สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าผมเป็นมือใหม่มากกับการแชร์เรื่องราวลงบนโลกอินเตอร์เน็ตครับ ส่วนประเด็นที่ตั้งชื่อไว้ว่าผ่าตัดหมอนรองกระดูก ก็เพื่อให้ทุกคนเข้าใจง่ายๆที่สุดครับ พ่อผมเป็นโรคช่องกระดูกสันหลังแคบกดทับเส้นประสาทครับ (จากใบรับรองแพทย์ที่ได้มา หมอวินิจฉัยตามนี้ครับ ) ผมคิดเอาเองว่าน่าจะเข้าข่ายในโรคแนวๆนี้ครับ ที่มักจะมีอาการชาเวลาเดิน และร้าวขึ้นบริเวณสะโพก และบางคนก็มีอาการปวดด้วย หรือถ้ามีท่านใดที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถมาให้ความรู้เพิ่มเติมได้เลยครับ อีกอย่างที่อยากบอกทุกคน ผมไม่ได้มีเจตนาชี้นำว่า โรงพยาบาลไหนดีหรือไม่ดี แค่อยากจะมาแชร์ทุกคน เผื่ออาจจะช่วยเป็นทางเลือกในการพาครอบครัวไปรักษาครับ
เกริ่นนานมาก... โอเค เริ่มเข้าเรื่องครับ ช่วงราวๆปีพ.ศ. 2562 พ่อผมเริ่มมีอาการสูญเสียการทรงตัว และเริ่มล้มเป็นบางครั้งระหว่างเดิน เพราะเขาบอกว่าเหมือนก้าวไปในสุญญากาศ ผมก็เริ่มแปลกใจ ทั้งที่พ่อผมก็สุขภาพแข็งแรงดี แต่หลังจากนั้น 1-2 ปี ต่อมา พ่อผมเริ่มเข้าใจอาการตัวเองชัดขึ้น และรู้สึกว่าบริเวณฝ่าเท้าของตัวเองมีอาการชา เวลาที่เดินจะเหมือนชาตลอดเวลา และเหมือนเท้ามันหนาๆเหมือนส้นตึก แต่ด้วยความที่พ่อผม เขาก็ค่อนข้าง survivor เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ปลูกต้นไม้ ยกกระถางอะไรไป 55 จนอาการมันเริ่มแย่ลง ผ่านมาถึงช่วงปีพ.ศ. 2565 ผมเลยพาพ่อไปตรวจที่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ลืมบอกไปว่าพ่อผมอาศัยอยู่จังหวัดนี้ครับ ส่วนผมทำงานอยู่ที่ กทม. ( หลังจากนี้ขอเรียกชื่อย่อ โรงพยาบาลว่า มทส. นะครับ )
หลังจากลงทะเบียนอะไรเรียบร้อย ผมก็พาพ่อไปแผนก ออร์โธปิดิกส์ และได้เจอกับคุณหมอณัฐิกา ( ( ขออนุญาตเอ่ยชื่อคุณหมอนะครับ *** ผมไม่แน่ใจชื่อหมอนะครับ แต่ตอนนี้คุณหมอได้ย้ายโรงพยาบาลไปแล้วครับ ยังไงต้องขออภัยด้วยครับ ) เบื้องต้นคุณหมอลองสอบถามอาการ และลองให้ขยับนิ้วเท้า แต่พ่อผมก็ทำไม่ค่อยถนัดและนิ้วเท้าค่อนข้างอ่อนแรง คุณหมอจึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูก คุณหมอเลยนัดพ่อมาอีกรอบเพื่อตรวจเลือด และทำ MRI สแกนภายในว่าถูกต้องหรือไม่
มาถึงวันที่ฟังผล ก็โป๊ะเชะ เป็นไปตามคาดครับ คือเป็นโรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกจริงๆ ( แต่ผมจำดีเทลที่หมอพูดเป๊ะๆไม่ได้นะครับ ) ที่พ่อผมมีอาการเท้าชา เพราะบริเวณกระดูกสันหลัง มีผังผืด และเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ปกติ ในอนาคตอาจมีอาการปวดมากขึ้น และอาจส่งผลต่อการอั้นฉี่และการถ่ายหนัก คุณหมอบอกว่าหนทางสุดท้ายคือการผ่าตัด และการผ่าตัดก็ไม่สามารถการันตีได้ว่า อาการชาจะหายไป แต่การผ่าตัดจะทำให้เลือดกลับหมาหมุนเวียนปกติและจะไม่ทำให้อาการมันแย่ไปกว่านี้ แต่เนื่องจากพ่อผมยังพอเดินทรงตัวได้ คุณหมอเลยสั่งจ่ายยาให้พ่อผมไปลองกิน เพื่อบำรุงปลายประสาท ( เป็นยานอกบัญชี ที่ต้องเสียเงินเองครับ ) และแก้ปวดครับ
