พ่อหมออลเวง ตอนที่๓

กระทู้สนทนา
ลิงค์ตอนที่๑ http://ppantip.com/topic/30107518
ลิงค์ตอนที่๑ http://ppantip.com/topic/30480244
-------------------------------------------------------

ตอนที่๓



ฝนเริ่มอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว   เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเขาสูญพลังไปไม่น้อย   ตอนนี้กระเพาะของเขาโหยหาอาหารมื้อเย็น   โชคดีที่เมื่อกี้ใช้น้ำจิ้มไก่ถ่วงเวลาหมอผีไปไม่มาก   ยังหลงเหลือติดก้นขวดพอจิ้มไก่มื้อนี้ได้   ณภัทรเดินกลับห้อง   รู้สึกรำคาญผีหนุ่มที่เดินตามขึ้นลิฟต์มาตั้งแต่ชั้นหนี่ง

ณภัทรไขกุญแจห้องเดินเข้าไปข้างใน   ผีหนุ่มเดินตามเข้ามาด้วยพยายามทำตัวให้เหมือนที่มนุษย์ทำมากที่สุด   ไม่อยากใช้อิทธิฤทธิ์ของการเป็นผี   ทำให้ณภัทรรู้สึกว่าเขาผิดแผกเกินคนไปมากกว่านี้

“ตามฉันมาทำไมเนี่ย?” ณภัทรโผงออกไปในที่สุดหลังจากอัดอั้นเอาไว้นาน

“ฉันอยากขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้” ผีหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

ณภัทรผงกหัว

“อืม... แค่นี้ใช่ไหม   งั้นนายก็ออกไปได้แล้ว” พูดพร้อมปัดมือไล่คู่สนทนาออกไปจากห้อง

“เดี๋ยวซิคุยกันก่อน   ฉันอยากตอบแทนบุญคุณนาย”

“ไม่ต้องหรอก   เรื่องแค่นั้นฉันไม่ถือ   จะคิดเสียว่าเป็นเพียงฝันสนุก ๆ   นายไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรหรอก”

“ฉันสามารถมองผ่านอดีตของคนที่ฉันสบตาได้   รู้ทุกอย่างทั้งชื่อ   การศึกษา   นิสัยใจคอ”

ณภัทรแสดงสีหน้าแปลกใจ

“อ๋อ   เพราะอย่างนี้ใช่ไหมนายถึงรู้จักฉัน   งั้นหมายความว่านายก็รู้ความลับฉันหมดน่ะซิ” ณภัทรเปลี่ยนมาฉายแววตาตระหนกในทันใด
ผีหนุ่มพยักหน้า

“ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก   สาบานได้”

“ที่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ หมายความว่านายจะมอบพลังแบบนายให้ฉันรึเปล่า?” ณภัทรนึกสนุก   ถ้าเขามีพลังแบบนั้นคงประหลาดพิลึก

“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก   ตอนนี้นายกำลังเดือดร้อนเรื่องค่าเทอมใช่ไหม   ก็ให้นายเปิดสำนักหมอดู   ให้ฉันมองอดีตคนที่มาดูหมอ   แล้วเราก็เอามาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นเรื่องในอนาคตของคน ๆ นั้น   นายก็เก็บเงินค่าบูชาครู”

“แบบนั้นก็หมอเดาน่ะซิ”

“หมอดูคู่กับหมอเดา   หมอดูจริง ๆ มีไม่มากหรอก   ที่เกลื่อน ๆ ตามตลาดนัดฉันว่าพวกเดาส่งเดชทั้งนั้น”

ณภัทรครุ่นคิด   ผีหนุ่มเห็นเป็นจังหวะดีจึงรีบตะล่อมให้เขาเห็นคล้อยด้วย

“นายก็รู้ ใคร ๆ ก็ชอบดูดวง   ทำอย่างนี้นายจะได้เงินค่าบูชาครูเยอะนะ”

