13 ธ.ค. 2555 เวลา 11:07:18 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตามประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2554 กำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2554
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 33 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
กำหนดให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปรับคนพิการที่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ในอัตราส่วนลูกจ้างที่มิใช่คนพิการทุก 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน เศษของ 100 คน ถ้าเกิน 50 คน จะต้องรับคนพิการเพิ่ม 1 คน
นอกจากนั้น กฎกระทรวงฉบับเดียวกันยังประกาศให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการผู้ใดที่มิได้รับคนพิการเข้าทำงานตามที่กำหนด และมิได้ดำเนินการตามมาตรา 35 ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นรายปี
โดยคำนวณจากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับหลังสุดในปีก่อนปีที่มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คูณด้วย 365 และคูณด้วยจำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงาน ปรากฏว่า เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐบางแห่งเริ่มมีความตื่นตัวกันอยู่บ้าง แต่กระนั้นยังถือว่าค่อนข้างน้อย เพราะจากฐานข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พบว่าปัจจุบันมีคนพิการอยู่ประมาณ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ
แต่สำหรับบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ขายสินค้าบริโภคภายใต้แบรนด์ KFC กลับให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ เพราะล่าสุดได้จับมือกับสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ในการรับพนักงานที่มีความพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเข้าทำงานที่ร้านเคเอฟซีภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า "KFC เราได้ยินทุกความฝัน"
โดยเรื่องนี้ "มิลินด์ พันท์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า เราต้องการส่งเสริมให้ผู้พิการเหล่านี้มีโอกาสเป็นพนักงาน และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตต่อตนเองและครอบครัวให้ดีขึ้น
"เราจึงริเริ่มรับพนักงานที่มีความพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเข้าทำงานที่ร้านเคเอฟซีในสาขาไทม์สแควร์ โดยมีจำนวนคนพิการเข้าทำงานในสาขาแรกนี้รวม 32 คน ซึ่งหากเทียบเป็นอัตราส่วนการรับคนพิการเข้าทำงานต่อพนักงานปกติแล้วเป็น 70 : 30"
"ด้วยจำนวนคนพิการที่เข้าทำงานในเคเอฟซีสาขานี้ค่อนข้างเยอะกว่าพนักงานปกติ ดังนั้น เราจึงต้องลงทุนติดตั้งเครื่องมือด้วยงบประมาณกว่า 1.3 ล้านบาท เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา เช่น เมนูการสั่งออร์เดอร์จะต้องมีขนาดใหญ่และชัดเจน มีจอแสดงผลเพื่อทบทวนรายการอาหาร พร้อมแสดงราคาที่หน้าเคาน์เตอร์ให้กับลูกค้า รวมถึงมีจอมอนิเตอร์ให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้สื่อสารเป็นภาษามือโดยตรงกับครัวที่อยู่ชั้นบนได้สะดวกขึ้น"
"นี่จะเป็นวิธีที่จะช่วยส่งเสริม และสนับสนุนการทำงานให้กับคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายโดยเฉพาะ ซึ่งการจะรับพนักงานที่เป็นคนพิการเข้าทำงานเราจำเป็นจะต้องสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน เพราะนั่นจะเป็นการช่วยให้พนักงานเกิดประสิทธิภาพได้ไม่แพ้พนักงานปกติเลย"
"สาขาไทม์สแควร์เราได้ให้บริการไปแล้วกว่า 6 เดือน ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าถ้าเราขยายสาขาไปที่อื่นก็จะได้รับการตอบรับดียิ่งขึ้น"
ขณะที่ "อนิต้า โซนี่" ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า เราอยากขยายโอกาสการรับพนักงานผู้พิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเพิ่มอีก 120 คน
"โดยในปี 2556 เราจะขยายไปในสาขาเมเจอร์ สุขุมวิท และสาขาเกตเวย์ เอกมัย ที่ให้บริการโดยคนพิการ ซึ่งแผนการรับพนักงานกลุ่มนี้เราจะต้องเตรียมจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ และการฝึกอบรมให้เป็นภาษามือ และแปลองค์ความรู้เป็นตัวอักษรภาษาไทยไว้ในระบบ learning zone ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุงอาหารของเคเอฟซี ทักษะการให้บริการในร้าน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และต่อยอดไปสู่การเติบโตในหน้าที่อย่างมีศักยภาพต่อไปในอนาคต"
