ลิงค์ตอนที่๑
http://ppantip.com/topic/30107518
ลิงค์ตอนที่๑
http://ppantip.com/topic/30480244
-------------------------------------------------------
ตอนที่๓
ฝนเริ่มอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเขาสูญพลังไปไม่น้อย ตอนนี้กระเพาะของเขาโหยหาอาหารมื้อเย็น โชคดีที่เมื่อกี้ใช้น้ำจิ้มไก่ถ่วงเวลาหมอผีไปไม่มาก ยังหลงเหลือติดก้นขวดพอจิ้มไก่มื้อนี้ได้ ณภัทรเดินกลับห้อง รู้สึกรำคาญผีหนุ่มที่เดินตามขึ้นลิฟต์มาตั้งแต่ชั้นหนี่ง
ณภัทรไขกุญแจห้องเดินเข้าไปข้างใน ผีหนุ่มเดินตามเข้ามาด้วยพยายามทำตัวให้เหมือนที่มนุษย์ทำมากที่สุด ไม่อยากใช้อิทธิฤทธิ์ของการเป็นผี ทำให้ณภัทรรู้สึกว่าเขาผิดแผกเกินคนไปมากกว่านี้
“ตามฉันมาทำไมเนี่ย?” ณภัทรโผงออกไปในที่สุดหลังจากอัดอั้นเอาไว้นาน
“ฉันอยากขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้” ผีหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ณภัทรผงกหัว
“อืม... แค่นี้ใช่ไหม งั้นนายก็ออกไปได้แล้ว” พูดพร้อมปัดมือไล่คู่สนทนาออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวซิคุยกันก่อน ฉันอยากตอบแทนบุญคุณนาย”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องแค่นั้นฉันไม่ถือ จะคิดเสียว่าเป็นเพียงฝันสนุก ๆ นายไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรหรอก”
“ฉันสามารถมองผ่านอดีตของคนที่ฉันสบตาได้ รู้ทุกอย่างทั้งชื่อ การศึกษา นิสัยใจคอ”
ณภัทรแสดงสีหน้าแปลกใจ
“อ๋อ เพราะอย่างนี้ใช่ไหมนายถึงรู้จักฉัน งั้นหมายความว่านายก็รู้ความลับฉันหมดน่ะซิ” ณภัทรเปลี่ยนมาฉายแววตาตระหนกในทันใด
ผีหนุ่มพยักหน้า
“ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก สาบานได้”
“ที่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ หมายความว่านายจะมอบพลังแบบนายให้ฉันรึเปล่า?” ณภัทรนึกสนุก ถ้าเขามีพลังแบบนั้นคงประหลาดพิลึก
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ตอนนี้นายกำลังเดือดร้อนเรื่องค่าเทอมใช่ไหม ก็ให้นายเปิดสำนักหมอดู ให้ฉันมองอดีตคนที่มาดูหมอ แล้วเราก็เอามาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นเรื่องในอนาคตของคน ๆ นั้น นายก็เก็บเงินค่าบูชาครู”
“แบบนั้นก็หมอเดาน่ะซิ”
“หมอดูคู่กับหมอเดา หมอดูจริง ๆ มีไม่มากหรอก ที่เกลื่อน ๆ ตามตลาดนัดฉันว่าพวกเดาส่งเดชทั้งนั้น”
ณภัทรครุ่นคิด ผีหนุ่มเห็นเป็นจังหวะดีจึงรีบตะล่อมให้เขาเห็นคล้อยด้วย
“นายก็รู้ ใคร ๆ ก็ชอบดูดวง ทำอย่างนี้นายจะได้เงินค่าบูชาครูเยอะนะ”
ณภัทรวาดฝัน ถ้าเป็นอย่างที่ผีหนุ่มกล่าวเขาคงมีเงินพอจ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพลาดทุนที่เพิ่งไปขอเมื่อเย็นวันนี้ไปแน่ ๆ ถ้าโชคดีบังเอิญมั่วถูกอาจเหลือเงินใช้จ่ายส่วนตัว โทรศัพท์มือถือจอยักษ์ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่คงได้เป็นเจ้าของไม่ยาก
“ก็ได้ ฉันตกลงตามที่นายบอก แต่ทำแบบนี้นายได้อะไร แค่ต้องการตอบแทนฉันที่ช่วยนายรอดพ้นจากหมอผีเท่านั้นเองเหรอ”