ณภัทรวาดฝัน   ถ้าเป็นอย่างที่ผีหนุ่มกล่าวเขาคงมีเงินพอจ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่   เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพลาดทุนที่เพิ่งไปขอเมื่อเย็นวันนี้ไปแน่ ๆ   ถ้าโชคดีบังเอิญมั่วถูกอาจเหลือเงินใช้จ่ายส่วนตัว   โทรศัพท์มือถือจอยักษ์   คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่คงได้เป็นเจ้าของไม่ยาก

“ก็ได้ ฉันตกลงตามที่นายบอก   แต่ทำแบบนี้นายได้อะไร   แค่ต้องการตอบแทนฉันที่ช่วยนายรอดพ้นจากหมอผีเท่านั้นเองเหรอ”

“ก... ก็ใช่นะซิ   จะมีอะไรไปมากกว่านั้นเล่า” ผีหนุ่มพูดตะกุกตะกัก เหมือนเขาปิดบังบางอย่างไว้

ณภัทรจ้องหน้าผีหนุ่มอย่างไม่เชื่อโดยสนิทใจ   แต่ก็เลิกสนใจประเด็นนี้ในที่สุด

“นายรู้เรื่องฉันเยอะแยะ   เล่าเรื่องของนายให้ฉันรู้บ้างสิว่านายเป็นใคร   ชื่ออะไร   เป็นอะไรถึงตาย”

“อะแฮ่ม” ผีหนุ่มยกหมัดมาจ่อที่ปากพลางกระแอมไอ “ฉันชื่อมาวิน   อดีตเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับนาย   แต่โชคไม่ดีเรียนไม่จบ   ถูกสิบล้อเสยท้ายรถมอเตอร์ไซด์ตายคาที่ไปซะก่อนตอนขึ้นปีสาม”

“โถ... น่าสงสารจัง” แววตาณภัทรสลด

“เอาล่ะ   เลิกสนใจเรื่องของฉันได้แล้ว   เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า   ฉันจะให้นายตั้งสำนักหมอดูขึ้นมา   เอาที่ที่นายคิดว่าทำเลดีลูกค้าเยอะ   เดี๋ยวฉันจะร่างมนต์เชื่อมสายตากับนาย   เมื่อไหร่ที่นายตั้งจิตแน่วแน่มองคนที่มาดูดวง   ฉันก็จะเห็นเหมือนอย่างที่นายเห็น   แต่นายจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่ฉันเห็นนะ   จากนั้นฉันก็จะใช้พลังของฉันมองทะลุอดีตแล้วเล่าสิ่งที่ฉันเห็นให้นายฟัง   จากนั้นนายก็ทำนายอนาคตของคน ๆ นั้น   เอาล่ะให้นายพนมมือ   หลับตาทำจิตใจให้สงบเข้าไว้”

ณภัทรยกมือพนมขึ้นกลางอก   พยายามทำจิตใจให้ว่าง   พิธีเชื่อมสายตาของคนกับผีเริ่มขึ้นแล้ว


เช้านี้ณภัทรโทรฯปลุก “จ้อน” ผู้เป็นเพื่อนสนิทแต่เช้าเพื่อขอความช่วยเหลือให้ไปซื้อของตามที่เขาระบุ   จ้อนเป็นลูกเศรษฐีมีรถยนต์ขับ   ลำพังมอเตอร์ไซด์ของเขาบรรทุกข้าวของที่ต้องการได้ไม่หมดจึงต้องพึงใบบุญเพื่อน   แม้ผู้เป็นเพื่อนจะสงสัยว่าให้ซื้อข้าวของแปลกประหลาดเหล่านี้ไปทำไม   แต่ก็ยอมช่วยเหลือโดยดี

ของที่จ้อนขนขึ้นท้ายรถก็มี   ผ้าเจ็ดสี   เทียนพรรษา   ขันเงินใบใหญ่   เบาะรองนั่ง   ตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว   หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสี   ผลิตจากจีนแดงดูไร้ราคาราวกับเศษพลาสติก   จ้อนขับรถมาจอดข้างตึกสโมสรนักศึกษาตามที่ณภัทรนัด   เป็นเวลาที่ธงชาติไทยถูกเชิญขึ้นยอดเสาพอดี

“ไอ้จ้อน   ได้ของมาครบรึเปล่า?” ณภัทรตะโกนทักทันทีที่เจ้าของรถคันงามก้าวเท้าลงจากรถแตะพื้นถนนซีเมนต์   เขาปรี่มาหาทันที
“แกจะเอาของพวกนี้มาทำอะไรวะ   จะเอามาทำคอนเซปชวลอาร์ตส่งอาจารย์รึไง?”