ส่วนบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่มองเห็นศักยภาพของคนพิการ และล่าสุดได้เปิดศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า และศูนย์บริการลูกค้า contact center สำหรับลูกค้าเพาเวอร์บาย และโฮมเวิร์ค
โครงการนี้ "บุษบา จิราธิวัฒน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกว่า เป็นการร่วมมือกันระหว่างเซ็นทรัล และมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อพัฒนาคนพิการ ในมูลนิธิคุณพ่อเรย์ พัทยา
"เมื่อเซ็นทรัลต้องการจะสร้างโอกาสให้ผู้พิการมีอาชีพและรายได้ที่ดีขึ้น เราจึงมีนโยบายรับคนพิการเข้าทำงานของบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้อง นั่นคือโครงการสร้างศูนย์บริการลูกค้า contact center และศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยคนพิการได้รับการคัดเลือกนำร่องจากมูลนิธิพระมหาไถ่รวม 20 คน"
"นอกจากโครงการส่วนนี้แล้ว เซ็นทรัลยังมีนโยบายที่จะรับคนพิการเข้าทำงานให้ได้ 230 คน ซึ่งเราจะต้องมีงบฯสนับสนุนการคัดสรรบุคลากรคนพิการ รวม 23 ล้านบาทต่อปี โดยจะแยกออกเป็นโครงการย่อย ๆ เพื่อจะได้ผลิตบุคลากรตรงตามความต้องการของแต่ละสายงาน
"จริง ๆ แล้วงบฯลงทุนขององค์กรเอกชนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสนับสนุนในส่วนของเครื่องมือเพื่อให้คนพิการทำงานสะดวกขึ้นเท่านั้น แต่หากจะให้การสนับสนุนงานคนพิการเพื่อให้เกิดความยั่งยืน รัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุนเพื่อจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการเดินทางมาทำงานสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น"
"เช่น ทางเท้าต้องเรียบไม่ขรุขระ มีลิฟต์คอยให้บริการตามสถานที่สาธารณะ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะต้องให้ความสะดวกแก่คนพิการมากขึ้น เพราะทุกวันนี้หนึ่งในปัญหาที่คนพิการไม่สามารถไปทำงานได้คือการเดินทางที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย"
"ดังนั้น สถานที่ทำงานของศูนย์บริการลูกค้า contact center และศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มูลนิธิพระมหาไถ่จึงมั่นใจได้ว่า พนักงานผู้พิการของเราจะได้รับความสะดวกสบายในการทำงานที่เขาคุ้นเคย นั่นหมายความว่าการจะทำให้คนพิการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต้องอย่ามองข้ามสิ่งอำนวยความสะดวกของการทำงานเพื่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย"
ขณะที่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการค้าปลีกสมัยใหม่ มีสาขากว่า 330 สาขา ใน 56 จังหวัดทั่วประเทศ ปรัชญาหลักของบิ๊กซี คือการเป็นมากกว่าห้างค้าปลีก
ดังนั้น ตลอด 19 ปีผ่านมา บิ๊กซีจึงเป็นเพื่อนที่ดีของผู้บริโภคทั่วประเทศ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและชุมชนไทยมาโดยตลอด และด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จึงมีเป้าหมายสูงสุดคือการร่วมพัฒนาชุมชนอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องทั้งด้านสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตบน 4 ด้านหลักคือ
หนึ่ง การศึกษา
สอง สุขภาพ
สาม สิ่งแวดล้อม
สี่ การพัฒนาสังคมและชุมชน
"กุฎาธาร นาควิโรจน์" ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ด้านการศึกษา มูลนิธิบิ๊กซีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ ได้ก่อตั้งมาแล้ว 10 ปี และได้มอบทุนการศึกษากว่า 24,000 ทุนแก่นักเรียนทั่วประเทศ รวมไปถึงการสร้างอาคารเรียน 37 อาคารสนามกีฬา และห้องสมุดในโรงเรียนที่ขาดแคลนเป็นจำนวนมาก
"ส่วนด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน บิ๊กซีให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับคนในชุมชน โดยเฉพาะผู้พิการ ซึ่งบิ๊กซีตระหนักดีว่า ผู้พิการจำนวนมากยังต้องการโอกาสในการดำรงชีวิตด้วยตนเอง และมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนของสังคม เราจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและพัฒนาชีวิตให้กับผู้พิการ เพื่อให้ผู้พิการเข้าถึงและดำรงชีวิตอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ"