“ก... ก็ใช่นะซิ จะมีอะไรไปมากกว่านั้นเล่า” ผีหนุ่มพูดตะกุกตะกัก เหมือนเขาปิดบังบางอย่างไว้
ณภัทรจ้องหน้าผีหนุ่มอย่างไม่เชื่อโดยสนิทใจ แต่ก็เลิกสนใจประเด็นนี้ในที่สุด
“นายรู้เรื่องฉันเยอะแยะ เล่าเรื่องของนายให้ฉันรู้บ้างสิว่านายเป็นใคร ชื่ออะไร เป็นอะไรถึงตาย”
“อะแฮ่ม” ผีหนุ่มยกหมัดมาจ่อที่ปากพลางกระแอมไอ “ฉันชื่อมาวิน อดีตเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับนาย แต่โชคไม่ดีเรียนไม่จบ ถูกสิบล้อเสยท้ายรถมอเตอร์ไซด์ตายคาที่ไปซะก่อนตอนขึ้นปีสาม”
“โถ... น่าสงสารจัง” แววตาณภัทรสลด
“เอาล่ะ เลิกสนใจเรื่องของฉันได้แล้ว เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ฉันจะให้นายตั้งสำนักหมอดูขึ้นมา เอาที่ที่นายคิดว่าทำเลดีลูกค้าเยอะ เดี๋ยวฉันจะร่างมนต์เชื่อมสายตากับนาย เมื่อไหร่ที่นายตั้งจิตแน่วแน่มองคนที่มาดูดวง ฉันก็จะเห็นเหมือนอย่างที่นายเห็น แต่นายจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่ฉันเห็นนะ จากนั้นฉันก็จะใช้พลังของฉันมองทะลุอดีตแล้วเล่าสิ่งที่ฉันเห็นให้นายฟัง จากนั้นนายก็ทำนายอนาคตของคน ๆ นั้น เอาล่ะให้นายพนมมือ หลับตาทำจิตใจให้สงบเข้าไว้”
ณภัทรยกมือพนมขึ้นกลางอก พยายามทำจิตใจให้ว่าง พิธีเชื่อมสายตาของคนกับผีเริ่มขึ้นแล้ว
เช้านี้ณภัทรโทรฯปลุก “จ้อน” ผู้เป็นเพื่อนสนิทแต่เช้าเพื่อขอความช่วยเหลือให้ไปซื้อของตามที่เขาระบุ จ้อนเป็นลูกเศรษฐีมีรถยนต์ขับ ลำพังมอเตอร์ไซด์ของเขาบรรทุกข้าวของที่ต้องการได้ไม่หมดจึงต้องพึงใบบุญเพื่อน แม้ผู้เป็นเพื่อนจะสงสัยว่าให้ซื้อข้าวของแปลกประหลาดเหล่านี้ไปทำไม แต่ก็ยอมช่วยเหลือโดยดี
ของที่จ้อนขนขึ้นท้ายรถก็มี ผ้าเจ็ดสี เทียนพรรษา ขันเงินใบใหญ่ เบาะรองนั่ง ตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสี ผลิตจากจีนแดงดูไร้ราคาราวกับเศษพลาสติก จ้อนขับรถมาจอดข้างตึกสโมสรนักศึกษาตามที่ณภัทรนัด เป็นเวลาที่ธงชาติไทยถูกเชิญขึ้นยอดเสาพอดี
“ไอ้จ้อน ได้ของมาครบรึเปล่า?” ณภัทรตะโกนทักทันทีที่เจ้าของรถคันงามก้าวเท้าลงจากรถแตะพื้นถนนซีเมนต์ เขาปรี่มาหาทันที
“แกจะเอาของพวกนี้มาทำอะไรวะ จะเอามาทำคอนเซปชวลอาร์ตส่งอาจารย์รึไง?”
“เออน่า... รอดูเดี๋ยวรู้เอง ขอบใจมากนะเพื่อนที่อุตส่าห์เป็นธุระจัดการให้”
“เออ ๆ ไม่เป็นไร คราวหลังก็อย่าโทรฯมาปลุกเช้าแบบวันนี้อีกล่ะ วันนี้มีเรียนบ่ายโมงฉันกะตื่นสักสิบเอ็ดโมง เมื่อคืนเลยเล่นเกมจนถึงตีสี่ เพิ่งได้นอนไปสี่ชั่วโมงอยู่เลย” จ้อนทำหน้าง่วงเหงาหาวนอน
เมื่อณภัทรมายืนเทียบข้าง ๆ จ้อนก็เห็นความแตกต่างของรูปร่างทั้งสองหนุ่มอย่างชัดเจน ณภัทรผู้มีผิวแทนทนแดดสูง ๑๗๕ เซนติเมตรได้ แม้สูงไม่มากนักถ้าเทียบกับดาราหรือนักกีฬา แต่รูปร่างของเขาดูสมส่วน แข้งขายาว ไหล่ผาย ลำตัวเหยียดตรง ศีรษะดูเล็กกว่าคนปกติทั่วไป มองดูเหมือนสูงกว่าความเป็นจริงขึ้นมาอีกสิบเซนติเมตร