หลายเดือนผ่านไป อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และพ่อผมก็ไม่อยากผ่าตัด เลยใช้ชีวิตปล่อยจอยไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผมก็บกพร่องในหน้าที่ด้วย ไม่ได้ตามอาการ และมัวทำแต่งาน รวมถึงคิดเอาเองว่า พ่อน่าจะพอไหว เพราะมีหลายคนที่เป็นโรคนี้ในลักษณะคล้ายกัน ก็ยังคงใช้ชีวิตได้ และมีแนวทางการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่นกายภาพเบื้องต้น และกินยา อะไรประมาณนี้ครับ
จนมาถึงปีนี้ครับ พ.ศ. 2568 ผ่านมา 3 ปี พ่อผมเริ่มทรมานมากขึ้น เดินได้ไม่นานมาก ก็ต้องหยุดพัก เพราะเริ่มร้าวขึ้นสะโพก และมีอาการปวด ผมเลยพาพ่อมารักษาอีกครั้ง แต่เปลี่ยนโรงพยาบาลนะครับ มาที่โรงพยาบาลมหาราช นคราชสีมา ทำไมถึงมาที่นี่ใช่มั้ยครับ ขอเล่าสั้นๆ ก่อนหน้านี้พ่อผมป่วยหนักมากเกือบไม่รอด เคยมารักษาที่นี่ก็ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ เลยคุยกับพ่อว่าโอเค งั้นลองรักษาหมอนรองกระดูกที่นี่ต่อมั้ยพ่อ? ซึ่งพ่อผมก็โอเค แต่โรงพยาบาลมหาราช คนมารักษาเยอะมากกกกกก วันที่ผมไปมีคนมารอรักษา 600 คิว ผมกับพ่อเลยยอมแพ้ กะว่าค่อยมาใหม่ เพื่อรอคิวแต่เช้ามืด เลยหลับไปขอประวัติการรักษาที่ มทส. แต่พอมาถึงที่ มทส. ผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่า รักษาต่อไปเลยที่นี่ เพราะเราต้องมั่นใจในตัวคุณหมอและทีมงาน พ่อผมก็โอเค เพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้วว เอาสักที่เถอะลูก 55
พอกลับมารักษาอีกครั้ง คุณหมอณัฐิกา ที่เคยรักษาพ่อไม่อยู่แล้วครับ ท่านน่าจะย้ายไปประจำที่อื่น พ่อผมได้มารักษากับคุณหมอ ณัฏฐเกียรติ ชัยบรรจงวัฒน์ ( ขออนุญาตเอ่ยชื่อคุณหมอนะครับ ) ซึ่งการรักษาก็หมือนเดิมเป๊ะครับ คุณหมอเลยนัดพ่อมาอีกรอบเพื่อตรวจเลือด และทำ MRI สแกนภายใน และวันที่มาฟังผลก็เห็นว่า มันแย่กว่าเดิม และเลือดแทบจะไม่ไหลเวียนอย่างปกติ เพราะมันตีบมาก คุณหมอเลยแนะนำว่า การรักษามีสองแบบ คือการกินยาประคองอาการ และการผ่าตัด ซึ่งการกินยา บางคนที่ป่วยก็อาจจะมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดก็มี ส่วนการรักษาแบบผ่าตัด คุณหมอก็พูดเหมือนเดิมแบบคุณหมอณัฐิกา ว่า อาการชาอาจไม่หายขาด หรืออาจจะหายก็ได้ ซึ่งมัน 50/50 มากๆ อยู่ที่คน แต่อย่างน้อย การผ่าก็จะช่วยเรื่องหมอนรองกระดูกแน่นอน และจะช่วยทำให้ไม่ปวด รวมถึงการไหลเวียนของเลือดก็จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งคุณหมอก็พยายามอธิบายถึง worst-case ครับ เพื่อให้พ่อเข้าใจ จะได้ไม่เสียใจถ้าไม่หายจากอาการชา และ จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเสียทั้งเงินและเจ็บตัวฟรีครับ ( ดีเทลเรื่องอาการของโรคตรงนี้ค่อนข้างยากและซับซ้อน ผมจำไม่ได้ละเอียดมาก เลยพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ ซึ่งอาการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันครับ )
ซึ่งอาการของพ่อผม ต้องผ่าตัดโดยการเปลี่ยนข้อกระดูกสันหลังสองข้อครับ โดยต้องใส่ข้อกระดูกเทียม และมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มครับ ข้อกระดูกเทียมข้อละประมาณ 19,000 นิดๆ และมีค่ายานอกบัญชีครับ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม ก็เตรียมเผื่อๆค่ายาไว้ราวๆ 5,000 ครับ แต่ของพ่อผมไม่ถึงครับ เสียค่ายาไปประมาณ 1,700 หน่อยๆ ครับ ลืมบอกไปว่าพ่อผมใช้สิทธิ์บัตรทองครับ แต่พ่อผมทำใบส่งตัวมาจากโรงพยาบาลสีคิ้ว ครับ เพราะสิทธิ์บัตรทองพ่อผมอยู่ที่นั่น เลยพอเบิกได้บ้าง แต่ก็ต้องจ่ายเพิ่มตามที่บอกไปข้างต้นครับ