"ตั้งแต่ปลายปี 2554 เป็นต้นมา บิ๊กซีได้เปิดรับผู้พิการเข้าทำงาน โดยยึดหลักการสำคัญว่าบิ๊กซีจะต้องเข้าใจความสามารถและความต้องการของผู้พิการก่อน จึงจะสามารถสนับสนุนให้ผู้พิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้น บริษัทจึงได้สรรหาลักษณะงานที่ตรงกับความถนัดของผู้พิการแต่ละคน เพื่อให้ทุกคนได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถและทักษะของตนเอง"
"ตรงนี้จึงส่งผลให้พนักงานผู้พิการของบิ๊กซีมีความภูมิใจ ความเชื่อมั่น และเป็นที่ยอมรับจากเพื่อนร่วมงานทุกคน และเราภูมิใจอย่างยิ่งที่เป็นห้างค้าปลีกรายแรกของประเทศไทยที่มีผู้พิการร่วม ทำงานกับบริษัทครบตามอัตราที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550"
"ยิ่งไปกว่านั้น เรายังส่งเสริมให้ชาวบิ๊กซีทุกคน ทั้งที่เป็นผู้พิการและผู้ที่ไม่พิการเข้าใจ ยอมรับ และรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งความสำเร็จนี้ได้ส่งผลให้จำนวนพนักงานผู้พิการในบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในวันนี้มีพี่น้องผู้พิการทั่วประเทศกว่า 270 คนร่วมงานกับบิ๊กซี ซึ่งเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดถึงร้อยละ 18"
และในโอกาสวันคนพิการสากลผ่านมา บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จึงรู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ ทั้งในด้านการสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการยอมรับจากทุกภาคส่วน
รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวง และการสร้างโอกาสในการพัฒนาชีวิตให้กับผู้พิการ โดยบิ๊กซีมีเป้าหมายที่จะรับผู้พิการเข้าทำงานให้สูงในอัตราถึง 50 ต่อ 1 อันเป็นเป้าหมายที่ไม่เฉพาะต่อบิ๊กซีเท่านั้น
หากยัม เรสเทอรองตส์, เซ็นทรัลรีเทล และอีกหลาย ๆ องค์กร คงเห็นพ้องต้องกันว่าคนพิการไม่เพียงมีศักยภาพที่เปี่ยมล้น เพียงแต่เรา ๆ ท่าน ๆ จะให้โอกาสเขาหรือเปล่าเท่านั้นเอง ?
ยัมฯ-เซ็นทรัลรีเทลฯ-บิ๊กซี นำร่องเปิดโอกาสคนพิการเข้าทำงาน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตามประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2554 กำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2554
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 33 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
กำหนดให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปรับคนพิการที่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ในอัตราส่วนลูกจ้างที่มิใช่คนพิการทุก 100 คน ต่อคนพิการ 1 คน เศษของ 100 คน ถ้าเกิน 50 คน จะต้องรับคนพิการเพิ่ม 1 คน
นอกจากนั้น กฎกระทรวงฉบับเดียวกันยังประกาศให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการผู้ใดที่มิได้รับคนพิการเข้าทำงานตามที่กำหนด และมิได้ดำเนินการตามมาตรา 35 ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นรายปี
โดยคำนวณจากอัตราต่ำสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับหลังสุดในปีก่อนปีที่มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คูณด้วย 365 และคูณด้วยจำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงาน ปรากฏว่า เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐบางแห่งเริ่มมีความตื่นตัวกันอยู่บ้าง แต่กระนั้นยังถือว่าค่อนข้างน้อย เพราะจากฐานข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พบว่าปัจจุบันมีคนพิการอยู่ประมาณ 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ
แต่สำหรับบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ขายสินค้าบริโภคภายใต้แบรนด์ KFC กลับให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ เพราะล่าสุดได้จับมือกับสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ในการรับพนักงานที่มีความพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเข้าทำงานที่ร้านเคเอฟซีภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า "KFC เราได้ยินทุกความฝัน"