ส่วนจ้อนลูกชายเศรษฐีผู้มีผิวละเอียดขาวเนียนเหมือนดาราสาวพรีเซนเตอร์โลชั่นบำรุงผิว ตัวเล็กกะทัดรัดเหมือนรถประหยัดน้ำมันของเขา มีส่วนสูงเพียง ๑๖๕ เซนติเมตร รูปร่างอันผอมบางคล้ายไม่เคยใช้งานกล้ามเนื้อมาก่อน ไหล่แคบไร้สัดส่วนของชายชาตรี ทรงผมที่ไว้ตามตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบยิ่งทำให้ศีรษะของเขาดูกลมและโตกว่าเดิม มองดูเหมือนเตี้ยกว่าความเป็นจริงลงมาอีกสิบเซนติเมตร
ตึกที่ทั้งสองหนุ่มหิ้วข้าวของเข้าไปคือตึกสโมสรนักศึกษา มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นพื้นที่โล่ง มีชุดโต๊ะม้าหินอ่อนหลายชุดสำหรับนั่งทำกิจกรรมปรึกษาหารือ บางคนก็ใช้สถานที่นี้สร้างรายได้พิเศษโดยการติวให้กับเด็กมัธยม ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมพุทธศิลป์ ชมรมถ่ายภาพ ชมรมการแสดง ฯลฯ ยกเว้นพวกชมรมกีฬากับชมรมดนตรีแขนงต่าง ๆ ที่จะมีสถานที่เฉพาะสำหรับฝึกซ้อมของแต่ละชมรมไป
ณภัทรและจ้อนอยู่ชมรมอาสาเพื่อสังคม ห้องชมรมอยู่ชั้นสองด้านในสุดทางเดิน ภายในห้องดูโล่งเนื่องจากชมรมนี้ทำกิจกรรมนอกสถานที่ ห้องชมรมจึงมีไว้เพียงประชุมบางครั้งคราวกับเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นสมบัติของชมรม ณภัทรเห็นสภาพห้องเหมือนเห็นสำนักหมอดูของตนเองอยู่ในหัว ไม่รอช้าเขาเริ่มปรับสภาพห้องทันที
ชั้นไม้วางหนังสือและรูปถ่ายสูงประมาณเอวถูกณภัทรเก็บกวาดจนโล่ง หนังสือถูกนำไปยัดรวมกับเล่มอื่น ๆ ที่ตู้ใหญ่ รูปถ่ายก็เช่นกันถูกนำไปวางไว้บนหลังตู้ใบนั้น ชั้นไม้ถูกแทนที่ด้วยข้าวของที่ณภัทรให้จ้อนไปซื้อ
หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสีจัดวางไว้บนชั้นไม้ ขนาบข้างด้วยตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว นึกเสียว่าหุ่นขบวนการแทนกุมารทอง ตุ๊กตาแมวกวักแทนนางกวักอันล้าสมัย ผ้าเจ็ดสีถูกผูกไว้ที่ขาของชั้นไม้และขันเงินใบใหญ่สำหรับใส่ค่าบูชาครู เบาะนั่งวางไว้ด้านหน้าชั้นวาง เคียงข้างด้วยเทียนพรรษาเล่มใหญ่ ดูแล้วไม่ขลังแต่แปลกแหวกแนวถูกใจวัยรุ่น
“ทำอะไรวะ อย่างกับศาลเจ้างั้นแหละ” จ้อนว่า
“สำนักหมอดูไง มา ๆ แกมาประเดิมหน่อย” ณภัทรลากแขนจ้อนมานั่งหน้าชั้นไม้ แต่ตอนนี้ควรเรียกว่าแท่นสักการบูชามากกว่า ส่วนตัวเขานั่งลงบนเบาะ ประจันหน้ากับจ้อน
“แกดูด้วยเป็นด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”
“ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกัน เอ้า! หย่อนค่าบูชาครูสิ”
จ้อนเลิกคิ้วทำหน้าเหลอหลา ณภัทรไม่ปล่อยให้เพื่อนเรียบเรียงความคิดทำความเข้าใจ โน้มตัวเข้าใกล้หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกงเพื่อน กางกระเป๋าเงินออกดูเห็นธนบัตรพันบาทหลายใบ หยิบออกมาหนึ่งใบหย่อนลงในขัน จ้อนได้สติปรามเพื่อนได้ทัน
“เฮ้ย ๆ เยอะไป” จ้อนคว้ากระเป๋าเงินคืน หยิบธนบัตรพันบาทออกจากขันมาเก็บเข้าที่เดิม แล้วควักธนบัตรยี่สิบบาทหย่อนลงขันแทน “ยี่สิบบาทพอ”
“โห... ไม่สปอร์ตเลยอ่ะเพื่อนฝูง ก็ได้ ๆ เอาล่ะจ้องตาฉันไว้นะ”