ท้ายสุดพ่อผมเลยวัดใจ และพร้อมผ่าครับ!! หลังจากนั้นสองวัน คุณหมอก็เลยนัดพ่อผมมาตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ภายใน เพื่อทำการตรวจว่าร่างกายพร้อมหรือไม่ เป็นเบาหวานความดันหรือไตอะไรแทรกซ้อนมั้ย ถ้ามีอาการพวกนี้ก็ผ่าไม่ได้ครับ พอทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พ่อผมไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร คุณหมอก็นัดพ่อผมมาทำการผ่าตัดวันที่ 7 พ.ค. 2568 โดยต้องมานอนโรงพยาบาลก่อนหนึ่งคืนครับ คือวันที่ 6 พ.ค. 2568 ซึ่งผมก็ทำการจองห้องพิเศษไว้ครับ คืนละราวๆ ไม่เกิน 2,500 บาท แต่ต้องดูคิวว่าว่างมั้ยครับ ถ้าคิวว่างคนที่สะดวกก็สามารถจองห้องพิเศษได้ ( ขอเพิ่มเติมดีเทลอีกนิดครับ ช่วงที่ทำการพูดคุยเรื่องอาการ ผมจะพาพ่อไปเจอคุณหมอที่ อาคารรัตนเวชพัฒน์ ครับ ส่วนตอนผ่าตัด นอนพักฟื้น จะต้องไปที่ อาคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ครับ ไม่ยากครับตัวอาคารอยู่ไม่ห่างกันมาก มีรถรับ-ส่ง อยู่ครับ และบรรยากาศบริเวณรอบโรงพยาบาลก็โอเคครับ โล่งๆ โปร่งๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกโอเคประมาณนึงครับ พวกข้าวปลาอาหาร กาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ก็ค่อนข้างครบครันครับ ที่สำคัญไม่ได้รู้สึกแออัดมาก )
และวันผ่าตัดก็มาถึงครับ วันที่ 7 พ.ค. 2568 ช่วงเช้าคุณหมอก็มาถามอาการว่าชาช่วงไหนมากที่สุด พ่อผมบอกว่าช่วงฝ่าเท้าครับ และ นิ้วเท้าพ่อผมก็ขยับไม่ได้ เพราะหมอเอามือดันนิ้วเท้าพ่อไว้ ให้พ่อผมดันสู้กลับไป แต่อ่อนแรงมาก พอเช็คอาการเบื้องต้น คุณหมอก็แจ้งว่าพ่อผมจะเริ่มผ่าราวๆ บ่ายโมงครับ แต่ช่วงเที่ยงๆ ผมก็พาพ่อไปที่ห้องผ่าตัด และ บอกกับพ่อว่าสู้ๆครับ! เดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่หน้าพ่อผมดูกังวล และแทบไม่ยิ้มเลย 55 ผมก็ใจแป้วนิดๆครับ ช่วงที่พ่อผมผ่า ผมก็นั่งรอพ่อที่ห้องพิเศษครับ นั่งรอตั้งแต่เที่ยงกว่า รอแล้วรอเล่า จนเริ่มกังวล พอราวๆ 1 ทุ่มนิดๆ พยาบาลแจ้งว่า พ่อผมผ่าเสร็จแล้ว ก็โล่งครับ ผมก็ไปหาพ่อที่ห้อง ICU ครับ หลังจากผ่าตัดเสร็จ พ่อผมต้องนอนห้อง ICU เพื่อพักฟื้น 2 คืน และต้องคืนห้องพิเศษหลังจากที่พ่อผมผ่าเสร็จครับ
แต่พอคืนห้อง ก็สามารถทำเรื่องจองต่อได้เลย และทางเจ้าหน้าที่จะดูคิวให้ ถ้ามีห้อง หลังจากออกจาก ICU ก็สามารถกลับมาพักฟื้นห้องพิเศษได้ครับ ( ตรงนี้เป็นดีเทลเล็กๆน้อย เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่คงแนะนำให้อีกทีครับ )
