**กระทู้นี้ จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือ มือใหม่ หัดเดินทาง ไม่มีประสบการณ์เลย ให้สามารถเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองได้***
หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาดตกหล่น ฝากมือเก๋ามาช่วยแนะนำด้วยนะครับ คนทำก็มือใหม่เหมือนกัน (ฮ่า)
____________________________________
มือใหม่เที่ยวญี่ปุ่น แบบไม่รู้อะไรเลย ไปได้มั้ย?
____________________________________
ผมเชื่อว่า ทุกสถานที่บนโลกนี้ ไปได้หมด ถ้าเราใจอยากจะไปครับ แต่กับสมัยนี้ ที่ทุกอย่างอยู่บนฝ่ามือเราแล้ว ทำไมเราต้องไปเสี่ยงโชคเอาดาบหน้า และยิ่งกับคนที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า โลกนี้มันกว้างใหญ่เหลือเกิน ฉันกลัว ดังนั้น เราควร เตรียมตัว เตรียมความพร้อม เพื่อจะได้เที่ยวอย่างสนุก และ ปลอดภัยนะครับ
____________________________________
เริ่มทำแผนการเดินทางยังไงดี?
____________________________________
1. เราอยากไปไหน อยากเที่ยวอะไร ผมยกตัวอย่างว่า มีเวลา 5 วันอยากไปโอซาก้าล่ะ รู้แต่ว่า คนไทยชอบไปโอซาก้า
2. หาข้อมูลต่อ ว่าเราอยากไปโอซาก้า จะไปเที่ยวอะไร และทำการ ปักหมุด พิกัด ใน Googlemap ไว้เลย (อันนี้สำคัญมากครับ)
3. เมื่อเห็นสถานที่เที่ยวที่เราปักหมุดแล้ว เราจะสามารถวางแผนได้ว่า จะพักตรงไหน เที่ยวตรงไหนก่อน เพราะจะเห็นภาพรวมของสถานที่ทั้งหมด
4. นำมาวางแผนการจองโรงแรม และการเดินทางต่อไป
___________________________________
การปักหมุด ทำยังไง?
___________________________________
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเราจะปักหมุดพิกัดเที่ยวยังไงบน Google map ผมทำรายละเอียดมาให้ดูนะครับ สมมติว่า อยากจะไปป้าย Glico ที่โดทงบุริ
ก็ค้นหาที่ช่อง จะขึ้นหน้าตาแบบนี้มาครับ ให้เรากดที่ Save ด้านซ้ายมือครับ
จะขึ้นเมนู New List ให้เราตั้งชื่อได้ตามใจเลย ในตัวอย่าง ผมทำเป็น Osaka Trip เราก็จะได้ List ท่องเที่ยวมาแล้วครับ อยากไปไหน ปักให้หมดเลยครับ ปักไปก่อน
สังเกตว่า ที่ที่เราจะไป จะมีไอคอนสีฟ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาครับ เป็นอันเรียบร้อย เซฟแล้ว
หลังจากที่เราปักหลายๆ ที่ เวลาเปิดมาดู ก็จะขึ้นจุดที่เราจะไป ตามภาพ ทีนี้เราก็จะพอเห็นภาพแล้วว่า เราจะเที่ยวโซนไหนก่อนหลัง พักแถวไหนดีที่ใกล้ที่เที่ยว ประมาณนี้ครับ หลักการเบื้องต้น
______________________________
ขึ้นรถไฟ ดู Google Map ยากมั้ย?