ณภัทรนั่งหลังตรง จ้องสายตาแน่วแน่ไปข้างหน้า จ้อนยอมทำตามแต่โดยดี เขาสบสายตาของเพื่อน จู่ ๆ เพลง “ช่างไม่รู้เลย” ก็ดังขึ้นในหัว ไม่นะเราไม่ใช่พวกไม้ป่าเดียวกัน ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกในเชิงชู้สาวกับไอ้พัด
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบ้างอย่างที่มากกว่านั้น
“เอาล่ะ เลิกสบตากันได้แล้วฉันจะอ้วก” มาวินบอกณภัทร เป็นเสียงที่จ้อนหรือคนธรรมดา ๆ ไม่มีทางได้ยิน
ณภัทรเบนสายตาหนี แอบขนลุกให้กับสายตาหยาดเยิ้มของจ้อนอยู่เหมือนกัน บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจ้อนเหมือนทอมบอยมากเหลือเกิน
“โถ... เพื่อนนายน่าสงสารมากเลยณภัทร” มาวินพูดน้ำเสียงแฝงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“เพื่อนนายคนนี้ตอนเด็ก ๆ หัวไม่ค่อยดี อยู่ ป.๖ ยังท่องสูตรคูณไม่ได้จึงถูกพ่อเฆี่ยนตี จนตอนนี้เขายังท่องสูตรคูณได้ไม่ครบสิบเอ็ดแม่เลย ความรุ่นแรงไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ในโลกได้ แถมยังถูกส่งไปฝึกมารยาทในการเข้าสังคมไฮโซ ถูกบังคับให้เล่นกีฬานานาชนิด โดนจับโยนลงสระเพื่อให้ว่ายน้ำเป็น เรียนพิเศษแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เลิกเรียนยันสองทุ่มทุกวัน กว่าพ่อแม่ของเขาจะเห็นแววด้านคอมพิวเตอร์ในตัวลูกชายและสนับสนุนก็ตอนเขาขึ้นชั้น ม.๔ เขาดูอึดอัดกับชีวิตวัยเด็กมาก น่าเห็นใจจริง ๆ
มาวินเล่าเรื่องราวในอดีตของจ้อนที่ตนใช้พลังพิเศษมองเห็นให้ณภัทรฟัง ณภัทรได้ฟังก็รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้ขึ้นมาจับใจ ถ้าการมีเงินมากมายแต่หาความสุขในชีวิตไม่ได้ สู้อยู่อย่างพอกินพอใช้แต่คนในครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบครอบครัวของเขาเสียยังจะดีกว่า
ณภัทรเล่าเรื่องที่ได้ยินจากมาวินให้จ้อนฟัง เหมือนเขาเป็นล่ามข้ามมิติให้คนกับผี จ้อนฟังไปคอก็ค่อย ๆ ตกจนอยู่ในท่าก้มมองพื้นในที่สุด ร่างหดเกร็งลีบเล็กลงกว่าเดิม พอเล่าจบร่ายกายของจ้อนก็สั่นเทิ้มราวจับไข้
“เป็นอะไรไปวะจ้อน?” ณภัทรถามอย่างห่วงใย
จู่ ๆ จ้อนก็โผเข้ามากอดณภัทรแน่นทำตกอกตกใจ แหกปากร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังราวกับเด็กเห็นของเล่นแต่พ่อแม่ไม่ตามใจซื้อให้
“ฮือ ๆ ๆ ไอ้พัดเพื่อนรัก มีแต่แกเท่านั้นแหละที่เข้าใจหัวอกฉัน ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมีแต่เรื่องเจ็บปวดมากมาย แต่วันนี้ฉันผ่านพ้นจุดนั้นมาได้แล้ว ขอบใจแกนะที่จะยืนหยัดเคียงข้างฉันไปจนกว่าเราจะตายจากกัน”
ณภัทรลำบากใจไม่รู้จะช่วยปลอบเพื่อนอย่างไรดี
“เออ ๆ ฉันเข้าใจแก เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป แต่ตอนนี้แกปล่อยฉันก่อนได้ไหม น้ำมูกแกจะเลอะเสื้อฉันเอา”
หลังจากปล่อยให้เพื่อนปรับสภาพอารมณ์ให้จิตใจสงบลงอย่างเดิมก็กินเวลาไปพักใหญ่ เพื่อนรักทั้งสองกลับมาคุยกันเหมือนปกติ
“แกมาตั้งสำนักหมอดูในห้องชมรมอย่างนี้ไม่กลัวแม่ประธานจอบเฮี้ยบไล่ตะเพิดเอาเหรอ” จ้อนถาม
“แม่นั่นจะทำอะไรฉันได้ อย่างน้อยฉันก็เป็นถึงรองประธานชมรมนี้นะ”
คลิก!