เวลาผ่านไปจนถึงราวๆ 1 ทุ่มครับ ทางพี่พยาบาลก็แจ้งว่าพ่อผมออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ผมก็รีบไปที่ห้อง ICU ครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่า อาการของผู้ป่วยที่ผ่าตัด จะมีผลข้างเคียงจากยาสลบครับ โดยจะรู้สึกคลื่นไส้ และจะอาเจียนตลอดเวลา เป็นอาการปกติครับ ซึ่งพ่อผมก็ตามนี้เลยครับ จะอ้วกบ่อยมาก และสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เพราะปวดมากกกกกก แต่พ่อผมก็พอจะขยับเคลื่อนตัวอะไรได้บ้างนิดหน่อยครับ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับ ส่วนผมก็ต้องทำใจและใจแข็งเข้าไว้ครับ สงสารพ่อมาก เพราะเขาคงปวดและทรมาน แต่ก็ต้องเข้าใจว่านี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาครับ ผมมั่นใจว่าจะต้องดีขึ้น ผมอยู่กับพ่อได้ไม่นานครับ เพราะเป็นห้อง ICU พี่พยาบาลแจ้งว่า มีระเบียบในการเยี่ยมเป็นเวลา และไม่สามารถนอนเฝ้าได้ ผมเลยต้องกลับไปก่อน
ช่วงสองคืนที่พ่อผมอยู่ ICU ผมจองห้องพัก เป็น Hotel & Residence ชื่อว่า TheSept Korat ครับ คืนละ 650 บาท ( ไม่แน่ใจราคานะครับ แต่คิดว่าไม่เกินนี้ครับ ) ก็ถือว่าโอเคครับ มีความส่วนตัว เงียบสงบและสะอาดพอใช้ ผมอาศัยนอนที่นี่เพื่อจะได้ไปเยี่ยมพ่ออีกวันครับ
พอมาถึงวันที่ 8 พ.ค. 2568 พ่อผมสีหน้าเริ่มดีขึ้น และเริ่มขยับตัวได้มากขึ้น และขยับขาอะไรได้ ที่สำคัญ นิ้วเท้ากลับมาขยับได้ครับ ผมนี่ดีใจมาก และดีใจกับพ่อเขาด้วย เบื้องต้นพ่อผมโชคดีที่ไม่ได้มีโรคอะไรแทรกซ้อน มีร่างกายแข็งแรง และค่อนข้างฟื้นตัวเร็ว ทุกอย่างเลยออกมาดีมากๆครับ แต่พ่อผมกินน้อย เพราะกังวลเรื่องการขับถ่ายครับ เพราะพ่อไม่อยากถ่ายหนักในผ่าอ้อมผู้ใหญ่ เลยทนไว้เพื่อจะได้ไปถ่ายหนักในวันต่อไป หลังจากออกห้อง ICU ครับ
พอมาถึงวันที่ 9 พ.ค. 2568 พ่อผมก็ได้ย้ายออกจาก ICU และได้มาพักฟื้นห้องพิเศษครับ เพราะคิวว่างพอดี อาการก็ดีขึ้นตามลำดับครับ แต่ก็ยังมีความปวดมากจากการผ่าตัดอยู่ แต่พ่อผมดันมากังวลเรื่องถ่ายหนักอยู่ดี กังวลมากกว่าอาการปวดผ่าตัดซะนี่ 55 เพราะคิดว่าพอย้ายมาห้องพิเศษจะเข้าห้องน้ำได้ แต่คุณหมอยังสั่งห้ามครับ ยังห้ามลุกเดิน และลุกนั่ง เพราะอาจมีผลกระทบเส้นประสาท ซึ่งพ่อผมเขาก็ไม่ยอมดื้อมาก ยกมือไหว้พี่พยาบาล เพราะเขารู้ตัวเองว่าเขาสามารถเดินพอไหว และไม่อยากให้ทุกคนต้องมาทำสิ่งนี้เพื่อเขา ( เขากังวลมากจริงๆครับ ความดันสูงเลยทีเดียว
สุดท้ายก็ต้องประคองไปเข้าห้องน้ำครับ ทุลักทุเลมากๆ เพราะสายอะไรต่างๆ เต็มไปหมด จริงๆไม่ควรเอาแบบอย่างครับ เพราะถ้าผิดพลาด อาจจะแย่กว่าเดิมได้ และจะทำให้พี่พยาบาลโดนตำหนิด้วย อาจเป็นตราบาปสำหรับทุกคน แต่ผมขออนุญาตแชร์มาเพื่อเป็นข้อมูลครับ ทางที่ดีที่สุด คือทำตามกระบวนการของหมอดีกว่า และ การถ่ายหนักเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ ผมก็เตรียมพร้อมทั้งถุงมืออะไรต่างๆ และพี่พยาบาล เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือครับ เพราะฉะนั้น ทำตามกระบวนการนะครับ ดีกว่าสำหรับผู้ป่วยและคนดูแลครับ
จากนั้นพ่อผมก็นอนพักรักษาตาม process มีคุณหมอมาเช็คแผลที่ผ่า และสอบถามอาการปวด พอมาวันที่ 10 พ.ค. 2568 ก็เริ่มทำกายภาพครับ โดยใช้ walker ที่จับสี่ขา เดินประคอง รวมถึงมีอุปกรณ์สายรัดประคองหลัง เวลาเดินไปไหนมาไหนครับ ซึ่งพ่อผมก็ฟื้นตัวเร็วพอสมควร ใช้ walker เดินได้โอเคเลย และเดินไปเข้าห้องน้ำเอง ทำอะไรเองได้ ส่วนแผลจากการผ่า ก็มีเลือดซึมๆบ้าง แต่ก็มีคุณหมอมาช่วยเปลี่ยนครับ จริงๆแล้วพ่อผมต้องนอนโรงพยาบาลถึงวันที่ 12 พ.ค. 2568 แต่เนื่องจากอาการของพ่อผมดีขึ้น และเขาคิดถึงบ้านสุดๆครับ เลยขอคุณหมอกลับบ้านในวันที่ 11 พ.ค. 2568 สรุปทั้งหมดคือ มาโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าวันที่ 6 พ.ค. 2568 และ ผ่าตัดวันท่ี 7 พ.ค. 2568 นอนพักฟื้นวันที่ 8-9-10 พ.ค. 2568 และออกจากโรงพยาบาลวันที่ 11 พ.ค. 2568 ครับ
