เราคืออะไร? ลุงหวีด บัวเผื่อน
ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเรื่องของขันธ์ ๕ ว่าไม่ใช่ตัวของเรา “แล้วเราคืออะไรล่ะ” เมื่อมีคําถามดังนี้ จิตก็เริ่มสงสัยและค้นหา ความจริง ข้าพเจ้ามาค้นหาและค้นคว้าอยู่นานทีเดียว ในที่สุด ก็ได้ถามครูบาอาจารย์ในขณะนั้น อาจารย์ได้ตอบว่า เราคือความ รู้สึกหรือธาตุรู้
ธาตุรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่เราเรียนมาจากหนังสือ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรส ด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึง ไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในสามแดน
โลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็น สิ่งสําคัญที่สุดที่เราจําเป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะ ธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเราจิตที่ขันจากทุกข์
ธาตุรู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคย เห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ํา หนอนไม่เห็นอาจม” เหมือนเราเหยียบแผ่นดินอยู่ทั้งแผ่นดิน แต่กลับไม่เคยเห็นแผ่นดิน อันนี้เลย
นี่คือความหลงอันหาประมาณไม่ได้ เราจึงเกิดมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย จนกระดูกกองทับถมกัน สูงเท่าภูเขาทั้งลูก นี่คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจในขณะนั้น จากนั้นมา ข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป
เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับ มาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียร อย่างยิ่งของข้าพเจ้าทําให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ ได้ครบ ๑๐๐% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ปล่อยธาตุรู้ข้าพเจ้าติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ ท่านได้เทศน์โปรดให้ข้าพเจ้าปล่อยธาตุรู้นี้ “โยมจะจับไว้ทําไมกัน ปล่อยไปเสียนะโยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทําไมกัน”
ข้าพเจ้าก็ตอบอาจารย์ไปว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร”อาจารย์หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
ข้าพเจ้าไม่มีปัญญามากพอที่จะปล่อยธาตุรู้นี้ได้
มันจนปัญญาจริงๆ ทั้งๆ ที่ครูบาอาจารย์ได้ช่วยโปรดข้าพเจ้า อยู่หลายครั้งหลายหนด้วยกับข้าพเจ้าปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะ ปล่อยวางได้อย่างไร ปล่อยก็ตายน่ะสิ” พิจารณาวนเวียนอยู่อย่างนี้หาทางออกไม่ได้เลย
จิตกังวลอยู่กับจิต จะปล่อยก็ปล่อยไม่เป็น จะเอาไว้ก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าเป็นภาระรุงรัง น่ารําคาญมาก ทําไมเรายิ่งปฏิบัติยิ่งเกิดความทุกข์ จะนอนก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลอยู่กับการปล่อยธาตุรู้ พิจารณาวนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง
ข้าพเจ้าไปสํานักที่อาจารย์พักอยู่หลายครั้งทั้งที่ก่อนนี้ ท่านมาโปรดถึงบ้าน (วัดเขากระแจะ) ไม่ต่ํากว่า ๗ ครั้งด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงตามไปที่สํานักของท่านถึง ๓-๔ ครั้งด้วยกัน ในแต่ละครั้งที่ไปกราบท่าน ท่านเทศน์โปรดวันละ เวลา ล้วนแล้วแต่เทศน์เรื่องการปล่อยธาตุรู้นี้ทั้งสิ้น แต่ข้าพเจ้าเอง ไม่มีปัญญาพอก็เลยไม่สามารถปล่อยรู้ได้
ครั้งสุดท้ายไปกราบท่าน เมื่อวันที่ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ท่านได้เทศน์โปรดอยู่ ๓ วัน วันละ ๓ เวลา ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถปล่อยรู้นี้ได้เหมือนครั้งที่ผ่านมา จนวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ เวลา 4 โมงเย็น ซึ่งข้าพเจ้ากําลัง เตรียมตัวกลับบ้าน โดยคิดอย่างน้อยเนื้อต่ําใจว่า ชาตินี้คงไม่มี วาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้
ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะ ที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบ เหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัวให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียว กันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็น ออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคอง ไม่ต้องจับ ไม่ต้องกําหนด ธาตุรู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ
ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสระเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มี ที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือ ธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนาน แสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง นนกลบตัวเ ตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอกความเป็นกลาง
ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึง จิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง จิตที่บริสุทธิ์ จึงเป็นจิตที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เหนือดับ เรียกว่า เป็นวิมุต หมดภาระ หมดสิน การงาน หมดคําพูด จึงหยุด แล้วปล่อยคําว่าหยุดลงเสียด้วย
สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็น โมฆะ” นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิต เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป
ความรู้กับผู้รู้คนละตัวกันนะ รู้หมายถึงจิต แต่ความรู้หมายถึงสิ่งที่เราเรียนมา ถ้าแยกแยะอย่างนี้ได้ก็เป็นอันว่าเข้าใจ คือผู้รู้มีอันเดียวแต่ความรู้นี้มีไม่ประมาณเลยนะ เรียนกันไม่จบ