ประตูห้องชมรมเปิดออก ร่างอรชรของสตรีสองนางเดินเข้ามาในห้องโล่ง ณภัทรเห็นก็ทำหน้าเหวอ ยังไม่ได้เตรียมแผนรับมือประธานชมรมจอบเฮี้ยบกับคู่หูประจัญบานของเธอเลย
พ่อหมออลเวง ตอนที่๓
ลิงค์ตอนที่๑ http://ppantip.com/topic/30480244
-------------------------------------------------------
ตอนที่๓
ฝนเริ่มอ่อนกำลังลงไปบ้างแล้ว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเขาสูญพลังไปไม่น้อย ตอนนี้กระเพาะของเขาโหยหาอาหารมื้อเย็น โชคดีที่เมื่อกี้ใช้น้ำจิ้มไก่ถ่วงเวลาหมอผีไปไม่มาก ยังหลงเหลือติดก้นขวดพอจิ้มไก่มื้อนี้ได้ ณภัทรเดินกลับห้อง รู้สึกรำคาญผีหนุ่มที่เดินตามขึ้นลิฟต์มาตั้งแต่ชั้นหนี่ง
ณภัทรไขกุญแจห้องเดินเข้าไปข้างใน ผีหนุ่มเดินตามเข้ามาด้วยพยายามทำตัวให้เหมือนที่มนุษย์ทำมากที่สุด ไม่อยากใช้อิทธิฤทธิ์ของการเป็นผี ทำให้ณภัทรรู้สึกว่าเขาผิดแผกเกินคนไปมากกว่านี้
“ตามฉันมาทำไมเนี่ย?” ณภัทรโผงออกไปในที่สุดหลังจากอัดอั้นเอาไว้นาน
“ฉันอยากขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้” ผีหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ณภัทรผงกหัว
“อืม... แค่นี้ใช่ไหม งั้นนายก็ออกไปได้แล้ว” พูดพร้อมปัดมือไล่คู่สนทนาออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวซิคุยกันก่อน ฉันอยากตอบแทนบุญคุณนาย”
“ไม่ต้องหรอก เรื่องแค่นั้นฉันไม่ถือ จะคิดเสียว่าเป็นเพียงฝันสนุก ๆ นายไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรหรอก”
“ฉันสามารถมองผ่านอดีตของคนที่ฉันสบตาได้ รู้ทุกอย่างทั้งชื่อ การศึกษา นิสัยใจคอ”
ณภัทรแสดงสีหน้าแปลกใจ
“อ๋อ เพราะอย่างนี้ใช่ไหมนายถึงรู้จักฉัน งั้นหมายความว่านายก็รู้ความลับฉันหมดน่ะซิ” ณภัทรเปลี่ยนมาฉายแววตาตระหนกในทันใด
ผีหนุ่มพยักหน้า
“ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก สาบานได้”
“ที่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ หมายความว่านายจะมอบพลังแบบนายให้ฉันรึเปล่า?” ณภัทรนึกสนุก ถ้าเขามีพลังแบบนั้นคงประหลาดพิลึก
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ตอนนี้นายกำลังเดือดร้อนเรื่องค่าเทอมใช่ไหม ก็ให้นายเปิดสำนักหมอดู ให้ฉันมองอดีตคนที่มาดูหมอ แล้วเราก็เอามาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นเรื่องในอนาคตของคน ๆ นั้น นายก็เก็บเงินค่าบูชาครู”
“แบบนั้นก็หมอเดาน่ะซิ”
“หมอดูคู่กับหมอเดา หมอดูจริง ๆ มีไม่มากหรอก ที่เกลื่อน ๆ ตามตลาดนัดฉันว่าพวกเดาส่งเดชทั้งนั้น”
ณภัทรครุ่นคิด ผีหนุ่มเห็นเป็นจังหวะดีจึงรีบตะล่อมให้เขาเห็นคล้อยด้วย
“นายก็รู้ ใคร ๆ ก็ชอบดูดวง ทำอย่างนี้นายจะได้เงินค่าบูชาครูเยอะนะ”
ณภัทรวาดฝัน ถ้าเป็นอย่างที่ผีหนุ่มกล่าวเขาคงมีเงินพอจ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพลาดทุนที่เพิ่งไปขอเมื่อเย็นวันนี้ไปแน่ ๆ ถ้าโชคดีบังเอิญมั่วถูกอาจเหลือเงินใช้จ่ายส่วนตัว โทรศัพท์มือถือจอยักษ์ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่คงได้เป็นเจ้าของไม่ยาก
