เครื่องบินของอินเดียที่ถูกยิงตกไม่ใช่ผลงานของ J-10C ทั้งหมด?

เครื่องบินของอินเดียที่ถูกยิงตกไม่ใช่ผลงานของ J-10C ทั้งหมด?
ในตอนนี้ สถานการณ์การปะทะระหว่างอินเดียและปากีสถานเริ่มจะสงบลงแล้ว และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือบทบาทสำคัญของกองทัพอากาศทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแนวโน้มการสู้รบ โดยเฉพาะฝั่งปากีสถานที่นำเครื่องบินขับไล่ Chengdu J-10C จากจีนเข้าประจำการ พร้อมด้วยขีปนาวุธ PL-15 ที่ได้รับเสียงชื่นชมในแง่ของประสิทธิภาพ

แม้จะมีข่าวอ้างอิงจากทั้งสองประเทศเกี่ยวกับการใช้เครื่องบินเหล่านี้ในการปะทะ แต่ข้อมูลจำนวนมากยังคงขัดแย้งกัน และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่ยืนยันถึงผลการใช้ในสนามรบจริง ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอบนโซเชียลมีเดียซึ่งกล่าวถึงการยิงเครื่องบินตกยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ข้อมูลบางส่วนอาจเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร

ในสถานการณ์นี้ เครื่องบิน J-10C ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพของเทคโนโลยีทางทหารจีนที่กำลังขยายอิทธิพล ทั้งในมิติของการรบจริง และภาพลักษณ์ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA)

อย่างไรก็ตาม การชี้วัดประสิทธิภาพของ J-10C ยังจำกัดอยู่ในกรณีเฉพาะ ไม่สามารถสรุปได้ว่าเครื่องบินรุ่นนี้จะได้เปรียบในทุกสถานการณ์ ปัจจัยสำคัญของการรบสมัยใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเครื่องบินเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงระบบฝึก อาวุธ เครือข่ายสื่อสาร สงครามอิเล็กทรอนิกส์ และกลยุทธ์การใช้งานที่ผสมผสานกัน

ในเหตุการณ์ล่าสุด ปากีสถานอ้างว่าสามารถยิงเครื่องบินของอินเดียตกถึง 5 ลำ รวมถึง Rafale อย่างน้อย 3 ลำ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสผ่านทาง CNN ขณะเดียวกัน มีรายงานซากเครื่องบิน J-10C และชิ้นส่วนของ PL-15 ในพื้นที่ของอินเดีย บ่งชี้ถึงการปะทะกันอย่างรุนแรง

แม้จะมีหลักฐานบางส่วนสนับสนุนข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ Bronk ก็เตือนว่าควรระวังการสรุปผลที่รวดเร็วเกินไป ซากขีปนาวุธที่พบอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การยิงจากระยะไกลเกินขอบเขต ไปจนถึงความผิดพลาดทางเทคนิค

ภาพอื่นๆ ยังอาจบ่งชี้ถึงความเสียหายของเครื่องบิน MiG-29 หรือ Su-30 ของอินเดีย แต่ไม่มีข้อยืนยันว่าการสูญเสียเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ J-10C โดยตรง อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนของ PL-15 ที่พบจำนวนมากก็พอจะบอกได้ถึงการมีส่วนร่วมของเครื่องบินจีนในสนามรบ

เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานประกาศว่าจีนรับรู้และพึงพอใจกับผลการใช้ J-10 และ PL-15 ก็ยิ่งตอกย้ำว่าการรบครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับจีนในการประเมินสมรรถนะของยุทโธปกรณ์ตนเองเมื่อเทียบกับของตะวันตก

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญในจีนและไต้หวันบางรายระบุว่า เหตุการณ์นี้อาจทำให้ PLA ต้องปรับการประเมินศักยภาพของตนเองใหม่ บางรายถึงขั้นเชื่อว่า PLA อาจใกล้เคียงหรือก้าวข้ามความสามารถทางอากาศของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกแล้ว

เมื่อย้อนดูเส้นทางพัฒนาของ J-10C จะเห็นว่าจีนเริ่มโครงการนี้ตั้งแต่ยุค 1980 เพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทที่ใช้เครื่องยนต์เดี่ยวมาแทนรุ่นเก่าอย่าง J-7 และ Q-5 โดยอิงแนวคิดบางส่วนจากเครื่องบิน Lavi ของอิสราเอล
แม้จะเจอปัญหาเรื่องเครื่องยนต์และความล่าช้าในการพัฒนา J-10 ก็เริ่มบินครั้งแรกในปี 1998 และเข้าสู่สายการผลิตในช่วงต้นปี 2000 พร้อมพัฒนาเป็นรุ่น J-10A, B และ C ตามลำดับ โดย J-10C ถือเป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด มาพร้อมเรดาร์ AESA ขีปนาวุธ PL-15 และเครื่องยนต์ WS-10 ที่ผลิตเองภายในประเทศ

Bronk มองว่า J-10C มีศักยภาพใกล้เคียงกับ F-16 Block 50 และอาจได้เปรียบกว่าในบางด้าน โดยเฉพาะความสามารถในการยิงจากระยะไกลผ่าน PL-15 ที่มีระบบเรดาร์นำวิถีที่ทันสมัย

ในกรณีของปากีสถาน การใช้ J-10C แทน F-16 ในการปะทะกับอินเดียอาจเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบ เนื่องจากข้อจำกัดทางการเมืองและความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถใช้งาน F-16 ได้อย่างเสรีนัก

มีรายงานว่า PL-15 ถูกใช้ยิงจากระยะไกลถึงกว่า 100 ไมล์ทะเลในการปะทะ แม้จะไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าปากีสถานอาจเลือกใช้ยุทโธปกรณ์จีนเป็นทางเลือกหลักมากขึ้นเรื่อยๆ

Bronk ชี้ว่า PL-15 เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของจีนในด้านขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ เพราะเหนือกว่าอาวุธของรัสเซีย และในบางด้านยังดีกว่าของสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ ถือเป็นผลลัพธ์ของความพยายามจีนที่เปลี่ยนบทบาทจากผู้ลอกเลียนแบบมาเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้าเอง

การบูรณาการของ J-10C กับระบบควบคุมอากาศอย่าง AEW&C ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ แม้จะยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าปากีสถานสามารถใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ได้ครบถ้วนเพียงใด แต่หากทำได้เต็มศักยภาพ จะยิ่งเสริมความสามารถรบทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ

อนาคตของ J-10 อาจไม่ใช่ในกองทัพจีนอีกต่อไป แต่จะอยู่ที่ตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการทางเลือกที่ถูกกว่า F-16 และไม่สามารถพึ่งพารัสเซียได้อีก Bronk มองว่า J-10C มีราคาน่าสนใจและเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อในตลาดโลก

สุดท้ายนี้ บทบาทของ J-10C ในสนามรบจริงกับอินเดียอาจกลายเป็นตัวเร่งให้จีนส่งออกเครื่องบินรุ่นนี้มากขึ้น และเสริมบทบาทของจีนในอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับโลกอย่างแท้จริง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่