______________________________
ผมจะไม่บอกว่า "มันง่าย" เพราะมือใหม่ก็ต้องกังวลเป็นธรรมดาครับ แต่มันไม่ได้ยาก ถ้าเราเตรียมตัวหาข้อมุลไปก่อน มาลองดูกันสักตัวอย่างครับ
เอาแบบ ไปด้วยการเดินทางหลายๆ แบบในตัวอย่างเดียวเลยแล้วกันนะครับ จะได้เห็นภาพ
สมมติจะไปเที่ยว STI Gallery เหมือนที่ผมเคยรีวิวไว้ในกระทู้นี้ >>>
เที่ยว STI GALLERY
เราแค่ใส่ สถานที่ตั้งต้น และ สถานที่ปลายทาง ตามนี้ (ใช้แบบมือถือนะครับ ตามภาพตัวอย่าง)
ผมจะไปจาก โรงแรม Tosei Ueno ก็ใส่ไว้ที่ ช่องด้านบน ต้นทาง
และใส่ STI Gallery ที่ช่องด้านล่าง ปลายทาง
กดที่รูป รถไฟ เพื่อแสดงเส้นทางที่เดินทางด้วยรถสาธารณะ
โอ้โห ตาลายแล้ว ขึ้นสายรถไฟมาให้เยอะมากๆ เลยใช่มั้ยครับ ดูไม่ถูกเลย เดี๋ยวเรามาวิเคราะห์กัน ดูตามตัวเลขนะครับ เดี่ยวผมอธิบายทีละข้อ
จุดที่ 1 : เป็นออพชั่นที่ให้เราเลือกก่อนเราเดินทางครับ โดยจะมีหลายออพชั่นเลย แต่เราจะเน้นที่ฟังก์ชั่นที่ใช้บ่อยๆ ครับ
LEAVE : คือ ตั้งเวลา ที่จะออกเดินทาง ฟังก์ชั่นนี้ จะทำให้เราทราบได้ว่า เวลาที่เราจะออก ใช้เวลาการเดินทางประมาณเท่าไหร่ หรือ จะติดอุปสรรคอะไรมั้ย เช่น คนหนาแน่น รถติด รถเยอะ รวมถึง เที่ยวรถไฟด้วยครับ
ตัวอย่างสถานการณ์ : ถ้าเราต้องการดูว่า ถ้าออกจากโรงแรม 10 โมง เราจะมีรอบรถไฟกี่โมง เราก็เลือก Leave เป็น 10:00 น. เค้าก็จะโชว์รอบรถไฟหลังจาก 10:00 น. ให้เราดูครับ เราจะได้กะถูกว่า อ่อ รถไฟมี 10:15 เราเดินไปสถานที 5 นาที น่าจะทัน ประมาณนี้ครับ ฟังก์ชั่นนี้เหมาะกับรถไฟที่รอบน้อย หรือ มีรอบออกแน่นอน เราจะได้กะเวลาเดินทางได้ไม่พลาดครับ
ARRIVE : คือ ตั้งเวลา ที่เราอยากจะไปถึง อันนี้จริงๆ ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ถ้าวางแผนล่วงหน้า ใช้ Leave ก็เหมือนกันครับ
ในจุดที่ 1 นี้ยังมีอีกออพชั่นให้เราเลือก ในตัวอย่างจะขึ้นคำว่า Train หมายถึง การเดินทางที่เราชื่นชอบครับ จะมี Bus บ้าง ในตัวเลือก ใส่ก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ครับ
ส่วน Filter ออพชั่นสุดท้าย จะมีตัวเลือกพิเศษให้เรา ในการกรองตัวเลือกครับ
- Best Route เส้นทางเดินทางที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
- Fewest Transfer เน้นต่อรถน้อยๆ นั่งอ้อมนั่งแพงไม่เป็นไร ขี้เกียจเปลี่ยนขบวนบ่อยๆ
- Lease Walking เน้นเดินน้อย สำหรับคนขี้เกียจเดิน 555
- Wheelchair Accessible คือ รูทที่มีบริการสำหรับรถวีลแชร์ เช่น ลิฟต์ หรือ ทางขึ้นพิเศษครับ
- อันสุดท้าย Lowest Cost ถูกที่สุด หวานเย็นเลยนะอันนี้ จะตัดพวกรถด่วนออกเลย
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 2 จะมีไอคอนต่างๆ มากมาย เรามาดูกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง เค้าจะเรียงลำดับการเดินทางให้เราเลย
- ไอคอนรูปคน พร้อมตัวเลข หมายถึง ต้องเดินครับ และเดินกี่นาที