“ก็ได้ ฉันตกลงตามที่นายบอก แต่ทำแบบนี้นายได้อะไร แค่ต้องการตอบแทนฉันที่ช่วยนายรอดพ้นจากหมอผีเท่านั้นเองเหรอ”
“ก... ก็ใช่นะซิ จะมีอะไรไปมากกว่านั้นเล่า” ผีหนุ่มพูดตะกุกตะกัก เหมือนเขาปิดบังบางอย่างไว้
ณภัทรจ้องหน้าผีหนุ่มอย่างไม่เชื่อโดยสนิทใจ แต่ก็เลิกสนใจประเด็นนี้ในที่สุด
“นายรู้เรื่องฉันเยอะแยะ เล่าเรื่องของนายให้ฉันรู้บ้างสิว่านายเป็นใคร ชื่ออะไร เป็นอะไรถึงตาย”
“อะแฮ่ม” ผีหนุ่มยกหมัดมาจ่อที่ปากพลางกระแอมไอ “ฉันชื่อมาวิน อดีตเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับนาย แต่โชคไม่ดีเรียนไม่จบ ถูกสิบล้อเสยท้ายรถมอเตอร์ไซด์ตายคาที่ไปซะก่อนตอนขึ้นปีสาม”
“โถ... น่าสงสารจัง” แววตาณภัทรสลด
“เอาล่ะ เลิกสนใจเรื่องของฉันได้แล้ว เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ฉันจะให้นายตั้งสำนักหมอดูขึ้นมา เอาที่ที่นายคิดว่าทำเลดีลูกค้าเยอะ เดี๋ยวฉันจะร่างมนต์เชื่อมสายตากับนาย เมื่อไหร่ที่นายตั้งจิตแน่วแน่มองคนที่มาดูดวง ฉันก็จะเห็นเหมือนอย่างที่นายเห็น แต่นายจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่ฉันเห็นนะ จากนั้นฉันก็จะใช้พลังของฉันมองทะลุอดีตแล้วเล่าสิ่งที่ฉันเห็นให้นายฟัง จากนั้นนายก็ทำนายอนาคตของคน ๆ นั้น เอาล่ะให้นายพนมมือ หลับตาทำจิตใจให้สงบเข้าไว้”
ณภัทรยกมือพนมขึ้นกลางอก พยายามทำจิตใจให้ว่าง พิธีเชื่อมสายตาของคนกับผีเริ่มขึ้นแล้ว
เช้านี้ณภัทรโทรฯปลุก “จ้อน” ผู้เป็นเพื่อนสนิทแต่เช้าเพื่อขอความช่วยเหลือให้ไปซื้อของตามที่เขาระบุ จ้อนเป็นลูกเศรษฐีมีรถยนต์ขับ ลำพังมอเตอร์ไซด์ของเขาบรรทุกข้าวของที่ต้องการได้ไม่หมดจึงต้องพึงใบบุญเพื่อน แม้ผู้เป็นเพื่อนจะสงสัยว่าให้ซื้อข้าวของแปลกประหลาดเหล่านี้ไปทำไม แต่ก็ยอมช่วยเหลือโดยดี
ของที่จ้อนขนขึ้นท้ายรถก็มี ผ้าเจ็ดสี เทียนพรรษา ขันเงินใบใหญ่ เบาะรองนั่ง ตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสี ผลิตจากจีนแดงดูไร้ราคาราวกับเศษพลาสติก จ้อนขับรถมาจอดข้างตึกสโมสรนักศึกษาตามที่ณภัทรนัด เป็นเวลาที่ธงชาติไทยถูกเชิญขึ้นยอดเสาพอดี
“ไอ้จ้อน ได้ของมาครบรึเปล่า?” ณภัทรตะโกนทักทันทีที่เจ้าของรถคันงามก้าวเท้าลงจากรถแตะพื้นถนนซีเมนต์ เขาปรี่มาหาทันที
“แกจะเอาของพวกนี้มาทำอะไรวะ จะเอามาทำคอนเซปชวลอาร์ตส่งอาจารย์รึไง?”
“เออน่า... รอดูเดี๋ยวรู้เอง ขอบใจมากนะเพื่อนที่อุตส่าห์เป็นธุระจัดการให้”
“เออ ๆ ไม่เป็นไร คราวหลังก็อย่าโทรฯมาปลุกเช้าแบบวันนี้อีกล่ะ วันนี้มีเรียนบ่ายโมงฉันกะตื่นสักสิบเอ็ดโมง เมื่อคืนเลยเล่นเกมจนถึงตีสี่ เพิ่งได้นอนไปสี่ชั่วโมงอยู่เลย” จ้อนทำหน้าง่วงเหงาหาวนอน
เมื่อณภัทรมายืนเทียบข้าง ๆ จ้อนก็เห็นความแตกต่างของรูปร่างทั้งสองหนุ่มอย่างชัดเจน ณภัทรผู้มีผิวแทนทนแดดสูง ๑๗๕ เซนติเมตรได้ แม้สูงไม่มากนักถ้าเทียบกับดาราหรือนักกีฬา แต่รูปร่างของเขาดูสมส่วน แข้งขายาว ไหล่ผาย ลำตัวเหยียดตรง ศีรษะดูเล็กกว่าคนปกติทั่วไป มองดูเหมือนสูงกว่าความเป็นจริงขึ้นมาอีกสิบเซนติเมตร