***** เดี๋ยวมีต่อครับ
[CR] แชร์ประสบการณ์ พาพ่อไปผ่าตัดหมอนรองกระดูก ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
เกริ่นนานมาก... โอเค เริ่มเข้าเรื่องครับ ช่วงราวๆปีพ.ศ. 2562 พ่อผมเริ่มมีอาการสูญเสียการทรงตัว และเริ่มล้มเป็นบางครั้งระหว่างเดิน เพราะเขาบอกว่าเหมือนก้าวไปในสุญญากาศ ผมก็เริ่มแปลกใจ ทั้งที่พ่อผมก็สุขภาพแข็งแรงดี แต่หลังจากนั้น 1-2 ปี ต่อมา พ่อผมเริ่มเข้าใจอาการตัวเองชัดขึ้น และรู้สึกว่าบริเวณฝ่าเท้าของตัวเองมีอาการชา เวลาที่เดินจะเหมือนชาตลอดเวลา และเหมือนเท้ามันหนาๆเหมือนส้นตึก แต่ด้วยความที่พ่อผม เขาก็ค่อนข้าง survivor เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ปลูกต้นไม้ ยกกระถางอะไรไป 55 จนอาการมันเริ่มแย่ลง ผ่านมาถึงช่วงปีพ.ศ. 2565 ผมเลยพาพ่อไปตรวจที่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ลืมบอกไปว่าพ่อผมอาศัยอยู่จังหวัดนี้ครับ ส่วนผมทำงานอยู่ที่ กทม. ( หลังจากนี้ขอเรียกชื่อย่อ โรงพยาบาลว่า มทส. นะครับ )
หลังจากลงทะเบียนอะไรเรียบร้อย ผมก็พาพ่อไปแผนก ออร์โธปิดิกส์ และได้เจอกับคุณหมอณัฐิกา ( ( ขออนุญาตเอ่ยชื่อคุณหมอนะครับ *** ผมไม่แน่ใจชื่อหมอนะครับ แต่ตอนนี้คุณหมอได้ย้ายโรงพยาบาลไปแล้วครับ ยังไงต้องขออภัยด้วยครับ ) เบื้องต้นคุณหมอลองสอบถามอาการ และลองให้ขยับนิ้วเท้า แต่พ่อผมก็ทำไม่ค่อยถนัดและนิ้วเท้าค่อนข้างอ่อนแรง คุณหมอจึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูก คุณหมอเลยนัดพ่อมาอีกรอบเพื่อตรวจเลือด และทำ MRI สแกนภายในว่าถูกต้องหรือไม่
มาถึงวันที่ฟังผล ก็โป๊ะเชะ เป็นไปตามคาดครับ คือเป็นโรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกจริงๆ ( แต่ผมจำดีเทลที่หมอพูดเป๊ะๆไม่ได้นะครับ ) ที่พ่อผมมีอาการเท้าชา เพราะบริเวณกระดูกสันหลัง มีผังผืด และเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ปกติ ในอนาคตอาจมีอาการปวดมากขึ้น และอาจส่งผลต่อการอั้นฉี่และการถ่ายหนัก คุณหมอบอกว่าหนทางสุดท้ายคือการผ่าตัด และการผ่าตัดก็ไม่สามารถการันตีได้ว่า อาการชาจะหายไป แต่การผ่าตัดจะทำให้เลือดกลับหมาหมุนเวียนปกติและจะไม่ทำให้อาการมันแย่ไปกว่านี้ แต่เนื่องจากพ่อผมยังพอเดินทรงตัวได้ คุณหมอเลยสั่งจ่ายยาให้พ่อผมไปลองกิน เพื่อบำรุงปลายประสาท ( เป็นยานอกบัญชี ที่ต้องเสียเงินเองครับ ) และแก้ปวดครับ
หลายเดือนผ่านไป อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และพ่อผมก็ไม่อยากผ่าตัด เลยใช้ชีวิตปล่อยจอยไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผมก็บกพร่องในหน้าที่ด้วย ไม่ได้ตามอาการ และมัวทำแต่งาน รวมถึงคิดเอาเองว่า พ่อน่าจะพอไหว เพราะมีหลายคนที่เป็นโรคนี้ในลักษณะคล้ายกัน ก็ยังคงใช้ชีวิตได้ และมีแนวทางการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่นกายภาพเบื้องต้น และกินยา อะไรประมาณนี้ครับ
