🌟 รีวิวอัลบั้ม JIN "ECHO" | CLASH Magazine ให้คะแนน 80/100 🎉 Rolling Stone ให้คะแนน 70/100




หกเดือนหลังจากอัลบั้มเดี่ยวสุดอบอุ่นอย่าง 'Happy'  จินแห่งวง BTS  กลับมาอีกครั้งด้วย 'Echo' อัลบั้มที่ไม่เพียงสะท้อนถึงสิ่งที่เขาผ่านมาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงสิ่งที่เขากำลังมุ่งไปอีกด้วย หาก 'Happy' เป็นของขวัญสำหรับแฟน ๆ 'Echo' ก็เหมือนกับจินที่หันเรื่องราวกลับเข้ามาสู่ตัวเองและมองดูตัวเองอย่างถี่ถ้วน

จินซึ่งโด่งดังจากการแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ถือเป็นตัวแทนศิลปินคนสำคัญของ BTS  มานานแล้วและในจุดนี้ เขาได้นำความแข็งแกร่งนั้นมาใช้ แต่ถ่ายทอดออกมาเป็นโทนเพลงร็อก

'Echo' ถูกสร้างขึ้นโดยมีเครื่องดนตรีของวงเป็นแกนหลัก ซึ่งประกอบด้วยดนตรีบริทร็อกแบบออเคสตรา ป็อปพังก์แนวสั่น ๆ คันทรีอันชวนฝัน และบัลลาดอัลเทเนอทีฟ ซึ่งทั้งหมดถูกผูกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

เพลงหลักอย่าง 'Don't Say You Love Me' เป็นเพลงที่นุ่มนวลและยังไม่คลี่คลายอารมณ์ ด้วยโครงสร้างที่ผ่อนคลายและทำนองที่เบาสบาย ทำให้เพลงนี้วนเวียนอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางจบลงได้อย่างสมบูรณ์ จินร้องเพลงอย่างใจเย็นและสอดคล้องกับธีมเพลงโดยยับยั้งชั่งใจมากกว่าจะล้นออกมา ความเรียบง่ายช่วยเสริมให้เพลงนี้ดูดีขึ้น แม้ว่าจะเสี่ยงที่จะจางหายไปเป็นเพลงป๊อปแบบซ้ำซากหากไม่มีอารมณ์ความรู้สึกในการเรียบเรียงประโยคของเขา ซึ่งเปลี่ยนเพลงให้ดีขึ้น    มิวสิควิดีโอซึ่งมีนักแสดงสาวชินเซคยอง ร่วมแสดง และถ่ายทำในสิงคโปร์นั้นขยายขอบเขตของอารมณ์ : คู่รักที่กลับมาคืนดีกันหลังจากเลิกรากันท่ามกลางภาพลักษณ์ที่สวยงาม

'Nothing Without Your Love' อาจเป็นเพลงที่แข็งแกร่งที่สุดในอัลบั้มนี้ สร้างขึ้นจากเครื่องสายออเคสตราที่กว้างไกลและยึดด้วยกระแสเบสของดนตรีร็อกอังกฤษที่มั่นคง ทำให้เพลงนี้ให้ความรู้สึกทั้งกว้างไกลและมีความกระชับ การเรียบเรียงค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ทำให้เสียงของจินค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปอย่างยับยั้งชั่งใจมากกว่าจะฝืน การแสดงของเขาในเพลงนี้ให้ความรู้สึกมีเจตนา มั่นใจมากขึ้น และแสดงออกทางอารมณ์โดยไม่กลายเป็นดราม่า เพลงนี้ยังมีน้ำหนักแบบภาพยนตร์อีกด้วย

'Loser (feat. YENA)' นำเสนอเพลงแนวป็อปพังก์ที่สนุกสนาน ด้วยเสียงกีตาร์ที่เร้าใจ เสียงร้องที่เร็ว และพลังการโต้ตอบที่แสนซน ทำให้เพลงนี้ดูเข้ากับฉากในภาคต่อของ Camp Rock ได้เป็นอย่างดี Jin และ YENA ต่างก็แสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างดราม่า โดยสลับท่อนร้องกันในเพลงที่ทั้งแสบซ่า ไพเราะ และไม่ได้จริงจังกับตัวเองมากเกินไป

'Rope It' เปลี่ยนเป็นแนวคันทรีร็อคด้วยโทนที่เบากว่าและถ่ายทอดออกมาได้สบาย ๆ มากขึ้น เพลงนี้สร้างขึ้นจากจังหวะตรงไปตรงมาและการดีดกีตาร์ที่ใสสะอาด โดยเน้นที่ความเรียบง่ายมากกว่าความลึกซึ้ง เนื้อเพลงเล่นกับแนวคิดที่ว่าเมื่อใดควรยึดไว้และเมื่อใดควรปล่อยไป ทำให้เกิดอารมณ์ขันเล็กน้อยโดยไม่กดดันมากเกินไป เสียงร้องของจินนั้นเข้ากับสไตล์นี้ได้ดีพอสมควร จึงถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในอัลบั้มนี้

'With the Clouds' ให้ความรู้สึกเหมือนเพลงประกอบภาพยนตร์แนวโรแมนติก อ่อนโยน ชวนฝัน และเต็มไปด้วยความรู้สึกสงบนิ่งและมองโลกในแง่ดี การเรียบเรียงยังคงเป็นไปอย่างสบาย ๆ ตลอดเวลา โดยมีเครื่องดนตรีที่นุ่มนวลและจังหวะที่สม่ำเสมอและล่องลอย ช่วยให้ความรู้สึกนั้นนิ่งสงบ เนื้อเพลงสื่อถึงความสบายใจและความเป็นเพื่อน โดยมีน้ำเสียงที่เน้นไปที่การสร้างความมั่นใจมากกว่าความปรารถนา เมื่อใกล้จะจบเพลง กีตาร์ก็ก้าวไปข้างหน้า เพิ่มส่วนที่หนักแน่นขึ้น ทำให้เพลงนี้มีจังหวะที่เร้าใจขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ทำลายความสงบของเพลง

'Background' เป็นเพลงที่มีเนื้อหาหนักแน่นขึ้น เป็นเพลงบัลลาดที่มีน้ำเสียงที่ทุ้มกว่าที่เราเคยได้ยินจากจินมาก่อน แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเทคนิคอย่างชัดเจน เนื้อเพลงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในอดีตด้วยความจริงใจที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในอัลบั้มนี้ด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอและโครงสร้างที่ชัดเจน

'To Me, Today' ปิดอัลบั้มด้วยการสร้างจังหวะจากเพลงที่สะท้อนความคิดไปสู่เพลงที่มีพลัง ครึ่งแรกเป็นเพลงบัลลาดที่นุ่มนวล มีเครื่องดนตรีเบา ๆ และเสียงร้องที่ยับยั้งชั่งใจซึ่งให้ความรู้สึกครุ่นคิดแต่ไม่หนักหน่วง ครึ่งเพลงนั้น อารมณ์เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับเพลงก่อนหน้าบางเพลง จังหวะเริ่มเร็วขึ้น กีตาร์ดังขึ้น และเพลงมีจังหวะมากขึ้น เมื่อฟังจบอัลบั้ม เพลงนี้จะพาอัลบั้มกลับมาสมบูรณ์แบบด้วยความรู้สึกที่เงียบและชัดเจน

8/10



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่