เราคืออะไร? ลุงหวีด บัวเผื่อน
ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเรื่องของขันธ์ ๕ ว่าไม่ใช่ตัวของเรา “แล้วเราคืออะไรล่ะ” เมื่อมีคําถามดังนี้ จิตก็เริ่มสงสัยและค้นหา ความจริง ข้าพเจ้ามาค้นหาและค้นคว้าอยู่นานทีเดียว ในที่สุด ก็ได้ถามครูบาอาจารย์ในขณะนั้น อาจารย์ได้ตอบว่า เราคือความ รู้สึกหรือธาตุรู้
ธาตุรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่เราเรียนมาจากหนังสือ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรส ด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึง ไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในสามแดน
โลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็น สิ่งสําคัญที่สุดที่เราจําเป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะ ธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเราจิตที่ขันจากทุกข์
ธาตุรู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคย เห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ํา หนอนไม่เห็นอาจม” เหมือนเราเหยียบแผ่นดินอยู่ทั้งแผ่นดิน แต่กลับไม่เคยเห็นแผ่นดิน อันนี้เลย
นี่คือความหลงอันหาประมาณไม่ได้ เราจึงเกิดมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย จนกระดูกกองทับถมกัน สูงเท่าภูเขาทั้งลูก นี่คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจในขณะนั้น จากนั้นมา ข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป
เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับ มาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียร อย่างยิ่งของข้าพเจ้าทําให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ ได้ครบ ๑๐๐% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ปล่อยธาตุรู้ข้าพเจ้าติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ ท่านได้เทศน์โปรดให้ข้าพเจ้าปล่อยธาตุรู้นี้ “โยมจะจับไว้ทําไมกัน ปล่อยไปเสียนะโยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทําไมกัน”
ข้าพเจ้าก็ตอบอาจารย์ไปว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร”อาจารย์หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
ข้าพเจ้าไม่มีปัญญามากพอที่จะปล่อยธาตุรู้นี้ได้
มันจนปัญญาจริงๆ ทั้งๆ ที่ครูบาอาจารย์ได้ช่วยโปรดข้าพเจ้า อยู่หลายครั้งหลายหนด้วยกับข้าพเจ้าปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะ ปล่อยวางได้อย่างไร ปล่อยก็ตายน่ะสิ” พิจารณาวนเวียนอยู่อย่างนี้หาทางออกไม่ได้เลย
จิตกังวลอยู่กับจิต จะปล่อยก็ปล่อยไม่เป็น จะเอาไว้ก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าเป็นภาระรุงรัง น่ารําคาญมาก ทําไมเรายิ่งปฏิบัติยิ่งเกิดความทุกข์ จะนอนก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลอยู่กับการปล่อยธาตุรู้ พิจารณาวนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง
ข้าพเจ้าไปสํานักที่อาจารย์พักอยู่หลายครั้งทั้งที่ก่อนนี้ ท่านมาโปรดถึงบ้าน (วัดเขากระแจะ) ไม่ต่ํากว่า ๗ ครั้งด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงตามไปที่สํานักของท่านถึง ๓-๔ ครั้งด้วยกัน ในแต่ละครั้งที่ไปกราบท่าน ท่านเทศน์โปรดวันละ เวลา ล้วนแล้วแต่เทศน์เรื่องการปล่อยธาตุรู้นี้ทั้งสิ้น แต่ข้าพเจ้าเอง ไม่มีปัญญาพอก็เลยไม่สามารถปล่อยรู้ได้
ครั้งสุดท้ายไปกราบท่าน เมื่อวันที่ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ท่านได้เทศน์โปรดอยู่ ๓ วัน วันละ ๓ เวลา ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถปล่อยรู้นี้ได้เหมือนครั้งที่ผ่านมา จนวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ เวลา 4 โมงเย็น ซึ่งข้าพเจ้ากําลัง เตรียมตัวกลับบ้าน โดยคิดอย่างน้อยเนื้อต่ําใจว่า ชาตินี้คงไม่มี วาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้
ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะ ที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบ เหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัวให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียว กันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็น ออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคอง ไม่ต้องจับ ไม่ต้องกําหนด ธาตุรู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ
ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสระเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มี ที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือ ธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนาน แสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง นนกลบตัวเ ตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอกความเป็นกลาง
ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึง จิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง จิตที่บริสุทธิ์ จึงเป็นจิตที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เหนือดับ เรียกว่า เป็นวิมุต หมดภาระ หมดสิน การงาน หมดคําพูด จึงหยุด แล้วปล่อยคําว่าหยุดลงเสียด้วย
สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็น โมฆะ” นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิต เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป
ความรู้กับผู้รู้คนละตัวกันนะ รู้หมายถึงจิต แต่ความรู้หมายถึงสิ่งที่เราเรียนมา ถ้าแยกแยะอย่างนี้ได้ก็เป็นอันว่าเข้าใจ คือผู้รู้มีอันเดียวแต่ความรู้นี้มีไม่ประมาณเลยนะ เรียนกันไม่จบ