ส่วนจ้อนลูกชายเศรษฐีผู้มีผิวละเอียดขาวเนียนเหมือนดาราสาวพรีเซนเตอร์โลชั่นบำรุงผิว ตัวเล็กกะทัดรัดเหมือนรถประหยัดน้ำมันของเขา มีส่วนสูงเพียง ๑๖๕ เซนติเมตร รูปร่างอันผอมบางคล้ายไม่เคยใช้งานกล้ามเนื้อมาก่อน ไหล่แคบไร้สัดส่วนของชายชาตรี ทรงผมที่ไว้ตามตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบยิ่งทำให้ศีรษะของเขาดูกลมและโตกว่าเดิม มองดูเหมือนเตี้ยกว่าความเป็นจริงลงมาอีกสิบเซนติเมตร
ตึกที่ทั้งสองหนุ่มหิ้วข้าวของเข้าไปคือตึกสโมสรนักศึกษา มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นพื้นที่โล่ง มีชุดโต๊ะม้าหินอ่อนหลายชุดสำหรับนั่งทำกิจกรรมปรึกษาหารือ บางคนก็ใช้สถานที่นี้สร้างรายได้พิเศษโดยการติวให้กับเด็กมัธยม ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมพุทธศิลป์ ชมรมถ่ายภาพ ชมรมการแสดง ฯลฯ ยกเว้นพวกชมรมกีฬากับชมรมดนตรีแขนงต่าง ๆ ที่จะมีสถานที่เฉพาะสำหรับฝึกซ้อมของแต่ละชมรมไป
ณภัทรและจ้อนอยู่ชมรมอาสาเพื่อสังคม ห้องชมรมอยู่ชั้นสองด้านในสุดทางเดิน ภายในห้องดูโล่งเนื่องจากชมรมนี้ทำกิจกรรมนอกสถานที่ ห้องชมรมจึงมีไว้เพียงประชุมบางครั้งคราวกับเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นสมบัติของชมรม ณภัทรเห็นสภาพห้องเหมือนเห็นสำนักหมอดูของตนเองอยู่ในหัว ไม่รอช้าเขาเริ่มปรับสภาพห้องทันที
ชั้นไม้วางหนังสือและรูปถ่ายสูงประมาณเอวถูกณภัทรเก็บกวาดจนโล่ง หนังสือถูกนำไปยัดรวมกับเล่มอื่น ๆ ที่ตู้ใหญ่ รูปถ่ายก็เช่นกันถูกนำไปวางไว้บนหลังตู้ใบนั้น ชั้นไม้ถูกแทนที่ด้วยข้าวของที่ณภัทรให้จ้อนไปซื้อ
หุ่นขบวนการพิทักษ์โลกห้าตัวห้าสีจัดวางไว้บนชั้นไม้ ขนาบข้างด้วยตุ๊กตาแมวกวักแบบญี่ปุ่นสองตัว นึกเสียว่าหุ่นขบวนการแทนกุมารทอง ตุ๊กตาแมวกวักแทนนางกวักอันล้าสมัย ผ้าเจ็ดสีถูกผูกไว้ที่ขาของชั้นไม้และขันเงินใบใหญ่สำหรับใส่ค่าบูชาครู เบาะนั่งวางไว้ด้านหน้าชั้นวาง เคียงข้างด้วยเทียนพรรษาเล่มใหญ่ ดูแล้วไม่ขลังแต่แปลกแหวกแนวถูกใจวัยรุ่น
“ทำอะไรวะ อย่างกับศาลเจ้างั้นแหละ” จ้อนว่า
“สำนักหมอดูไง มา ๆ แกมาประเดิมหน่อย” ณภัทรลากแขนจ้อนมานั่งหน้าชั้นไม้ แต่ตอนนี้ควรเรียกว่าแท่นสักการบูชามากกว่า ส่วนตัวเขานั่งลงบนเบาะ ประจันหน้ากับจ้อน
“แกดูด้วยเป็นด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”
“ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเองเหมือนกัน เอ้า! หย่อนค่าบูชาครูสิ”
จ้อนเลิกคิ้วทำหน้าเหลอหลา ณภัทรไม่ปล่อยให้เพื่อนเรียบเรียงความคิดทำความเข้าใจ โน้มตัวเข้าใกล้หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกงเพื่อน กางกระเป๋าเงินออกดูเห็นธนบัตรพันบาทหลายใบ หยิบออกมาหนึ่งใบหย่อนลงในขัน จ้อนได้สติปรามเพื่อนได้ทัน
“เฮ้ย ๆ เยอะไป” จ้อนคว้ากระเป๋าเงินคืน หยิบธนบัตรพันบาทออกจากขันมาเก็บเข้าที่เดิม แล้วควักธนบัตรยี่สิบบาทหย่อนลงขันแทน “ยี่สิบบาทพอ”
“โห... ไม่สปอร์ตเลยอ่ะเพื่อนฝูง ก็ได้ ๆ เอาล่ะจ้องตาฉันไว้นะ”
ณภัทรนั่งหลังตรง จ้องสายตาแน่วแน่ไปข้างหน้า จ้อนยอมทำตามแต่โดยดี เขาสบสายตาของเพื่อน จู่ ๆ เพลง “ช่างไม่รู้เลย” ก็ดังขึ้นในหัว ไม่นะเราไม่ใช่พวกไม้ป่าเดียวกัน ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกในเชิงชู้สาวกับไอ้พัด