“เออน่า... รอดูเดี๋ยวรู้เอง   ขอบใจมากนะเพื่อนที่อุตส่าห์เป็นธุระจัดการให้”

“เออ ๆ ไม่เป็นไร   คราวหลังก็อย่าโทรฯมาปลุกเช้าแบบวันนี้อีกล่ะ   วันนี้มีเรียนบ่ายโมงฉันกะตื่นสักสิบเอ็ดโมง   เมื่อคืนเลยเล่นเกมจนถึงตีสี่   เพิ่งได้นอนไปสี่ชั่วโมงอยู่เลย” จ้อนทำหน้าง่วงเหงาหาวนอน

เมื่อณภัทรมายืนเทียบข้าง ๆ จ้อนก็เห็นความแตกต่างของรูปร่างทั้งสองหนุ่มอย่างชัดเจน   ณภัทรผู้มีผิวแทนทนแดดสูง ๑๗๕ เซนติเมตรได้   แม้สูงไม่มากนักถ้าเทียบกับดาราหรือนักกีฬา   แต่รูปร่างของเขาดูสมส่วน   แข้งขายาว   ไหล่ผาย   ลำตัวเหยียดตรง   ศีรษะดูเล็กกว่าคนปกติทั่วไป   มองดูเหมือนสูงกว่าความเป็นจริงขึ้นมาอีกสิบเซนติเมตร

ส่วนจ้อนลูกชายเศรษฐีผู้มีผิวละเอียดขาวเนียนเหมือนดาราสาวพรีเซนเตอร์โลชั่นบำรุงผิว   ตัวเล็กกะทัดรัดเหมือนรถประหยัดน้ำมันของเขา   มีส่วนสูงเพียง ๑๖๕ เซนติเมตร   รูปร่างอันผอมบางคล้ายไม่เคยใช้งานกล้ามเนื้อมาก่อน   ไหล่แคบไร้สัดส่วนของชายชาตรี   ทรงผมที่ไว้ตามตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบยิ่งทำให้ศีรษะของเขาดูกลมและโตกว่าเดิม   มองดูเหมือนเตี้ยกว่าความเป็นจริงลงมาอีกสิบเซนติเมตร
ตึกที่ทั้งสองหนุ่มหิ้วข้าวของเข้าไปคือตึกสโมสรนักศึกษา   มีทั้งหมดสามชั้น   ชั้นล่างสุดเป็นพื้นที่โล่ง   มีชุดโต๊ะม้าหินอ่อนหลายชุดสำหรับนั่งทำกิจกรรมปรึกษาหารือ   บางคนก็ใช้สถานที่นี้สร้างรายได้พิเศษโดยการติวให้กับเด็กมัธยม   ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องชมรมต่าง ๆ เช่น   ชมรมวรรณศิลป์   ชมรมพุทธศิลป์   ชมรมถ่ายภาพ   ชมรมการแสดง   ฯลฯ   ยกเว้นพวกชมรมกีฬากับชมรมดนตรีแขนงต่าง ๆ ที่จะมีสถานที่เฉพาะสำหรับฝึกซ้อมของแต่ละชมรมไป

ณภัทรและจ้อนอยู่ชมรมอาสาเพื่อสังคม   ห้องชมรมอยู่ชั้นสองด้านในสุดทางเดิน   ภายในห้องดูโล่งเนื่องจากชมรมนี้ทำกิจกรรมนอกสถานที่   ห้องชมรมจึงมีไว้เพียงประชุมบางครั้งคราวกับเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นสมบัติของชมรม   ณภัทรเห็นสภาพห้องเหมือนเห็นสำนักหมอดูของตนเองอยู่ในหัว   ไม่รอช้าเขาเริ่มปรับสภาพห้องทันที