- กรอบสี่เหลี่ยม ที่มีตัวหนังสือ (ในตัวอย่างคือ JY) เป็นสายของรถไฟที่เราจะต้องไปขึ้นครับ เวลาไปถึงสถานี ให้มองป้ายสีตามที่แสดงในแมปได้เลยครับ เช่น รูทแรก สาย JY สีเขียว Yamanote Line ก็มองเส้นสีเขียวเอาไว้ครับ หาง่าย ไม่ต้องอ่านป้ายให้ปวดหัว แล้วต้องไปต่อสายสีแดง Chuo Line ก็ตามสเต็ปไป เดี๋ยวลงรายละเอียดอีกทีครับ
- ไอคอนรถบัส อันนี้ถ้าต้องต่อรถบัส จะมีขึ้นมาครับ กรอบที่ติดกับรูปรถบัส คือ สายที่เราต้องขึ้น ในรูทแรก มีให้เลือกสองสาย คือ 01 กับ 91 ครับ
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 3 จะเขียน IC และ ราคาเป็น Yen หมายถึง ค่าโดยสารทั้งหมด หากใช้ IC card นะครับ ซึ่งคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมือง ควรมี IC Card ติดตัวไว้ครับ จะสะดวกมาก เช่น SUICA ICCOCA PASMO ใช้ได้หมดเลยครับ
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 4 เป็นข้อความสั้นๆ บอกให้เรารู้ว่า เราต้องไปตั้งต้น ที่สถานีรถไฟไหนครับ ส่วนตัวหนังสือ On time สีเขียว คือ รถจะมาแล้ว มาตรงเวลา ไม่มีปัญหา ถ้า Delay ก็จะขึ้นแสดงเช่นกันครับ รูทไหนขึ้น Delay ก็ย้ายไปรูทอื่นแทนครับ
_________________________________________________________________________________
เดี๋ยวมาต่อ พาร์ท 2 ในโพสต์ถัดไปครับ
มือใหม่หัดไปญี่ปุ่นห้ามพลาด!!! ขึ้นรถไฟ ดู Google Map วางแผนเที่ยวยังไง มาเรียนรู้กันครับ
หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาดตกหล่น ฝากมือเก๋ามาช่วยแนะนำด้วยนะครับ คนทำก็มือใหม่เหมือนกัน (ฮ่า)
____________________________________
มือใหม่เที่ยวญี่ปุ่น แบบไม่รู้อะไรเลย ไปได้มั้ย?
____________________________________
ผมเชื่อว่า ทุกสถานที่บนโลกนี้ ไปได้หมด ถ้าเราใจอยากจะไปครับ แต่กับสมัยนี้ ที่ทุกอย่างอยู่บนฝ่ามือเราแล้ว ทำไมเราต้องไปเสี่ยงโชคเอาดาบหน้า และยิ่งกับคนที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า โลกนี้มันกว้างใหญ่เหลือเกิน ฉันกลัว ดังนั้น เราควร เตรียมตัว เตรียมความพร้อม เพื่อจะได้เที่ยวอย่างสนุก และ ปลอดภัยนะครับ
____________________________________
เริ่มทำแผนการเดินทางยังไงดี?
____________________________________
1. เราอยากไปไหน อยากเที่ยวอะไร ผมยกตัวอย่างว่า มีเวลา 5 วันอยากไปโอซาก้าล่ะ รู้แต่ว่า คนไทยชอบไปโอซาก้า
2. หาข้อมูลต่อ ว่าเราอยากไปโอซาก้า จะไปเที่ยวอะไร และทำการ ปักหมุด พิกัด ใน Googlemap ไว้เลย (อันนี้สำคัญมากครับ)
3. เมื่อเห็นสถานที่เที่ยวที่เราปักหมุดแล้ว เราจะสามารถวางแผนได้ว่า จะพักตรงไหน เที่ยวตรงไหนก่อน เพราะจะเห็นภาพรวมของสถานที่ทั้งหมด
4. นำมาวางแผนการจองโรงแรม และการเดินทางต่อไป
___________________________________
การปักหมุด ทำยังไง?