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบ้างอย่างที่มากกว่านั้น
“เอาล่ะ เลิกสบตากันได้แล้วฉันจะอ้วก” มาวินบอกณภัทร เป็นเสียงที่จ้อนหรือคนธรรมดา ๆ ไม่มีทางได้ยิน
ณภัทรเบนสายตาหนี แอบขนลุกให้กับสายตาหยาดเยิ้มของจ้อนอยู่เหมือนกัน บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าจ้อนเหมือนทอมบอยมากเหลือเกิน
“โถ... เพื่อนนายน่าสงสารมากเลยณภัทร” มาวินพูดน้ำเสียงแฝงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“เพื่อนนายคนนี้ตอนเด็ก ๆ หัวไม่ค่อยดี อยู่ ป.๖ ยังท่องสูตรคูณไม่ได้จึงถูกพ่อเฆี่ยนตี จนตอนนี้เขายังท่องสูตรคูณได้ไม่ครบสิบเอ็ดแม่เลย ความรุ่นแรงไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ในโลกได้ แถมยังถูกส่งไปฝึกมารยาทในการเข้าสังคมไฮโซ ถูกบังคับให้เล่นกีฬานานาชนิด โดนจับโยนลงสระเพื่อให้ว่ายน้ำเป็น เรียนพิเศษแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เลิกเรียนยันสองทุ่มทุกวัน กว่าพ่อแม่ของเขาจะเห็นแววด้านคอมพิวเตอร์ในตัวลูกชายและสนับสนุนก็ตอนเขาขึ้นชั้น ม.๔ เขาดูอึดอัดกับชีวิตวัยเด็กมาก น่าเห็นใจจริง ๆ
มาวินเล่าเรื่องราวในอดีตของจ้อนที่ตนใช้พลังพิเศษมองเห็นให้ณภัทรฟัง ณภัทรได้ฟังก็รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้ขึ้นมาจับใจ ถ้าการมีเงินมากมายแต่หาความสุขในชีวิตไม่ได้ สู้อยู่อย่างพอกินพอใช้แต่คนในครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบครอบครัวของเขาเสียยังจะดีกว่า
ณภัทรเล่าเรื่องที่ได้ยินจากมาวินให้จ้อนฟัง เหมือนเขาเป็นล่ามข้ามมิติให้คนกับผี จ้อนฟังไปคอก็ค่อย ๆ ตกจนอยู่ในท่าก้มมองพื้นในที่สุด ร่างหดเกร็งลีบเล็กลงกว่าเดิม พอเล่าจบร่ายกายของจ้อนก็สั่นเทิ้มราวจับไข้
“เป็นอะไรไปวะจ้อน?” ณภัทรถามอย่างห่วงใย
จู่ ๆ จ้อนก็โผเข้ามากอดณภัทรแน่นทำตกอกตกใจ แหกปากร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังราวกับเด็กเห็นของเล่นแต่พ่อแม่ไม่ตามใจซื้อให้
“ฮือ ๆ ๆ ไอ้พัดเพื่อนรัก มีแต่แกเท่านั้นแหละที่เข้าใจหัวอกฉัน ชีวิตที่ผ่านมาของฉันมีแต่เรื่องเจ็บปวดมากมาย แต่วันนี้ฉันผ่านพ้นจุดนั้นมาได้แล้ว ขอบใจแกนะที่จะยืนหยัดเคียงข้างฉันไปจนกว่าเราจะตายจากกัน”
ณภัทรลำบากใจไม่รู้จะช่วยปลอบเพื่อนอย่างไรดี
“เออ ๆ ฉันเข้าใจแก เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป แต่ตอนนี้แกปล่อยฉันก่อนได้ไหม น้ำมูกแกจะเลอะเสื้อฉันเอา”
หลังจากปล่อยให้เพื่อนปรับสภาพอารมณ์ให้จิตใจสงบลงอย่างเดิมก็กินเวลาไปพักใหญ่ เพื่อนรักทั้งสองกลับมาคุยกันเหมือนปกติ
“แกมาตั้งสำนักหมอดูในห้องชมรมอย่างนี้ไม่กลัวแม่ประธานจอบเฮี้ยบไล่ตะเพิดเอาเหรอ” จ้อนถาม
“แม่นั่นจะทำอะไรฉันได้ อย่างน้อยฉันก็เป็นถึงรองประธานชมรมนี้นะ”
คลิก!
ประตูห้องชมรมเปิดออก ร่างอรชรของสตรีสองนางเดินเข้ามาในห้องโล่ง ณภัทรเห็นก็ทำหน้าเหวอ ยังไม่ได้เตรียมแผนรับมือประธานชมรมจอบเฮี้ยบกับคู่หูประจัญบานของเธอเลย