การขาดทักษะใหม่อาจทำให้คุณเสี่ยงตกงาน โดยเฉพาะงานที่สามารถถูกแทนที่ด้วย AI หรือทักษะที่ล้าสมัยมีโอกาสสูงที่จะถูกเลย์ออฟ เช่น งานที่ทำซ้ำๆ หรือทักษะที่ไม่ได้พัฒนาให้ทันโลกดิจิทัล
หากคุณไม่สามารถแสดงผลงานที่เด่นชัด หรือผลงานต่ำกว่าเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ได้มีบทบาทสำคัญในทีมและโปรเจกต์ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปลดออกเช่นกัน
หากบริษัทเริ่มลดความสำคัญของโปรเจกต์ที่คุณรับผิดชอบ หรือคุณทำงานจากที่บ้านมากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งของคุณตกเป็นเป้าหมายในการเลย์ออฟ
เวลาดำเนินไปยังไม่ทันผ่านครึ่งปี 2025 แต่ตัวเลขการเลย์ออฟหรือ "ปลดพนักงาน" กลับพุ่งสูงทำลายสถิติ โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนคนตกงานมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด และในเดือนเมษายนก็มีการปลดพนักงานสายเทคมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ท่ามกลางยุคที่ AI กำลังรุกเข้ามาแทนที่คนทำงาน บริษัทต่างๆ ก็เริ่ม “รีสตรักเจอร์” ขนานใหญ่ ทั้งตัดคน ลดต้นทุน และมองหาความ “คุ้มค่า” มากกว่า “ความผูกพัน” พนักงานหลายคนอาจเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ว่าจะถึงคิวตัวเองหรือยังน้อ?
ล่าสุด ผลการสำรวจจาก General Assembly ที่ได้สอบถามผู้บริหารฝ่ายบุคคล (HR) จากหลายบริษัทเทคโนโลยี พบว่า มี 5 สัญญาณหลักที่ทำให้พนักงาน “เข้าข่ายถูกปลด” มากที่สุด ได้แก่
- งานที่ทำอยู่ AI ทำแทนได้ (45%)
- มีทักษะล้าสมัย (44%)
- ผลงานไม่โดดเด่นเท่าเพื่อนร่วมทีม (41%)
- ทำโปรเจกต์ที่ถูกลดความสำคัญ (33%)
- ทำงานที่บ้านแทนเข้าออฟฟิศ (22%)
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจเจ็บใจ แต่มันคือความจริงที่วัยทำงานต้องรับมือให้ได้ ถ้าคุณเริ่มสังเกตเห็น 1 ใน 5 ข้อนี้ในตัวเอง นี่คือเวลาที่ควรลงมือเปลี่ยนแปลง ก่อนที่อีเมล “ขอบคุณที่ร่วมงานกัน..แต่ทางบริษัทขอแจ้งให้คุณยุติการทำงาน” จะมาถึงกล่องข้อความของคุณ!
ทั้งนี้ กลุ่มงานมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเลย์ออฟตามข้อมูลข้างต้น มีรายละเอียดที่วัยทำงานควรทำความเข้าใจให้มากขึ้น ดังนี้
1. งานของคุณสามารถใช้ AI แทนได้
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริหาร HR เห็นตรงกันว่า พนักงานที่ทำงานประเภท "ซ้ำซาก" หรือพึ่งพากระบวนการที่ชัดเจน เช่น การกรอกข้อมูล การจัดระเบียบไฟล์ การตอบอีเมลอัตโนมัติ หรือแม้แต่บางส่วนของงานเขียนบทความและสื่อสารการตลาด ล้วนเป็นกลุ่มที่ถูกเลย์ออฟก่อน
การมาถึงของ Generative AI และระบบอัตโนมัติขั้นสูง ทำให้หลายบริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างคนจำนวนมากเหมือนเดิม ตัวอย่างเช่น ธนาคารใหญ่ในสหรัฐบางแห่งเริ่มลดทีมวิเคราะห์ข้อมูลลง เพราะมีระบบ AI ที่วิเคราะห์และสรุปอินไซต์ได้เร็วกว่าแม่นยำกว่า
ทางรอด: ถามตัวเองว่า "สิ่งที่ฉันทำอยู่ AI ทำได้ไหม?" ถ้าใช่ อาจถึงเวลาที่ต้องรีบเรียนรู้ทักษะใหม่ เช่น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ หรือการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งยังต้องใช้ 'มนุษย์' อยู่เสมอ
2. ทักษะที่มีอยู่ตอนนี้เริ่มล้าสมัย
การทำงานในแบบเดิมๆ โดยไม่มีการอัปเดตตัวเอง คือความเสี่ยงแบบเงียบที่หลายคนมองข้าม แม้คุณจะทำงานได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าทักษะของคุณไม่ตอบโจทย์โลกธุรกิจในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ก็มีโอกาสถูกมองว่า "ไม่มีอนาคต"