___________________________________
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเราจะปักหมุดพิกัดเที่ยวยังไงบน Google map ผมทำรายละเอียดมาให้ดูนะครับ สมมติว่า อยากจะไปป้าย Glico ที่โดทงบุริ
ก็ค้นหาที่ช่อง จะขึ้นหน้าตาแบบนี้มาครับ ให้เรากดที่ Save ด้านซ้ายมือครับ
จะขึ้นเมนู New List ให้เราตั้งชื่อได้ตามใจเลย ในตัวอย่าง ผมทำเป็น Osaka Trip เราก็จะได้ List ท่องเที่ยวมาแล้วครับ อยากไปไหน ปักให้หมดเลยครับ ปักไปก่อน
สังเกตว่า ที่ที่เราจะไป จะมีไอคอนสีฟ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาครับ เป็นอันเรียบร้อย เซฟแล้ว
หลังจากที่เราปักหลายๆ ที่ เวลาเปิดมาดู ก็จะขึ้นจุดที่เราจะไป ตามภาพ ทีนี้เราก็จะพอเห็นภาพแล้วว่า เราจะเที่ยวโซนไหนก่อนหลัง พักแถวไหนดีที่ใกล้ที่เที่ยว ประมาณนี้ครับ หลักการเบื้องต้น
______________________________
ขึ้นรถไฟ ดู Google Map ยากมั้ย?
______________________________
ผมจะไม่บอกว่า "มันง่าย" เพราะมือใหม่ก็ต้องกังวลเป็นธรรมดาครับ แต่มันไม่ได้ยาก ถ้าเราเตรียมตัวหาข้อมุลไปก่อน มาลองดูกันสักตัวอย่างครับ
เอาแบบ ไปด้วยการเดินทางหลายๆ แบบในตัวอย่างเดียวเลยแล้วกันนะครับ จะได้เห็นภาพ
สมมติจะไปเที่ยว STI Gallery เหมือนที่ผมเคยรีวิวไว้ในกระทู้นี้ >>> เที่ยว STI GALLERY
เราแค่ใส่ สถานที่ตั้งต้น และ สถานที่ปลายทาง ตามนี้ (ใช้แบบมือถือนะครับ ตามภาพตัวอย่าง)
ผมจะไปจาก โรงแรม Tosei Ueno ก็ใส่ไว้ที่ ช่องด้านบน ต้นทาง
และใส่ STI Gallery ที่ช่องด้านล่าง ปลายทาง
กดที่รูป รถไฟ เพื่อแสดงเส้นทางที่เดินทางด้วยรถสาธารณะ
โอ้โห ตาลายแล้ว ขึ้นสายรถไฟมาให้เยอะมากๆ เลยใช่มั้ยครับ ดูไม่ถูกเลย เดี๋ยวเรามาวิเคราะห์กัน ดูตามตัวเลขนะครับ เดี่ยวผมอธิบายทีละข้อ
จุดที่ 1 : เป็นออพชั่นที่ให้เราเลือกก่อนเราเดินทางครับ โดยจะมีหลายออพชั่นเลย แต่เราจะเน้นที่ฟังก์ชั่นที่ใช้บ่อยๆ ครับ
LEAVE : คือ ตั้งเวลา ที่จะออกเดินทาง ฟังก์ชั่นนี้ จะทำให้เราทราบได้ว่า เวลาที่เราจะออก ใช้เวลาการเดินทางประมาณเท่าไหร่ หรือ จะติดอุปสรรคอะไรมั้ย เช่น คนหนาแน่น รถติด รถเยอะ รวมถึง เที่ยวรถไฟด้วยครับ
ตัวอย่างสถานการณ์ : ถ้าเราต้องการดูว่า ถ้าออกจากโรงแรม 10 โมง เราจะมีรอบรถไฟกี่โมง เราก็เลือก Leave เป็น 10:00 น. เค้าก็จะโชว์รอบรถไฟหลังจาก 10:00 น. ให้เราดูครับ เราจะได้กะถูกว่า อ่อ รถไฟมี 10:15 เราเดินไปสถานที 5 นาที น่าจะทัน ประมาณนี้ครับ ฟังก์ชั่นนี้เหมาะกับรถไฟที่รอบน้อย หรือ มีรอบออกแน่นอน เราจะได้กะเวลาเดินทางได้ไม่พลาดครับ