ชั้นไม้วางหนังสือและรูปถ่ายสูงประมาณเอวถูกณภัทรเก็บกวาดจนโล่ง   หนังสือถูกนำไปยัดรวมกับเล่มอื่น ๆ ที่ตู้ใหญ่   รูปถ่ายก็เช่นกันถูกนำไปวางไว้บนหลังตู้ใบนั้น   ชั้นไม้ถูกแทนที่ด้วยข้าวของที่ณภัทรให้จ้อนไปซื้อ

หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสีจัดวางไว้บนชั้นไม้   ขนาบข้างด้วยตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว   นึกเสียว่าหุ่นขบวนการแทนกุมารทอง   ตุ๊กตาแมวกวักแทนนางกวักอันล้าสมัย   ผ้าเจ็ดสีถูกผูกไว้ที่ขาของชั้นไม้และขันเงินใบใหญ่สำหรับใส่ค่าบูชาครู   เบาะนั่งวางไว้ด้านหน้าชั้นวาง   เคียงข้างด้วยเทียนพรรษาเล่มใหญ่   ดูแล้วไม่ขลังแต่แปลกแหวกแนวถูกใจวัยรุ่น

“ทำอะไรวะ   อย่างกับศาลเจ้างั้นแหละ” จ้อนว่า

“สำนักหมอดูไง   มา ๆ แกมาประเดิมหน่อย” ณภัทรลากแขนจ้อนมานั่งหน้าชั้นไม้   แต่ตอนนี้ควรเรียกว่าแท่นสักการบูชามากกว่า   ส่วนตัวเขานั่งลงบนเบาะ   ประจันหน้ากับจ้อน

“แกดูด้วยเป็นด้วยเหรอ   ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”

“ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกัน   เอ้า! หย่อนค่าบูชาครูสิ”

จ้อนเลิกคิ้วทำหน้าเหลอหลา   ณภัทรไม่ปล่อยให้เพื่อนเรียบเรียงความคิดทำความเข้าใจ   โน้มตัวเข้าใกล้หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกงเพื่อน   กางกระเป๋าเงินออกดูเห็นธนบัตรพันบาทหลายใบ   หยิบออกมาหนึ่งใบหย่อนลงในขัน   จ้อนได้สติปรามเพื่อนได้ทัน

“เฮ้ย ๆ เยอะไป” จ้อนคว้ากระเป๋าเงินคืน   หยิบธนบัตรพันบาทออกจากขันมาเก็บเข้าที่เดิม   แล้วควักธนบัตรยี่สิบบาทหย่อนลงขันแทน   “ยี่สิบบาทพอ”

“โห... ไม่สปอร์ตเลยอ่ะเพื่อนฝูง   ก็ได้ ๆ เอาล่ะจ้องตาฉันไว้นะ”

ณภัทรนั่งหลังตรง   จ้องสายตาแน่วแน่ไปข้างหน้า   จ้อนยอมทำตามแต่โดยดี   เขาสบสายตาของเพื่อน   จู่ ๆ เพลง “ช่างไม่รู้เลย” ก็ดังขึ้นในหัว   ไม่นะเราไม่ใช่พวกไม้ป่าเดียวกัน   ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกในเชิงชู้สาวกับไอ้พัด

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย   ในความคุ้นเคยกันอยู่   มันแฝงอะไรบ้างอย่างที่มากกว่านั้น

“เอาล่ะ   เลิกสบตากันได้แล้วฉันจะอ้วก”   มาวินบอกณภัทร   เป็นเสียงที่จ้อนหรือคนธรรมดา ๆ ไม่มีทางได้ยิน

ณภัทรเบนสายตาหนี   แอบขนลุกให้กับสายตาหยาดเยิ้มของจ้อนอยู่เหมือนกัน   บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจ้อนเหมือนทอมบอยมากเหลือเกิน

“โถ... เพื่อนนายน่าสงสารมากเลยณภัทร”   มาวินพูดน้ำเสียงแฝงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