โดยเรื่องนี้ "มิลินด์ พันท์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า เราต้องการส่งเสริมให้ผู้พิการเหล่านี้มีโอกาสเป็นพนักงาน และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตต่อตนเองและครอบครัวให้ดีขึ้น
"เราจึงริเริ่มรับพนักงานที่มีความพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเข้าทำงานที่ร้านเคเอฟซีในสาขาไทม์สแควร์ โดยมีจำนวนคนพิการเข้าทำงานในสาขาแรกนี้รวม 32 คน ซึ่งหากเทียบเป็นอัตราส่วนการรับคนพิการเข้าทำงานต่อพนักงานปกติแล้วเป็น 70 : 30"
"ด้วยจำนวนคนพิการที่เข้าทำงานในเคเอฟซีสาขานี้ค่อนข้างเยอะกว่าพนักงานปกติ ดังนั้น เราจึงต้องลงทุนติดตั้งเครื่องมือด้วยงบประมาณกว่า 1.3 ล้านบาท เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา เช่น เมนูการสั่งออร์เดอร์จะต้องมีขนาดใหญ่และชัดเจน มีจอแสดงผลเพื่อทบทวนรายการอาหาร พร้อมแสดงราคาที่หน้าเคาน์เตอร์ให้กับลูกค้า รวมถึงมีจอมอนิเตอร์ให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้สื่อสารเป็นภาษามือโดยตรงกับครัวที่อยู่ชั้นบนได้สะดวกขึ้น"
"นี่จะเป็นวิธีที่จะช่วยส่งเสริม และสนับสนุนการทำงานให้กับคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายโดยเฉพาะ ซึ่งการจะรับพนักงานที่เป็นคนพิการเข้าทำงานเราจำเป็นจะต้องสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน เพราะนั่นจะเป็นการช่วยให้พนักงานเกิดประสิทธิภาพได้ไม่แพ้พนักงานปกติเลย"
"สาขาไทม์สแควร์เราได้ให้บริการไปแล้วกว่า 6 เดือน ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าถ้าเราขยายสาขาไปที่อื่นก็จะได้รับการตอบรับดียิ่งขึ้น"
ขณะที่ "อนิต้า โซนี่" ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า เราอยากขยายโอกาสการรับพนักงานผู้พิการทางการได้ยินและสื่อความหมายเพิ่มอีก 120 คน
"โดยในปี 2556 เราจะขยายไปในสาขาเมเจอร์ สุขุมวิท และสาขาเกตเวย์ เอกมัย ที่ให้บริการโดยคนพิการ ซึ่งแผนการรับพนักงานกลุ่มนี้เราจะต้องเตรียมจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ และการฝึกอบรมให้เป็นภาษามือ และแปลองค์ความรู้เป็นตัวอักษรภาษาไทยไว้ในระบบ learning zone ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุงอาหารของเคเอฟซี ทักษะการให้บริการในร้าน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และต่อยอดไปสู่การเติบโตในหน้าที่อย่างมีศักยภาพต่อไปในอนาคต"
ส่วนบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่มองเห็นศักยภาพของคนพิการ และล่าสุดได้เปิดศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า และศูนย์บริการลูกค้า contact center สำหรับลูกค้าเพาเวอร์บาย และโฮมเวิร์ค
โครงการนี้ "บุษบา จิราธิวัฒน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกว่า เป็นการร่วมมือกันระหว่างเซ็นทรัล และมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อพัฒนาคนพิการ ในมูลนิธิคุณพ่อเรย์ พัทยา
"เมื่อเซ็นทรัลต้องการจะสร้างโอกาสให้ผู้พิการมีอาชีพและรายได้ที่ดีขึ้น เราจึงมีนโยบายรับคนพิการเข้าทำงานของบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้อง นั่นคือโครงการสร้างศูนย์บริการลูกค้า contact center และศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยคนพิการได้รับการคัดเลือกนำร่องจากมูลนิธิพระมหาไถ่รวม 20 คน"
"นอกจากโครงการส่วนนี้แล้ว เซ็นทรัลยังมีนโยบายที่จะรับคนพิการเข้าทำงานให้ได้ 230 คน ซึ่งเราจะต้องมีงบฯสนับสนุนการคัดสรรบุคลากรคนพิการ รวม 23 ล้านบาทต่อปี โดยจะแยกออกเป็นโครงการย่อย ๆ เพื่อจะได้ผลิตบุคลากรตรงตามความต้องการของแต่ละสายงาน
"จริง ๆ แล้วงบฯลงทุนขององค์กรเอกชนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสนับสนุนในส่วนของเครื่องมือเพื่อให้คนพิการทำงานสะดวกขึ้นเท่านั้น แต่หากจะให้การสนับสนุนงานคนพิการเพื่อให้เกิดความยั่งยืน รัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุนเพื่อจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการเดินทางมาทำงานสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น"
"เช่น ทางเท้าต้องเรียบไม่ขรุขระ มีลิฟต์คอยให้บริการตามสถานที่สาธารณะ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะต้องให้ความสะดวกแก่คนพิการมากขึ้น เพราะทุกวันนี้หนึ่งในปัญหาที่คนพิการไม่สามารถไปทำงานได้คือการเดินทางที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย"