ARRIVE : คือ ตั้งเวลา ที่เราอยากจะไปถึง อันนี้จริงๆ ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ถ้าวางแผนล่วงหน้า ใช้ Leave ก็เหมือนกันครับ
ในจุดที่ 1 นี้ยังมีอีกออพชั่นให้เราเลือก ในตัวอย่างจะขึ้นคำว่า Train หมายถึง การเดินทางที่เราชื่นชอบครับ จะมี Bus บ้าง ในตัวเลือก ใส่ก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ครับ
ส่วน Filter ออพชั่นสุดท้าย จะมีตัวเลือกพิเศษให้เรา ในการกรองตัวเลือกครับ
- Best Route เส้นทางเดินทางที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
- Fewest Transfer เน้นต่อรถน้อยๆ นั่งอ้อมนั่งแพงไม่เป็นไร ขี้เกียจเปลี่ยนขบวนบ่อยๆ
- Lease Walking เน้นเดินน้อย สำหรับคนขี้เกียจเดิน 555
- Wheelchair Accessible คือ รูทที่มีบริการสำหรับรถวีลแชร์ เช่น ลิฟต์ หรือ ทางขึ้นพิเศษครับ
- อันสุดท้าย Lowest Cost ถูกที่สุด หวานเย็นเลยนะอันนี้ จะตัดพวกรถด่วนออกเลย
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 2 จะมีไอคอนต่างๆ มากมาย เรามาดูกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง เค้าจะเรียงลำดับการเดินทางให้เราเลย
- ไอคอนรูปคน พร้อมตัวเลข หมายถึง ต้องเดินครับ และเดินกี่นาที
- กรอบสี่เหลี่ยม ที่มีตัวหนังสือ (ในตัวอย่างคือ JY) เป็นสายของรถไฟที่เราจะต้องไปขึ้นครับ เวลาไปถึงสถานี ให้มองป้ายสีตามที่แสดงในแมปได้เลยครับ เช่น รูทแรก สาย JY สีเขียว Yamanote Line ก็มองเส้นสีเขียวเอาไว้ครับ หาง่าย ไม่ต้องอ่านป้ายให้ปวดหัว แล้วต้องไปต่อสายสีแดง Chuo Line ก็ตามสเต็ปไป เดี๋ยวลงรายละเอียดอีกทีครับ
- ไอคอนรถบัส อันนี้ถ้าต้องต่อรถบัส จะมีขึ้นมาครับ กรอบที่ติดกับรูปรถบัส คือ สายที่เราต้องขึ้น ในรูทแรก มีให้เลือกสองสาย คือ 01 กับ 91 ครับ
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 3 จะเขียน IC และ ราคาเป็น Yen หมายถึง ค่าโดยสารทั้งหมด หากใช้ IC card นะครับ ซึ่งคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมือง ควรมี IC Card ติดตัวไว้ครับ จะสะดวกมาก เช่น SUICA ICCOCA PASMO ใช้ได้หมดเลยครับ
_________________________________________________________________________________
จุดที่ 4 เป็นข้อความสั้นๆ บอกให้เรารู้ว่า เราต้องไปตั้งต้น ที่สถานีรถไฟไหนครับ ส่วนตัวหนังสือ On time สีเขียว คือ รถจะมาแล้ว มาตรงเวลา ไม่มีปัญหา ถ้า Delay ก็จะขึ้นแสดงเช่นกันครับ รูทไหนขึ้น Delay ก็ย้ายไปรูทอื่นแทนครับ
_________________________________________________________________________________
เดี๋ยวมาต่อ พาร์ท 2 ในโพสต์ถัดไปครับ