่าวอย่างแปลกใจต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ว่า

 

โอ! ท่านรอซูลท่านเป็น รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงสุกสกาว!,

 

ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ตอบแก่ท่าน อะบูบาคร์ ว่า, ท่านพูดถูกทีเดียว,สหายของฉัน. ท่านได้เห็นตัวฉันอย่างถ่องแท้ทีเดียว

 

ในขณะเดียวกันผู้คนที่เห็นเหตการณ์และได้ยิน การสนทนาของคนทั้งสามนั้นได้ถาม ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ว่า,

 

ทำไมท่านจึงกล่าวว่า ทั้งท่าน อะบูบาคร์ และนายอะบู ญาฮัล กล่าวถูกต้องทั้งคู่, เมื่อคนทั้งสอง กล่าวในสิ่งที่ตรงกันข้ามและขัดแย้งกัน?

 

ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดกล่าว อธิิบายตอบว่า,

 

ตัวฉันเป็นประดุจกระจกเงาที่ได้รับการเช็ดถูอย่างสะอาดโดยเอกพลานุภาพขององค์อัลลออ์ตะอาลา, ดังนั้นในตัวฉันนี้ ผู้คนทุกๆคน เขาจะมองเห็นเงาตัวของเขาเองจากฉัน

 

 

จากเรื่องราวนี้, เราทุกๆคนจะเห็น  วิทยปัญญาที่ได้รับจาก คำอธิบายของท่านรอซูลมูฮัมมัด นี้ แฝงความหมายที่ เข้าใจอย่างง่ายดายได้ว่า

 

"สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายเห็นในตัวผู้อื่นนั้น, แท้จริงแล้วมันคือ คุณภาพและข้อบกพร่องในตัวของท่านนั้นเอง 

 

ในขณะที่เรากำลังขนานนามผู้อื่นอยู่นั้น

ตามความเป็นจริงแล้วเรากำลังขนานนามและตำหนิตัวของเราเอง

 

ถึงแม้ว่าตัวเราเองจะไม่ได้เป็นคนเลวทรามเช่นเดียวกับบุคคลที่เรากล่าวตำหนิติเตียนเขาก็ตาม,

แต่ว่าบางทีในอนาคตเราเองอาจจะทำความเลวเช่นเดียวกับที่เขาที่กำลังทำอยู่ก็ได้ ตลอดเวลาในช่วงชีวิตของเรา

 

ขอให้เราเข้าใจว่าใน วาระสุดท้ายแล้วทุกๆสิ่งทุกๆอย่างคือสิ่งเดียวกัน, และทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นในเอกภาพเดียวกัน

 

  ดังนั้นการยกยอสรรเสริญหรือการติฉินนินทา ต่อผู้ใดนั้นไม่มีความหมายใดๆเลย, เพือนๆของเรากลับกลายเป็นศัตรูทั้งนี้เพราะว่าเรามองเขาเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งที่แยกออกไปจากตัวของเรา, แต่ความจริงแล้วเรากำลังทะเลาะโต้ถียงกับตัวของเราเองจากภายในจิตวิญญาณของตัวเรานั้นเอง, ไม่ใช่ผู้ใดที่ไหน.

 

 

ปัญหาที่เราควรที่จะถามตัวเราก็คือ

เรากำลังติฉินนินทาและวิจารณ์ ผู้อื่นอยู่ในขณะนี้หรือไม่?

 

ตรวจสอบข้อวิจารณ์และข้อติเตียนที่เรามีต่อเขา และค้นหาภายในตัวของเราว่า

แท้จริงแล้ว, ตัวเรานั้นเองที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความรำคาญซึ่งเกิดภายในตัวเรา, นั้นคือ

กิเลสในจิตสำนึกของเรานั้นเองที่เป็นสาเหตุให้เราติเตียนเขา

 

เราควรถามตัวเราเองว่า

ความจริงแล้วเรามีความจำเป็นจะต้องสาปแช่งเขา หรือว่าเรา มีอำนาจที่จะสาปแช่งหรือวิจารณ์ บุคคลผู้ที่เรารู้สึกว่าเขาประพฤติไม่ดีหรือไม่? หรือว่า

เราใช้มารตฐานของสังคมเราเป็นเครื่องตัดสินเขา?

 

เราควรฝึกฝึกหัดการมีความอดทนต่อความโง่เขลาของผู้อื่น โดยที่หันมาสนใจและไตร่ตรองหาความเข้าใจตัวของเราเองว่า

 

ตัวเราเองต่างหากที่เป็นผู้ที่ขาด วิทยปัญญา

 

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่