จนมาถึงปีนี้ครับ พ.ศ. 2568 ผ่านมา 3 ปี พ่อผมเริ่มทรมานมากขึ้น เดินได้ไม่นานมาก ก็ต้องหยุดพัก เพราะเริ่มร้าวขึ้นสะโพก และมีอาการปวด ผมเลยพาพ่อมารักษาอีกครั้ง แต่เปลี่ยนโรงพยาบาลนะครับ มาที่โรงพยาบาลมหาราช นคราชสีมา ทำไมถึงมาที่นี่ใช่มั้ยครับ ขอเล่าสั้นๆ ก่อนหน้านี้พ่อผมป่วยหนักมากเกือบไม่รอด เคยมารักษาที่นี่ก็ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ เลยคุยกับพ่อว่าโอเค งั้นลองรักษาหมอนรองกระดูกที่นี่ต่อมั้ยพ่อ? ซึ่งพ่อผมก็โอเค แต่โรงพยาบาลมหาราช คนมารักษาเยอะมากกกกกก วันที่ผมไปมีคนมารอรักษา 600 คิว ผมกับพ่อเลยยอมแพ้ กะว่าค่อยมาใหม่ เพื่อรอคิวแต่เช้ามืด เลยหลับไปขอประวัติการรักษาที่ มทส. แต่พอมาถึงที่ มทส. ผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่า รักษาต่อไปเลยที่นี่ เพราะเราต้องมั่นใจในตัวคุณหมอและทีมงาน พ่อผมก็โอเค เพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้วว เอาสักที่เถอะลูก 55
พอกลับมารักษาอีกครั้ง คุณหมอณัฐิกา ที่เคยรักษาพ่อไม่อยู่แล้วครับ ท่านน่าจะย้ายไปประจำที่อื่น พ่อผมได้มารักษากับคุณหมอ ณัฏฐเกียรติ ชัยบรรจงวัฒน์ ( ขออนุญาตเอ่ยชื่อคุณหมอนะครับ ) ซึ่งการรักษาก็หมือนเดิมเป๊ะครับ คุณหมอเลยนัดพ่อมาอีกรอบเพื่อตรวจเลือด และทำ MRI สแกนภายใน และวันที่มาฟังผลก็เห็นว่า มันแย่กว่าเดิม และเลือดแทบจะไม่ไหลเวียนอย่างปกติ เพราะมันตีบมาก คุณหมอเลยแนะนำว่า การรักษามีสองแบบ คือการกินยาประคองอาการ และการผ่าตัด ซึ่งการกินยา บางคนที่ป่วยก็อาจจะมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดก็มี ส่วนการรักษาแบบผ่าตัด คุณหมอก็พูดเหมือนเดิมแบบคุณหมอณัฐิกา ว่า อาการชาอาจไม่หายขาด หรืออาจจะหายก็ได้ ซึ่งมัน 50/50 มากๆ อยู่ที่คน แต่อย่างน้อย การผ่าก็จะช่วยเรื่องหมอนรองกระดูกแน่นอน และจะช่วยทำให้ไม่ปวด รวมถึงการไหลเวียนของเลือดก็จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งคุณหมอก็พยายามอธิบายถึง worst-case ครับ เพื่อให้พ่อเข้าใจ จะได้ไม่เสียใจถ้าไม่หายจากอาการชา และ จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเสียทั้งเงินและเจ็บตัวฟรีครับ ( ดีเทลเรื่องอาการของโรคตรงนี้ค่อนข้างยากและซับซ้อน ผมจำไม่ได้ละเอียดมาก เลยพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ ซึ่งอาการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันครับ )
ซึ่งอาการของพ่อผม ต้องผ่าตัดโดยการเปลี่ยนข้อกระดูกสันหลังสองข้อครับ โดยต้องใส่ข้อกระดูกเทียม และมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มครับ ข้อกระดูกเทียมข้อละประมาณ 19,000 นิดๆ และมีค่ายานอกบัญชีครับ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม ก็เตรียมเผื่อๆค่ายาไว้ราวๆ 5,000 ครับ แต่ของพ่อผมไม่ถึงครับ เสียค่ายาไปประมาณ 1,700 หน่อยๆ ครับ ลืมบอกไปว่าพ่อผมใช้สิทธิ์บัตรทองครับ แต่พ่อผมทำใบส่งตัวมาจากโรงพยาบาลสีคิ้ว ครับ เพราะสิทธิ์บัตรทองพ่อผมอยู่ที่นั่น เลยพอเบิกได้บ้าง แต่ก็ต้องจ่ายเพิ่มตามที่บอกไปข้างต้นครับ