ผู้บริหารจำนวนมากยอมรับว่าพนักงานที่ไม่ได้พัฒนาทักษะให้เท่าทันตลาด เช่น ไม่เข้าใจการใช้เครื่องมือใหม่ ไม่รู้จักการทำงานร่วมกับ AI หรือไม่มีทักษะดิจิทัลเบื้องต้น มักเป็นกลุ่มแรกที่โดนพิจารณาให้ "ออก"
ทางรอด: ตั้งเป้าเรียนรู้อะไรใหม่ทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรสั้นออนไลน์ การทำโปรเจกต์ข้ามสาย หรือฝึกใช้เครื่องมือใหม่ๆ ที่เพื่อนร่วมงานในทีมเริ่มใช้กันแล้ว
3. ผลงานไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงาน
การทำงานแบบ “ไม่ผิดพลาด” อาจไม่พออีกต่อไปในยุคที่ทุกคนต้องแสดงผลงานให้เห็นชัด การไม่สามารถชี้วัดผลลัพธ์ของตัวเอง หรือไม่มี “จุดขาย” ที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีม อาจทำให้คุณกลายเป็นคนที่ “ไม่จำเป็น” ผู้บริหารบางคนยอมรับว่า เมื่อบริษัทต้องตัดสินใจลดคน พวกเขามักมองหาคนที่ “ขาด Impact” หรือไม่สามารถระบุได้ว่าบริษัทจะเสียอะไรถ้าคนนั้นออกไป
ทางรอด: สร้างร่องรอยของคุณให้ชัด ทั้งในเชิงผลงาน เช่น มีตัวเลขหรือผลลัพธ์วัดได้) และในเชิงบทบาท เช่น เป็นที่ปรึกษา เป็นตัวเชื่อมคนในทีม เป็นมือซัพพอร์ตที่ทุกคนไว้ใจ
4. โปรเจกต์ที่คุณทำอยู่เริ่มไม่สำคัญแล้ว
แม้ตัวคุณจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าคุณอยู่ผิดโปรเจกต์ ก็มีโอกาสโดนปลดได้เหมือนกัน หลายบริษัทเริ่มลดงบประมาณในแผนกหรือโปรเจกต์ที่ไม่ได้สร้างรายได้ หรือไม่ใช่ “เป้าหมายหลัก” ของบริษัท
5 สัญญาณเตือนก่อนถูกปลด! ตำแหน่งไหนบริษัทไม่อยากเก็บไว้ ปี 2025?
หากคุณไม่สามารถแสดงผลงานที่เด่นชัด หรือผลงานต่ำกว่าเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ได้มีบทบาทสำคัญในทีมและโปรเจกต์ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปลดออกเช่นกัน
หากบริษัทเริ่มลดความสำคัญของโปรเจกต์ที่คุณรับผิดชอบ หรือคุณทำงานจากที่บ้านมากเกินไป อาจทำให้ตำแหน่งของคุณตกเป็นเป้าหมายในการเลย์ออฟ
เวลาดำเนินไปยังไม่ทันผ่านครึ่งปี 2025 แต่ตัวเลขการเลย์ออฟหรือ "ปลดพนักงาน" กลับพุ่งสูงทำลายสถิติ โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนคนตกงานมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด และในเดือนเมษายนก็มีการปลดพนักงานสายเทคมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ท่ามกลางยุคที่ AI กำลังรุกเข้ามาแทนที่คนทำงาน บริษัทต่างๆ ก็เริ่ม “รีสตรักเจอร์” ขนานใหญ่ ทั้งตัดคน ลดต้นทุน และมองหาความ “คุ้มค่า” มากกว่า “ความผูกพัน” พนักงานหลายคนอาจเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ว่าจะถึงคิวตัวเองหรือยังน้อ?
ล่าสุด ผลการสำรวจจาก General Assembly ที่ได้สอบถามผู้บริหารฝ่ายบุคคล (HR) จากหลายบริษัทเทคโนโลยี พบว่า มี 5 สัญญาณหลักที่ทำให้พนักงาน “เข้าข่ายถูกปลด” มากที่สุด ได้แก่
- งานที่ทำอยู่ AI ทำแทนได้ (45%)
- มีทักษะล้าสมัย (44%)
- ผลงานไม่โดดเด่นเท่าเพื่อนร่วมทีม (41%)
- ทำโปรเจกต์ที่ถูกลดความสำคัญ (33%)
- ทำงานที่บ้านแทนเข้าออฟฟิศ (22%)
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจเจ็บใจ แต่มันคือความจริงที่วัยทำงานต้องรับมือให้ได้ ถ้าคุณเริ่มสังเกตเห็น 1 ใน 5 ข้อนี้ในตัวเอง นี่คือเวลาที่ควรลงมือเปลี่ยนแปลง ก่อนที่อีเมล “ขอบคุณที่ร่วมงานกัน..แต่ทางบริษัทขอแจ้งให้คุณยุติการทำงาน” จะมาถึงกล่องข้อความของคุณ!