"ดังนั้น สถานที่ทำงานของศูนย์บริการลูกค้า contact center และศูนย์บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มูลนิธิพระมหาไถ่จึงมั่นใจได้ว่า พนักงานผู้พิการของเราจะได้รับความสะดวกสบายในการทำงานที่เขาคุ้นเคย นั่นหมายความว่าการจะทำให้คนพิการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต้องอย่ามองข้ามสิ่งอำนวยความสะดวกของการทำงานเพื่อคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย"
ขณะที่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการค้าปลีกสมัยใหม่ มีสาขากว่า 330 สาขา ใน 56 จังหวัดทั่วประเทศ ปรัชญาหลักของบิ๊กซี คือการเป็นมากกว่าห้างค้าปลีก
ดังนั้น ตลอด 19 ปีผ่านมา บิ๊กซีจึงเป็นเพื่อนที่ดีของผู้บริโภคทั่วประเทศ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและชุมชนไทยมาโดยตลอด และด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จึงมีเป้าหมายสูงสุดคือการร่วมพัฒนาชุมชนอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องทั้งด้านสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตบน 4 ด้านหลักคือ
หนึ่ง การศึกษา
สอง สุขภาพ
สาม สิ่งแวดล้อม
สี่ การพัฒนาสังคมและชุมชน
"กุฎาธาร นาควิโรจน์" ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ด้านการศึกษา มูลนิธิบิ๊กซีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ ได้ก่อตั้งมาแล้ว 10 ปี และได้มอบทุนการศึกษากว่า 24,000 ทุนแก่นักเรียนทั่วประเทศ รวมไปถึงการสร้างอาคารเรียน 37 อาคารสนามกีฬา และห้องสมุดในโรงเรียนที่ขาดแคลนเป็นจำนวนมาก
"ส่วนด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน บิ๊กซีให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับคนในชุมชน โดยเฉพาะผู้พิการ ซึ่งบิ๊กซีตระหนักดีว่า ผู้พิการจำนวนมากยังต้องการโอกาสในการดำรงชีวิตด้วยตนเอง และมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนของสังคม เราจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและพัฒนาชีวิตให้กับผู้พิการ เพื่อให้ผู้พิการเข้าถึงและดำรงชีวิตอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ"
"ตั้งแต่ปลายปี 2554 เป็นต้นมา บิ๊กซีได้เปิดรับผู้พิการเข้าทำงาน โดยยึดหลักการสำคัญว่าบิ๊กซีจะต้องเข้าใจความสามารถและความต้องการของผู้พิการก่อน จึงจะสามารถสนับสนุนให้ผู้พิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้น บริษัทจึงได้สรรหาลักษณะงานที่ตรงกับความถนัดของผู้พิการแต่ละคน เพื่อให้ทุกคนได้ทำงานที่ตรงกับความสามารถและทักษะของตนเอง"
"ตรงนี้จึงส่งผลให้พนักงานผู้พิการของบิ๊กซีมีความภูมิใจ ความเชื่อมั่น และเป็นที่ยอมรับจากเพื่อนร่วมงานทุกคน และเราภูมิใจอย่างยิ่งที่เป็นห้างค้าปลีกรายแรกของประเทศไทยที่มีผู้พิการร่วม ทำงานกับบริษัทครบตามอัตราที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550"
"ยิ่งไปกว่านั้น เรายังส่งเสริมให้ชาวบิ๊กซีทุกคน ทั้งที่เป็นผู้พิการและผู้ที่ไม่พิการเข้าใจ ยอมรับ และรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งความสำเร็จนี้ได้ส่งผลให้จำนวนพนักงานผู้พิการในบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในวันนี้มีพี่น้องผู้พิการทั่วประเทศกว่า 270 คนร่วมงานกับบิ๊กซี ซึ่งเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดถึงร้อยละ 18"
และในโอกาสวันคนพิการสากลผ่านมา บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จึงรู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ ทั้งในด้านการสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการยอมรับจากทุกภาคส่วน
รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวง และการสร้างโอกาสในการพัฒนาชีวิตให้กับผู้พิการ โดยบิ๊กซีมีเป้าหมายที่จะรับผู้พิการเข้าทำงานให้สูงในอัตราถึง 50 ต่อ 1 อันเป็นเป้าหมายที่ไม่เฉพาะต่อบิ๊กซีเท่านั้น
หากยัม เรสเทอรองตส์, เซ็นทรัลรีเทล และอีกหลาย ๆ องค์กร คงเห็นพ้องต้องกันว่าคนพิการไม่เพียงมีศักยภาพที่เปี่ยมล้น เพียงแต่เรา ๆ ท่าน ๆ จะให้โอกาสเขาหรือเปล่าเท่านั้นเอง ?