ท้ายสุดพ่อผมเลยวัดใจ และพร้อมผ่าครับ!! หลังจากนั้นสองวัน คุณหมอก็เลยนัดพ่อผมมาตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ภายใน เพื่อทำการตรวจว่าร่างกายพร้อมหรือไม่ เป็นเบาหวานความดันหรือไตอะไรแทรกซ้อนมั้ย ถ้ามีอาการพวกนี้ก็ผ่าไม่ได้ครับ พอทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พ่อผมไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร คุณหมอก็นัดพ่อผมมาทำการผ่าตัดวันที่ 7 พ.ค. 2568 โดยต้องมานอนโรงพยาบาลก่อนหนึ่งคืนครับ คือวันที่ 6 พ.ค. 2568 ซึ่งผมก็ทำการจองห้องพิเศษไว้ครับ คืนละราวๆ ไม่เกิน 2,500 บาท แต่ต้องดูคิวว่าว่างมั้ยครับ ถ้าคิวว่างคนที่สะดวกก็สามารถจองห้องพิเศษได้ ( ขอเพิ่มเติมดีเทลอีกนิดครับ ช่วงที่ทำการพูดคุยเรื่องอาการ ผมจะพาพ่อไปเจอคุณหมอที่ อาคารรัตนเวชพัฒน์ ครับ ส่วนตอนผ่าตัด นอนพักฟื้น จะต้องไปที่ อาคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ครับ ไม่ยากครับตัวอาคารอยู่ไม่ห่างกันมาก มีรถรับ-ส่ง อยู่ครับ และบรรยากาศบริเวณรอบโรงพยาบาลก็โอเคครับ โล่งๆ โปร่งๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกโอเคประมาณนึงครับ พวกข้าวปลาอาหาร กาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ก็ค่อนข้างครบครันครับ ที่สำคัญไม่ได้รู้สึกแออัดมาก )
และวันผ่าตัดก็มาถึงครับ วันที่ 7 พ.ค. 2568 ช่วงเช้าคุณหมอก็มาถามอาการว่าชาช่วงไหนมากที่สุด พ่อผมบอกว่าช่วงฝ่าเท้าครับ และ นิ้วเท้าพ่อผมก็ขยับไม่ได้ เพราะหมอเอามือดันนิ้วเท้าพ่อไว้ ให้พ่อผมดันสู้กลับไป แต่อ่อนแรงมาก พอเช็คอาการเบื้องต้น คุณหมอก็แจ้งว่าพ่อผมจะเริ่มผ่าราวๆ บ่ายโมงครับ แต่ช่วงเที่ยงๆ ผมก็พาพ่อไปที่ห้องผ่าตัด และ บอกกับพ่อว่าสู้ๆครับ! เดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่หน้าพ่อผมดูกังวล และแทบไม่ยิ้มเลย 55 ผมก็ใจแป้วนิดๆครับ ช่วงที่พ่อผมผ่า ผมก็นั่งรอพ่อที่ห้องพิเศษครับ นั่งรอตั้งแต่เที่ยงกว่า รอแล้วรอเล่า จนเริ่มกังวล พอราวๆ 1 ทุ่มนิดๆ พยาบาลแจ้งว่า พ่อผมผ่าเสร็จแล้ว ก็โล่งครับ ผมก็ไปหาพ่อที่ห้อง ICU ครับ หลังจากผ่าตัดเสร็จ พ่อผมต้องนอนห้อง ICU เพื่อพักฟื้น 2 คืน และต้องคืนห้องพิเศษหลังจากที่พ่อผมผ่าเสร็จครับ
แต่พอคืนห้อง ก็สามารถทำเรื่องจองต่อได้เลย และทางเจ้าหน้าที่จะดูคิวให้ ถ้ามีห้อง หลังจากออกจาก ICU ก็สามารถกลับมาพักฟื้นห้องพิเศษได้ครับ ( ตรงนี้เป็นดีเทลเล็กๆน้อย เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่คงแนะนำให้อีกทีครับ )
เวลาผ่านไปจนถึงราวๆ 1 ทุ่มครับ ทางพี่พยาบาลก็แจ้งว่าพ่อผมออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ผมก็รีบไปที่ห้อง ICU ครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่า อาการของผู้ป่วยที่ผ่าตัด จะมีผลข้างเคียงจากยาสลบครับ โดยจะรู้สึกคลื่นไส้ และจะอาเจียนตลอดเวลา เป็นอาการปกติครับ ซึ่งพ่อผมก็ตามนี้เลยครับ จะอ้วกบ่อยมาก และสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เพราะปวดมากกกกกก แต่พ่อผมก็พอจะขยับเคลื่อนตัวอะไรได้บ้างนิดหน่อยครับ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับ ส่วนผมก็ต้องทำใจและใจแข็งเข้าไว้ครับ สงสารพ่อมาก เพราะเขาคงปวดและทรมาน แต่ก็ต้องเข้าใจว่านี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาครับ ผมมั่นใจว่าจะต้องดีขึ้น ผมอยู่กับพ่อได้ไม่นานครับ เพราะเป็นห้อง ICU พี่พยาบาลแจ้งว่า มีระเบียบในการเยี่ยมเป็นเวลา และไม่สามารถนอนเฝ้าได้ ผมเลยต้องกลับไปก่อน