ทั้งนี้ กลุ่มงานมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเลย์ออฟตามข้อมูลข้างต้น มีรายละเอียดที่วัยทำงานควรทำความเข้าใจให้มากขึ้น ดังนี้
1. งานของคุณสามารถใช้ AI แทนได้
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริหาร HR เห็นตรงกันว่า พนักงานที่ทำงานประเภท "ซ้ำซาก" หรือพึ่งพากระบวนการที่ชัดเจน เช่น การกรอกข้อมูล การจัดระเบียบไฟล์ การตอบอีเมลอัตโนมัติ หรือแม้แต่บางส่วนของงานเขียนบทความและสื่อสารการตลาด ล้วนเป็นกลุ่มที่ถูกเลย์ออฟก่อน
การมาถึงของ Generative AI และระบบอัตโนมัติขั้นสูง ทำให้หลายบริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างคนจำนวนมากเหมือนเดิม ตัวอย่างเช่น ธนาคารใหญ่ในสหรัฐบางแห่งเริ่มลดทีมวิเคราะห์ข้อมูลลง เพราะมีระบบ AI ที่วิเคราะห์และสรุปอินไซต์ได้เร็วกว่าแม่นยำกว่า
ทางรอด: ถามตัวเองว่า "สิ่งที่ฉันทำอยู่ AI ทำได้ไหม?" ถ้าใช่ อาจถึงเวลาที่ต้องรีบเรียนรู้ทักษะใหม่ เช่น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ หรือการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งยังต้องใช้ 'มนุษย์' อยู่เสมอ
2. ทักษะที่มีอยู่ตอนนี้เริ่มล้าสมัย
การทำงานในแบบเดิมๆ โดยไม่มีการอัปเดตตัวเอง คือความเสี่ยงแบบเงียบที่หลายคนมองข้าม แม้คุณจะทำงานได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าทักษะของคุณไม่ตอบโจทย์โลกธุรกิจในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ก็มีโอกาสถูกมองว่า "ไม่มีอนาคต"
ผู้บริหารจำนวนมากยอมรับว่าพนักงานที่ไม่ได้พัฒนาทักษะให้เท่าทันตลาด เช่น ไม่เข้าใจการใช้เครื่องมือใหม่ ไม่รู้จักการทำงานร่วมกับ AI หรือไม่มีทักษะดิจิทัลเบื้องต้น มักเป็นกลุ่มแรกที่โดนพิจารณาให้ "ออก"
ทางรอด: ตั้งเป้าเรียนรู้อะไรใหม่ทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรสั้นออนไลน์ การทำโปรเจกต์ข้ามสาย หรือฝึกใช้เครื่องมือใหม่ๆ ที่เพื่อนร่วมงานในทีมเริ่มใช้กันแล้ว
3. ผลงานไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงาน
การทำงานแบบ “ไม่ผิดพลาด” อาจไม่พออีกต่อไปในยุคที่ทุกคนต้องแสดงผลงานให้เห็นชัด การไม่สามารถชี้วัดผลลัพธ์ของตัวเอง หรือไม่มี “จุดขาย” ที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีม อาจทำให้คุณกลายเป็นคนที่ “ไม่จำเป็น” ผู้บริหารบางคนยอมรับว่า เมื่อบริษัทต้องตัดสินใจลดคน พวกเขามักมองหาคนที่ “ขาด Impact” หรือไม่สามารถระบุได้ว่าบริษัทจะเสียอะไรถ้าคนนั้นออกไป
ทางรอด: สร้างร่องรอยของคุณให้ชัด ทั้งในเชิงผลงาน เช่น มีตัวเลขหรือผลลัพธ์วัดได้) และในเชิงบทบาท เช่น เป็นที่ปรึกษา เป็นตัวเชื่อมคนในทีม เป็นมือซัพพอร์ตที่ทุกคนไว้ใจ
4. โปรเจกต์ที่คุณทำอยู่เริ่มไม่สำคัญแล้ว
แม้ตัวคุณจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าคุณอยู่ผิดโปรเจกต์ ก็มีโอกาสโดนปลดได้เหมือนกัน หลายบริษัทเริ่มลดงบประมาณในแผนกหรือโปรเจกต์ที่ไม่ได้สร้างรายได้ หรือไม่ใช่ “เป้าหมายหลัก” ของบริษัท