“เพื่อนนายคนนี้ตอนเด็ก ๆ หัวไม่ค่อยดี   อยู่ ป.๖ ยังท่องสูตรคูณไม่ได้จึงถูกพ่อเฆี่ยนตี   จนตอนนี้เขายังท่องสูตรคูณได้ไม่ครบสิบเอ็ดแม่เลย   ความรุ่นแรงไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ในโลกได้   แถมยังถูกส่งไปฝึกมารยาทในการเข้าสังคมไฮโซ   ถูกบังคับให้เล่นกีฬานานาชนิด   โดนจับโยนลงสระเพื่อให้ว่ายน้ำเป็น   เรียนพิเศษแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เลิกเรียนยันสองทุ่มทุกวัน   กว่าพ่อแม่ของเขาจะเห็นแววด้านคอมพิวเตอร์ในตัวลูกชายและสนับสนุนก็ตอนเขาขึ้นชั้น ม.๔   เขาดูอึดอัดกับชีวิตวัยเด็กมาก   น่าเห็นใจจริง ๆ

มาวินเล่าเรื่องราวในอดีตของจ้อนที่ตนใช้พลังพิเศษมองเห็นให้ณภัทรฟัง   ณภัทรได้ฟังก็รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้ขึ้นมาจับใจ   ถ้าการมีเงินมากมายแต่หาความสุขในชีวิตไม่ได้   สู้อยู่อย่างพอกินพอใช้แต่คนในครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบครอบครัวของเขาเสียยังจะดีกว่า

ณภัทรเล่าเรื่องที่ได้ยินจากมาวินให้จ้อนฟัง   เหมือนเขาเป็นล่ามข้ามมิติให้คนกับผี   จ้อนฟังไปคอก็ค่อย ๆ ตกจนอยู่ในท่าก้มมองพื้นในที่สุด   ร่างหดเกร็งลีบเล็กลงกว่าเดิม   พอเล่าจบร่ายกายของจ้อนก็สั่นเทิ้มราวจับไข้

“เป็นอะไรไปวะจ้อน?” ณภัทรถามอย่างห่วงใย

จู่ ๆ จ้อนก็โผเข้ามากอดณภัทรแน่นทำตกอกตกใจ   แหกปากร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังราวกับเด็กเห็นของเล่นแต่พ่อแม่ไม่ตามใจซื้อให้

“ฮือ ๆ ๆ ไอ้พัดเพื่อนรัก   มีแต่แกเท่านั้นแหละที่เข้าใจหัวอกฉัน   ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมีแต่เรื่องเจ็บปวดมากมาย   แต่วันนี้ฉันผ่านพ้นจุดนั้นมาได้แล้ว   ขอบใจแกนะที่จะยืนหยัดเคียงข้างฉันไปจนกว่าเราจะตายจากกัน”

ณภัทรลำบากใจไม่รู้จะช่วยปลอบเพื่อนอย่างไรดี

“เออ ๆ ฉันเข้าใจแก   เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป   แต่ตอนนี้แกปล่อยฉันก่อนได้ไหม   น้ำมูกแกจะเลอะเสื้อฉันเอา”

หลังจากปล่อยให้เพื่อนปรับสภาพอารมณ์ให้จิตใจสงบลงอย่างเดิมก็กินเวลาไปพักใหญ่   เพื่อนรักทั้งสองกลับมาคุยกันเหมือนปกติ

“แกมาตั้งสำนักหมอดูในห้องชมรมอย่างนี้ไม่กลัวแม่ประธานจอบเฮี้ยบไล่ตะเพิดเอาเหรอ” จ้อนถาม

“แม่นั่นจะทำอะไรฉันได้   อย่างน้อยฉันก็เป็นถึงรองประธานชมรมนี้นะ”

คลิก!

ประตูห้องชมรมเปิดออก   ร่างอรชรของสตรีสองนางเดินเข้ามาในห้องโล่ง   ณภัทรเห็นก็ทำหน้าเหวอ   ยังไม่ได้เตรียมแผนรับมือประธานชมรมจอบเฮี้ยบกับคู่หูประจัญบานของเธอเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่