ช่วงสองคืนที่พ่อผมอยู่ ICU ผมจองห้องพัก เป็น Hotel & Residence ชื่อว่า TheSept Korat ครับ คืนละ 650 บาท ( ไม่แน่ใจราคานะครับ แต่คิดว่าไม่เกินนี้ครับ ) ก็ถือว่าโอเคครับ มีความส่วนตัว เงียบสงบและสะอาดพอใช้ ผมอาศัยนอนที่นี่เพื่อจะได้ไปเยี่ยมพ่ออีกวันครับ
พอมาถึงวันที่ 8 พ.ค. 2568 พ่อผมสีหน้าเริ่มดีขึ้น และเริ่มขยับตัวได้มากขึ้น และขยับขาอะไรได้ ที่สำคัญ นิ้วเท้ากลับมาขยับได้ครับ ผมนี่ดีใจมาก และดีใจกับพ่อเขาด้วย เบื้องต้นพ่อผมโชคดีที่ไม่ได้มีโรคอะไรแทรกซ้อน มีร่างกายแข็งแรง และค่อนข้างฟื้นตัวเร็ว ทุกอย่างเลยออกมาดีมากๆครับ แต่พ่อผมกินน้อย เพราะกังวลเรื่องการขับถ่ายครับ เพราะพ่อไม่อยากถ่ายหนักในผ่าอ้อมผู้ใหญ่ เลยทนไว้เพื่อจะได้ไปถ่ายหนักในวันต่อไป หลังจากออกห้อง ICU ครับ
พอมาถึงวันที่ 9 พ.ค. 2568 พ่อผมก็ได้ย้ายออกจาก ICU และได้มาพักฟื้นห้องพิเศษครับ เพราะคิวว่างพอดี อาการก็ดีขึ้นตามลำดับครับ แต่ก็ยังมีความปวดมากจากการผ่าตัดอยู่ แต่พ่อผมดันมากังวลเรื่องถ่ายหนักอยู่ดี กังวลมากกว่าอาการปวดผ่าตัดซะนี่ 55 เพราะคิดว่าพอย้ายมาห้องพิเศษจะเข้าห้องน้ำได้ แต่คุณหมอยังสั่งห้ามครับ ยังห้ามลุกเดิน และลุกนั่ง เพราะอาจมีผลกระทบเส้นประสาท ซึ่งพ่อผมเขาก็ไม่ยอมดื้อมาก ยกมือไหว้พี่พยาบาล เพราะเขารู้ตัวเองว่าเขาสามารถเดินพอไหว และไม่อยากให้ทุกคนต้องมาทำสิ่งนี้เพื่อเขา ( เขากังวลมากจริงๆครับ ความดันสูงเลยทีเดียว
สุดท้ายก็ต้องประคองไปเข้าห้องน้ำครับ ทุลักทุเลมากๆ เพราะสายอะไรต่างๆ เต็มไปหมด จริงๆไม่ควรเอาแบบอย่างครับ เพราะถ้าผิดพลาด อาจจะแย่กว่าเดิมได้ และจะทำให้พี่พยาบาลโดนตำหนิด้วย อาจเป็นตราบาปสำหรับทุกคน แต่ผมขออนุญาตแชร์มาเพื่อเป็นข้อมูลครับ ทางที่ดีที่สุด คือทำตามกระบวนการของหมอดีกว่า และ การถ่ายหนักเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ ผมก็เตรียมพร้อมทั้งถุงมืออะไรต่างๆ และพี่พยาบาล เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือครับ เพราะฉะนั้น ทำตามกระบวนการนะครับ ดีกว่าสำหรับผู้ป่วยและคนดูแลครับ
จากนั้นพ่อผมก็นอนพักรักษาตาม process มีคุณหมอมาเช็คแผลที่ผ่า และสอบถามอาการปวด พอมาวันที่ 10 พ.ค. 2568 ก็เริ่มทำกายภาพครับ โดยใช้ walker ที่จับสี่ขา เดินประคอง รวมถึงมีอุปกรณ์สายรัดประคองหลัง เวลาเดินไปไหนมาไหนครับ ซึ่งพ่อผมก็ฟื้นตัวเร็วพอสมควร ใช้ walker เดินได้โอเคเลย และเดินไปเข้าห้องน้ำเอง ทำอะไรเองได้ ส่วนแผลจากการผ่า ก็มีเลือดซึมๆบ้าง แต่ก็มีคุณหมอมาช่วยเปลี่ยนครับ จริงๆแล้วพ่อผมต้องนอนโรงพยาบาลถึงวันที่ 12 พ.ค. 2568 แต่เนื่องจากอาการของพ่อผมดีขึ้น และเขาคิดถึงบ้านสุดๆครับ เลยขอคุณหมอกลับบ้านในวันที่ 11 พ.ค. 2568 สรุปทั้งหมดคือ มาโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวผ่าวันที่ 6 พ.ค. 2568 และ ผ่าตัดวันท่ี 7 พ.ค. 2568 นอนพักฟื้นวันที่ 8-9-10 พ.ค. 2568 และออกจากโรงพยาบาลวันที่ 11 พ.ค. 2568 ครับ
***** เดี๋ยวมีต่อครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้